เขากลับมาแล้ว
!
หลังจากเสร็จสิ้นการบ่มเพาะ
จี้เทียนซิงเปิดตาและลุกขึ้นยืน
ในเวลานี้นอกเหนือจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เขายังเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งข่ายอาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นข่ายปราณหรือข่ายอาคมชนิดใดก็ตามที่ต่ำกว่าระดับสวรรค์(เทียบเท่ากับพลังระดับปราณฟ้า)
ไม่มีทางที่เขาจะไม่อาจพิชิตได้ !
บัดนี้เขาเชี่ยวชาญแก่นแท้ของ24วิถีข่ายอาคมระดับสวรรค์
อีกทั้งยังเข้าใจหลักเกณฑ์และที่มาของวิถีแห่งข่ายอาคม
มหาข่ายปราณใดๆที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์ล้วนแต่เป็นกิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงออกมาจาก
24 วิถีข่ายอาคมที่เขาเพิ่งได้เรียนรู้มาทั้งนั้น
กล่าวได้ว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆย่อมไม่ทิ้งรากเหง้าและต้นตอแหล่งที่มา
เมื่อเขาเชี่ยวชาญแก่นแท้และแหล่งที่มาของวิถีแห่งข่ายอาคม
การที่จะทำลายหรือถอดรหัสพวกมันนั้นก็จะง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
ชายหนุ่มมองดูเต่าหินที่ไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิตด้วยแววตาสำนึกขอบคุณ
จากนั้นก็เดินไปทางด้านหลังของบัลลังก์สีทอง
ในกำแพงวิหารสีดำที่อยู่ด้านหลังของบัลลังก์มีประตูหินสีดำ
กรอบประตูแสดงให้เห็นถึงเส้นสายและสัญลักษณ์ของข่ายอาคม
ผ่านประตูหินสีดำนี้ไปเราจะสามารถออกจากวิหารโบราณและกลับสู่เทือกเขาหมอกเร้นลับได้อีกครั้ง
จี้เทียนซิงใช้เวลาเพียงลัดนิ้วเดียวในการทลายอาคมบนประตูหิน
หลังจากที่ประตูหินถูกเปิดออก
ทางเข้าที่มีแสงสีขาวได้ควบแน่นและปรากฏขึ้น
“วูบ วูบ !”
จี้เทียนซิงข้ามทางเข้าออกและพุ่งออกจากวิหารโบราณแห่งดวงดาว
กลับออกไปยังทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาอีกครั้ง
ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมหนาแน่นและทะเลทรายก็พัดพาพายุม้วนเป็นฝุ่นลอยละล่องปกคลุมท้องฟ้า
เขายืนอยู่บนเนินทรายกวาดสายตามองไปรอบๆและพบว่ารูปปั้นสัตว์อสูรบรรพกาลทั้งสิบสองตัวได้หายไปหมดสิ้น
ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ก่อนที่เขาจะตกลงสู่ท้องฟ้าสุญญตาแห่งดวงดารา
ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้เข้าไปในวิหารโบราณแห่งดวงดาวนั้นราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง...
“ข้าจัดการเรื่องราวล่าช้าออกไปเกือบเดือน
เหลือเวลาอีกไม่กี่วันการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว... หวังว่าข้าจะกลับไปได้ทันเวลา !”
จี้เทียนซิงส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา
จากนั้นเขาก็หมุนตัวและทะยานจากเนินทรายผ่านพายุทรายมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
หลังจากสามชั่วยามผ่านไป
ในที่สุดเขาก็ออกจากทะเลทรายเหลืองที่อยู่ในอาณาบริเวณของอดีตทะเลสาบจันทร์เต็มดวง
จากนั้นเขาก็ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ทำเครื่องหมายไว้แผนที่
เพื่อค้นหาทางออกจากเทือกเขาหมอกเร้นลับ
หลังออกจากทะเลสาบจันทร์เต็มดวง
เขาได้ผ่านพื้นที่อันตรายสองแห่งและประสบกับการถูกจู่โจมอย่างน่ากลัวหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ผ่านพ้นมาได้
หนึ่งวันต่อมา
เขาก็เดินออกจากเทือกเขาหมอกเร้นลับและขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ย
มุ่งหน้ากลับนิกายพันธมิตรสวรรค์ทันทีโดยไม่หยุดพัก
การกลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์
หากนับจากเทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นมีระยะทางกว่า 3,000
ไมล์ซึ่งต้องใช้เวลากว่าสองวัน
ตกเย็นของวันที่สาม
จี้เทียนซิงก็กลับมาถึงอาณาเขตของนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ในที่สุด
ชายหนุ่มยืนเงยหน้ามองเชิงเขาของนิกาย
เพ่งสายตาไปที่ประตูใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
..................
ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์, จัตุรัสกว้างของฝ่ายใน
ศิษย์ฝ่ายในกว่ายี่สิบกว่าคนรวมกลุ่มกันเป็นกระจุกเพื่อพูดคุยกัน
มีเด็กหนุ่มร่างเล็กแก้มตอบดวงตาเปล่งประกายดูเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์คนหนึ่งกำลังถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์ฝ่ายในหลายคน
คนนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงในบรรดาฝ่ายใน
มันมีนามว่าซุนเฟิงซึ่งเป็นสายข่าวตัวจี๊ดภายในนิกาย
มันหย่อนก้นลงบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่
ปากก็บอกกล่าวเรื่องราวซุบซิบนินทาและตำนานปรัมปรา
ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งฟังอยู่สักพักก็เอ่ยปากถามว่า
“ซุนเฟิง ในเมื่อเจ้าโอ่ว่าตนเองรู้มากนัก
เช่นนั้นก็จงบอกพวกเรามาซิว่า เด็กน้อยจี้เทียนซิงหายหัวไปไหน ?”
“นับตั้งแต่ถ้ำปีศาจถูกทำลายล้าง เจ้าเด็กเหลือขอจี้เทียนซิงก็ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นในนิกายเลยตลอดหนึ่งเดือนเต็ม
ทั้งๆที่การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว”
ศิษย์คนอื่น
ๆที่ได้ยินก็พยักหน้าและกระซิบกระซาบกันเกี่ยวกับเรื่องนี้
"ถูกต้อง ! ซุนเฟิงเจ้าบอกพวกเราซิ
เจ้าเด็กน้อยจี้เทียนซิงใช่รู้สึกหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ไป๋จนรีบหนีไปซ่อนตัวตามที่เขาลือกันหรือเปล่า
?”
“นั่นสิ ข้าก็คิดว่าข่าวลือเป็นจริงกว่าแปดส่วน ด้วยความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงระดับปราณจิตขั้นสอง
หน้าอย่างมันจะชนะใครได้ ?”
“เฮอะ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ไป๋เลย
หากเป็นข้าที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นหกก็สามารถล้มไอ้หนูนั่นได้ไม่ยากนัก
พวกเจ้าเชื่อหรือเปล่าเล่า ?”
ซุนเฟิงเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานต่อคำพูดซุบซิบนินทาของเหล่าศิษย์
หลังจากพวกมันเงียบลง
ซุนเฟิงก็พูดว่า “อันที่จริงแล้วทุกคนก็ทราบเรื่องนี้กันดี
อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ทั่วทั้งนิกายต่างก็คุยกันให้แซ่ด ไม่เพียงแค่ฝ่ายในของเรา
ฝ่ายนอกก็รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นทุกวัน
ทุกวันนี้พวกมันเอาแต่ถกกันเรื่องของจี้เทียนซิง”
“ข้าเคยได้ยินอีกด้วยว่า
แม้แต่ผู้อาวุโสและผู้ดูแลต่างก็กังวลกับเรื่องนี้
พวกท่านรู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อจี้เทียนซิงที่จู่ๆก็หายตัวไป”
ศิษย์ฝ่ายในหลายคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจและพยักหน้าเห็นด้วย
ซุนเฟิงแสยะยิ้มพลางกระซิบเย้ยหยันว่า
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อห้าวันก่อนท่านประมุขได้ส่งคนออกไปสืบเรื่องนี้และมีคำสั่งให้ตามหามัน”
“น่าเสียดาย
ไม่รู้ว่าจี้เทียนซิงหลบไปมุดหัวอยู่ที่ไหน
ตลอดห้าวันมานี้ก็ยังไม่มีใครพบเห็นหรือทราวข่าวคราวของมันเลย จนทุกคนต่างก็คาดเดากันไปว่าจี้เทียนซิงต้องหนีการประลองและหลบไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง
!”
ศิษย์ทั้งหลายได้ฟังก็เริ่มเห็นด้วยและเชื่อในคำพูดของซุนเฟิง
พวกเขาหัวเราะเยาะเย้ยกันอย่างสนุกปาก
“เพ้ย ! ไอ้เด็กเหลือขอนั่นทำงามหน้านัก
เสียชื่อท่านประมุขจริงๆ ข้าไม่คิดว่ามันจะหนี”
“เหอๆ มันเขียนคำท้าประลองกลางจัตุรัสและป่าวประกาศไปทั่วฝ่ายในอย่างโอหังเมื่อเดือนก่อน
ข้าก็หลงคิดว่าจะแน่ !”
“หึ คิดไม่ถึงว่าผ่านไม่ไปนานมันก็เผยใบหน้าที่แท้จริง
เจ้าเด็กเหลือขอนั่นขี้ขลาดเหมือนหนู
ป่านนี้มันคงหนีหัวซุกหัวซุนด้วยความละอายกลับบ้านเกิดไปแล้วมั้ง !”
“เหอะ
คิดไม่ถึงว่าศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่านประมุขจะอ่อนแอไร้ความสามารถเยี่ยงนี้
น่าเห็นใจท่านประมุขที่ต้องแบกรับความอับอายในฐานะอาจารย์แทนมัน !”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว
พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ คนไปแล้วก็ช่างหัวมัน
พวกเรามาคุยกันเรื่องการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในวันพรุ่งนี้ดีกว่า
พวกเจ้าคิดว่าอันดับจะเป็นยังไง ?”
จากนั้นศิษย์ทั้งหลายจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการจัดอันดับรายชื่อแทน
ทว่า
ยังไม่ทันจะมีใครเริ่มเปิดหัวข้อ พวกเขาก็ได้ยินเสียงอุทานตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ
ดังออกมาจากทั่วสารทิศ
มีบางคนตะโกนเรียกชื่อจี้เทียนซิง
เหล่าศิษย์ฝ่ายในกลุ่มนั้นเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงและหันมามองที่ทางเข้าจัตุรัสอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือชายหนุ่มเยาว์วัยร่างสูงโปร่งเนื้อตัวมอมแมมราวกับขอทาน
กำลังเดินเข้ามา
สารรูปของมันดูน่าสมเพชยิ่ง
เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่งเผยเนื้อหนังราวกับว่าเป็นผู้ที่รอดชีวิตมาจากขุนเขาที่เต็มไปด้วยห่าคมกระบี่และทะเลเพลิง
แต่ทว่า
ดวงตาของเขากลับกระจ่างชัด ทั้งคมกริบและลึกล้ำ บรรยากาศทั่วร่างนั้นเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจและยังมีกลิ่นอายที่แข็งกร้าว
ความมั่นใจในตนเองและอารมณ์ที่มั่นคงปะทุออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
เปรียบเสมือนคมดาบที่มองไม่เห็นซึ่งทำให้เหล่าศิษย์สาวกกลางจัตุรัสต้องรู้สึกผวา
เผลอโคจรพลังปราณป้องกันตัวออกอย่างไม่รู้ตัว
เสียงพูดคุยในจัตุรัสหายไป
ทุกคนจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
จี้เทียนซิงเมินเฉยต่อสายตาทุกคู่
จนกระทั่งเขาเดินผ่านจัตุรัสฝ่ายในไปแล้ว ศิษย์หลายคนถึงได้สติกลับมาพลางอุทานว่า
“จี้เทียนซิง !”
“ที่แท้ก็เป็นมัน ? มันกลับมาได้อย่างไร?”
“เป็นไปไม่ได้ ! มิใช่ว่ามันเผ่นแน่บไปแล้วหรอกหรือ
มันกลับมาได้อย่างไร?”
“ตลอดหนึ่งเดือนเต็มมานี่มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ? เหตุใดถึงได้มีสารรูปน่าอดสูยิ่งกว่าขอทาน ?”
“จะ จี้เทียนซิงกลับมาแล้ว ! ข้าต้องรีบไปป่าวประกาศ วันพรุ่งนี้ต้องมีการแสดงชัดยอดแน่นอน !”
ซุนเฟิงที่ถูกเหล่าศิษย์ห้อมล้อมราวกับไอดอลรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า
มันก้มหน้าลง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved