ตอนที่ 294

เขากลับมาแล้ว

!

หลังจากเสร็จสิ้นการบ่มเพาะ

จี้เทียนซิงเปิดตาและลุกขึ้นยืน

ในเวลานี้นอกเหนือจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

เขายังเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์แห่งข่ายอาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นข่ายปราณหรือข่ายอาคมชนิดใดก็ตามที่ต่ำกว่าระดับสวรรค์(เทียบเท่ากับพลังระดับปราณฟ้า)

ไม่มีทางที่เขาจะไม่อาจพิชิตได้ !

บัดนี้เขาเชี่ยวชาญแก่นแท้ของ24วิถีข่ายอาคมระดับสวรรค์

อีกทั้งยังเข้าใจหลักเกณฑ์และที่มาของวิถีแห่งข่ายอาคม

มหาข่ายปราณใดๆที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์ล้วนแต่เป็นกิ่งก้านสาขาที่แตกแขนงออกมาจาก

24 วิถีข่ายอาคมที่เขาเพิ่งได้เรียนรู้มาทั้งนั้น

กล่าวได้ว่า

การเปลี่ยนแปลงใดๆย่อมไม่ทิ้งรากเหง้าและต้นตอแหล่งที่มา

เมื่อเขาเชี่ยวชาญแก่นแท้และแหล่งที่มาของวิถีแห่งข่ายอาคม

การที่จะทำลายหรือถอดรหัสพวกมันนั้นก็จะง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ

ชายหนุ่มมองดูเต่าหินที่ไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิตด้วยแววตาสำนึกขอบคุณ

จากนั้นก็เดินไปทางด้านหลังของบัลลังก์สีทอง

ในกำแพงวิหารสีดำที่อยู่ด้านหลังของบัลลังก์มีประตูหินสีดำ

กรอบประตูแสดงให้เห็นถึงเส้นสายและสัญลักษณ์ของข่ายอาคม

ผ่านประตูหินสีดำนี้ไปเราจะสามารถออกจากวิหารโบราณและกลับสู่เทือกเขาหมอกเร้นลับได้อีกครั้ง

จี้เทียนซิงใช้เวลาเพียงลัดนิ้วเดียวในการทลายอาคมบนประตูหิน

หลังจากที่ประตูหินถูกเปิดออก

ทางเข้าที่มีแสงสีขาวได้ควบแน่นและปรากฏขึ้น

“วูบ วูบ !”

จี้เทียนซิงข้ามทางเข้าออกและพุ่งออกจากวิหารโบราณแห่งดวงดาว

กลับออกไปยังทะเลทรายสุดลูกหูลูกตาอีกครั้ง

ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมหนาแน่นและทะเลทรายก็พัดพาพายุม้วนเป็นฝุ่นลอยละล่องปกคลุมท้องฟ้า

เขายืนอยู่บนเนินทรายกวาดสายตามองไปรอบๆและพบว่ารูปปั้นสัตว์อสูรบรรพกาลทั้งสิบสองตัวได้หายไปหมดสิ้น

ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

ก่อนที่เขาจะตกลงสู่ท้องฟ้าสุญญตาแห่งดวงดารา

ตลอดจนประสบการณ์ที่ได้เข้าไปในวิหารโบราณแห่งดวงดาวนั้นราวกับเป็นความฝันตื่นหนึ่ง...

“ข้าจัดการเรื่องราวล่าช้าออกไปเกือบเดือน

เหลือเวลาอีกไม่กี่วันการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...  หวังว่าข้าจะกลับไปได้ทันเวลา !”

จี้เทียนซิงส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา

จากนั้นเขาก็หมุนตัวและทะยานจากเนินทรายผ่านพายุทรายมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือด้วยฝีเท้าที่มั่นคง

หลังจากสามชั่วยามผ่านไป

ในที่สุดเขาก็ออกจากทะเลทรายเหลืองที่อยู่ในอาณาบริเวณของอดีตทะเลสาบจันทร์เต็มดวง

จากนั้นเขาก็ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ทำเครื่องหมายไว้แผนที่

เพื่อค้นหาทางออกจากเทือกเขาหมอกเร้นลับ

หลังออกจากทะเลสาบจันทร์เต็มดวง

เขาได้ผ่านพื้นที่อันตรายสองแห่งและประสบกับการถูกจู่โจมอย่างน่ากลัวหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ผ่านพ้นมาได้

หนึ่งวันต่อมา

เขาก็เดินออกจากเทือกเขาหมอกเร้นลับและขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ย

มุ่งหน้ากลับนิกายพันธมิตรสวรรค์ทันทีโดยไม่หยุดพัก

การกลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

หากนับจากเทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นมีระยะทางกว่า 3,000

ไมล์ซึ่งต้องใช้เวลากว่าสองวัน

ตกเย็นของวันที่สาม

จี้เทียนซิงก็กลับมาถึงอาณาเขตของนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ในที่สุด

ชายหนุ่มยืนเงยหน้ามองเชิงเขาของนิกาย

เพ่งสายตาไปที่ประตูใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า

..................

ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์,  จัตุรัสกว้างของฝ่ายใน

ศิษย์ฝ่ายในกว่ายี่สิบกว่าคนรวมกลุ่มกันเป็นกระจุกเพื่อพูดคุยกัน

มีเด็กหนุ่มร่างเล็กแก้มตอบดวงตาเปล่งประกายดูเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์คนหนึ่งกำลังถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์ฝ่ายในหลายคน

คนนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงในบรรดาฝ่ายใน

มันมีนามว่าซุนเฟิงซึ่งเป็นสายข่าวตัวจี๊ดภายในนิกาย

มันหย่อนก้นลงบนม้านั่งหินใต้ต้นไม้ใหญ่

ปากก็บอกกล่าวเรื่องราวซุบซิบนินทาและตำนานปรัมปรา

ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งฟังอยู่สักพักก็เอ่ยปากถามว่า

“ซุนเฟิง ในเมื่อเจ้าโอ่ว่าตนเองรู้มากนัก

เช่นนั้นก็จงบอกพวกเรามาซิว่า เด็กน้อยจี้เทียนซิงหายหัวไปไหน ?”

“นับตั้งแต่ถ้ำปีศาจถูกทำลายล้าง เจ้าเด็กเหลือขอจี้เทียนซิงก็ไม่เคยโผล่หัวมาให้เห็นในนิกายเลยตลอดหนึ่งเดือนเต็ม

ทั้งๆที่การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์จะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว”

ศิษย์คนอื่น

ๆที่ได้ยินก็พยักหน้าและกระซิบกระซาบกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

"ถูกต้อง ! ซุนเฟิงเจ้าบอกพวกเราซิ

เจ้าเด็กน้อยจี้เทียนซิงใช่รู้สึกหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ไป๋จนรีบหนีไปซ่อนตัวตามที่เขาลือกันหรือเปล่า

?”

“นั่นสิ ข้าก็คิดว่าข่าวลือเป็นจริงกว่าแปดส่วน ด้วยความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงระดับปราณจิตขั้นสอง

หน้าอย่างมันจะชนะใครได้ ?”

“เฮอะ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ไป๋เลย

หากเป็นข้าที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นหกก็สามารถล้มไอ้หนูนั่นได้ไม่ยากนัก

พวกเจ้าเชื่อหรือเปล่าเล่า ?”

ซุนเฟิงเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานต่อคำพูดซุบซิบนินทาของเหล่าศิษย์

หลังจากพวกมันเงียบลง

ซุนเฟิงก็พูดว่า “อันที่จริงแล้วทุกคนก็ทราบเรื่องนี้กันดี

อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย ทั่วทั้งนิกายต่างก็คุยกันให้แซ่ด ไม่เพียงแค่ฝ่ายในของเรา

ฝ่ายนอกก็รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นทุกวัน

ทุกวันนี้พวกมันเอาแต่ถกกันเรื่องของจี้เทียนซิง”

“ข้าเคยได้ยินอีกด้วยว่า

แม้แต่ผู้อาวุโสและผู้ดูแลต่างก็กังวลกับเรื่องนี้

พวกท่านรู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อจี้เทียนซิงที่จู่ๆก็หายตัวไป”

ศิษย์ฝ่ายในหลายคนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจและพยักหน้าเห็นด้วย

ซุนเฟิงแสยะยิ้มพลางกระซิบเย้ยหยันว่า

“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อห้าวันก่อนท่านประมุขได้ส่งคนออกไปสืบเรื่องนี้และมีคำสั่งให้ตามหามัน”

“น่าเสียดาย

ไม่รู้ว่าจี้เทียนซิงหลบไปมุดหัวอยู่ที่ไหน

ตลอดห้าวันมานี้ก็ยังไม่มีใครพบเห็นหรือทราวข่าวคราวของมันเลย จนทุกคนต่างก็คาดเดากันไปว่าจี้เทียนซิงต้องหนีการประลองและหลบไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง

!”

ศิษย์ทั้งหลายได้ฟังก็เริ่มเห็นด้วยและเชื่อในคำพูดของซุนเฟิง

พวกเขาหัวเราะเยาะเย้ยกันอย่างสนุกปาก

“เพ้ย ! ไอ้เด็กเหลือขอนั่นทำงามหน้านัก

เสียชื่อท่านประมุขจริงๆ ข้าไม่คิดว่ามันจะหนี”

“เหอๆ มันเขียนคำท้าประลองกลางจัตุรัสและป่าวประกาศไปทั่วฝ่ายในอย่างโอหังเมื่อเดือนก่อน

ข้าก็หลงคิดว่าจะแน่ !”

“หึ คิดไม่ถึงว่าผ่านไม่ไปนานมันก็เผยใบหน้าที่แท้จริง

เจ้าเด็กเหลือขอนั่นขี้ขลาดเหมือนหนู

ป่านนี้มันคงหนีหัวซุกหัวซุนด้วยความละอายกลับบ้านเกิดไปแล้วมั้ง !”

“เหอะ

คิดไม่ถึงว่าศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่านประมุขจะอ่อนแอไร้ความสามารถเยี่ยงนี้

น่าเห็นใจท่านประมุขที่ต้องแบกรับความอับอายในฐานะอาจารย์แทนมัน !”

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว

พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ คนไปแล้วก็ช่างหัวมัน

พวกเรามาคุยกันเรื่องการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในวันพรุ่งนี้ดีกว่า

พวกเจ้าคิดว่าอันดับจะเป็นยังไง ?”

จากนั้นศิษย์ทั้งหลายจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการจัดอันดับรายชื่อแทน

ทว่า

ยังไม่ทันจะมีใครเริ่มเปิดหัวข้อ พวกเขาก็ได้ยินเสียงอุทานตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ

ดังออกมาจากทั่วสารทิศ

มีบางคนตะโกนเรียกชื่อจี้เทียนซิง

เหล่าศิษย์ฝ่ายในกลุ่มนั้นเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงและหันมามองที่ทางเข้าจัตุรัสอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือชายหนุ่มเยาว์วัยร่างสูงโปร่งเนื้อตัวมอมแมมราวกับขอทาน

กำลังเดินเข้ามา

สารรูปของมันดูน่าสมเพชยิ่ง

เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่งเผยเนื้อหนังราวกับว่าเป็นผู้ที่รอดชีวิตมาจากขุนเขาที่เต็มไปด้วยห่าคมกระบี่และทะเลเพลิง

แต่ทว่า

ดวงตาของเขากลับกระจ่างชัด ทั้งคมกริบและลึกล้ำ บรรยากาศทั่วร่างนั้นเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจและยังมีกลิ่นอายที่แข็งกร้าว

ความมั่นใจในตนเองและอารมณ์ที่มั่นคงปะทุออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ

เปรียบเสมือนคมดาบที่มองไม่เห็นซึ่งทำให้เหล่าศิษย์สาวกกลางจัตุรัสต้องรู้สึกผวา

เผลอโคจรพลังปราณป้องกันตัวออกอย่างไม่รู้ตัว

เสียงพูดคุยในจัตุรัสหายไป

ทุกคนจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน

จี้เทียนซิงเมินเฉยต่อสายตาทุกคู่

จนกระทั่งเขาเดินผ่านจัตุรัสฝ่ายในไปแล้ว ศิษย์หลายคนถึงได้สติกลับมาพลางอุทานว่า

“จี้เทียนซิง !”

“ที่แท้ก็เป็นมัน ? มันกลับมาได้อย่างไร?”

“เป็นไปไม่ได้ ! มิใช่ว่ามันเผ่นแน่บไปแล้วหรอกหรือ

มันกลับมาได้อย่างไร?”

“ตลอดหนึ่งเดือนเต็มมานี่มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ? เหตุใดถึงได้มีสารรูปน่าอดสูยิ่งกว่าขอทาน ?”

“จะ จี้เทียนซิงกลับมาแล้ว ! ข้าต้องรีบไปป่าวประกาศ วันพรุ่งนี้ต้องมีการแสดงชัดยอดแน่นอน !”

ซุนเฟิงที่ถูกเหล่าศิษย์ห้อมล้อมราวกับไอดอลรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า

มันก้มหน้าลง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย