การตัดสินใจ
จี้เทียนซิงไม่คุ้นเคยและไม่เคยพบชายหนุ่มผู้ที่กำลังกระซิบกระซาบกับจี้เค่อมาก่อน
ด้วยความสงสัยเขาจึงยืนอยู่เงียบๆที่ประตูและฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองคน
ชายหนุ่มกล่าวกับจี้เค่อว่า
“ศิษย์น้องจี้เค่อ อาการบาดเจ็บภายนอกของเจ้าทุเลาเกินครึ่งแล้ว
ทว่าอาการบาดเจ็บภายในยังคงต้องได้รับการรักษาอีกครึ่งเดือน”
“อาวุโสเพิ่งมอบใบสั่งยาสำหรับเจ้า
พรุ่งนี้ข้าจะนำยามาให้ หลังจากรักษาตัวอีกครึ่งเดือนเจ้าจะหายขาด”
จี้เค่อพยักหน้าและผุดยิ้มบางพลางกล่าวว่า “มีศิษย์พี่ซูฉินคอยดูแลมานานกว่าครึ่งเดือน
ข้าซาบซึ้งบุญคุณของท่านมาก หากไม่ได้ท่านอาการบาดเจ็บของข้าคงไม่หายเร็วเช่นนี้”
ชายหนุ่มที่ชื่อซูฉินโบกไม้โบกมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ศิษย์น้องจี้เค่อเกรงใจไปแล้ว
ข้าเป็นทั้งศิษย์ของผู้อาวุโสโอสถและยังเป็นนักปรุงยาของหอวิญญาณโอสถ เรื่องการรักษาให้เจ้าก็นับเป็นความรับผิดชอบของข้าในแผนกอยู่แล้ว”
ซูฉินหยุดไปพักหนึ่งและถามว่า
“ศิษย์น้อยจี้เค่อ ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในหอวิญญาณโอสถมานานกว่าครึ่งเดือน
เจ้ามีความเข้าใจในตัวยาเป็นอย่างมาก”
“ดังนั้น......เรื่องที่ข้าเคยบอกเจ้า เจ้าคิดอย่างไรเล่า ?”
“อ่า....” จี้เค่อส่งเสียงครางในลำคอและรู้สึกลังเล
“ศิษย์พี่ซูฉินโปรดให้เวลากับข้ามากกว่านี้หน่อยเถิด
ข้าขอเวลาคิดดูอีกสักพัก หอวิญญาณโอสถเป็นสถานที่ที่มีความกดดันสูงแห่งหนึ่งในนิกาย
ท่านอาวุโสโอสถก็เป็นดั่งราชาโอสถที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คนเป็นอย่างสูง ข้าเกรงว่าคุณสมบัติและความสามารถของข้าจะทำให้ชื่อเสียงของพวกท่านต้องมัวหมอง”
ซูฉินหัวเราะเบาๆและส่ายหัวพร้อมกับกล่าวปลอบใจนางอย่างรวดเร็วว่า
“ศิษย์น้องจี้เค่อ เจ้ามิต้องกังวลเกินไปนัก
อุปนิสัยและอารมณ์ของท่านผู้อาวุโสโอสถนั้นศิษย์ของนิกายเราทุกคนต่างรู้กันดี
ท่านเป็นคนอ่อนโยนใจดีและมีน้ำใจมากที่สุด
หากศิษย์น้องย้ายมาเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถ เจ้าจะต้องสบายใจและไม่เป็นกังวลเหมือนตอนอยู่ในหอยุทธ์ไป๋ลู่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันโหดร้าย”
“ผู้อาวุโสโอสถเคยกล่าวกับข้าหลายครั้งแล้วว่ายามที่ท่านมองศิษย์น้อง
ท่านรู้สึกเหมือนมองหลานสาวแท้ๆของตัวเอง
บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาประเภทหนึ่ง มันทำให้ท่านอยากรับเจ้าเป็นศิษย์และสั่งสอนวิถีแห่งโอสถ
ศิษย์น้อง เจ้ารังเกียจที่จะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสโอสถหรือ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูฉิน
อารมณ์ของจี้เค่อก็กลายเป็นสับสนวุ่นวาย นางโบกมือเป็นพัลวันและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซูฉินอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ! ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น
ช่วงที่ผ่านมานี่ได้ท่านกับท่านผู้อาวุโสโอสถดูแลมาตลอดนั้นข้าซาบซึ้งและขอบคุณมาก เพียงแต่ว่าข้ามิได้มีพรสวรรค์ทางด้านโอสถ
เกรงว่าหากไปอยู่ใต้การดูแลของท่านแล้วจะทำให้ท่านต้องขายหน้าลำบากใจ.... ”
ซูฉินดูเหมือนจะคาดหวังให้นางพูดเช่นนี้
มันยิ้มอย่างอบอุ่นพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องจี้เค่อ
สำหรับเรื่องนี้เจ้ามั่นใจได้เลย
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้อาวุโสต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์ก็เพราะท่านเห็นว่ารากฐานวิญญาณของเจ้ามิได้ตื้นเขินจนเกินไป
นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์โดยธรรมชาติ”
“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสำเร็จทางด้านเต๋าแห่งโอสถและพื้นฐานบ่มเพาะของผู้อาวุโส
ต่อให้เจ้าเป็นหินผาหากได้ท่านอบรมสอนสั่ง สักวันหนึ่งเจ้าจะเป็นนักหลอมโอสถที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ
!”
เมื่อเห็นว่าจี้เค่อยังคงนิ่งเงียบและมีแววตาหลุกหลิกลังเล
ซูฉินก็เปิดเกมรุกต่อไป “ข้ารู้ดีว่าศิษย์น้องจี้เค่อมุ่งหวังจะเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกาจ
หากเจ้าต้องย้ายจากหอยุทธ์ไป๋ลู่ไปยังหอวิญญาณโอสถเพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งโอสถนั้นย่อมเป็นการถ่วงรั้งการฝึกฝนวรยุทธ์ของเจ้าเป็นแน่”
“แต่เจ้าฟังข้านะศิษย์น้อง หากเจ้าสามารถเป็นปรมาจารย์โอสถได้
เจ้าก็จะสามารถปรับแต่งเม็ดยาและหลอมโอสถวิเศษได้นับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าจากแห่งหนใดก็ตาม
พวกมันก็ต้องพึ่งการปรุงยาและการรักษาจากเจ้า
ศาสตร์แขนงนี้มีแต่ข้อดีอย่างไม่สิ้นสุด”
“เช่นเดียวกับข้า ข้ารักความเงียบสงบ
ข้าเกลียดชังการแก่งแย่งชิงดีรบราฆ่าฟัน
ดังนั้นข้าจึงเลือกเอาดีทางด้านโอสถ”
“แบกเตาปรุงยาไปช่วยโลกหล้า....”
“เอาล่ะๆ เอาเป็นตามนี้เลยนะศิษย์น้องจี้เค่อ
ข้าจะได้รีบไปแจ้งข่าวดีต่อท่านอาจารย์”
จี้เค่อเงียบไปและขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ซูฉิน อย่าได้รีบร้อนไป ข้าขอคุยกับพี่ใหญ่เทียนซิงก่อนได้ไหม
ให้จะเขาช่วยตัดสินใจ”
“พี่ใหญ่เทียนซิง ? เขาเป็นพี่ชายเจ้าหรือศิษย์น้อง ?” ซูฉินถามด้วยความสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็ดี เรื่องใหญ่สมควรให้พี่ชายเป็นผู้ตัดสินใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนก็แล้วเจ้าลองปรึกษาพี่ชายของเจ้าดู
พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่"
กล่าวจบซูฉินก็อำลาจี้เค่อแล้วเดินจากไป
จี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่ในห้องข้างๆอย่างเงียบเชียบ
จนกระทั่งซูฉินเดินจากไปเขาจึงกลับไปในห้องของจี้เค่ออีกครั้งและเห็นว่านางกำลังยืนถอนหายใจอยู่ริมหน้าต่างพลางจ้องมองไปที่ต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ข้างนอก
“เค่อเค่อ !”
จี้เทียนซิงทักทายนางด้วยรอยยิ้มและเดินไปหานางพร้อมกับถามว่า
“ทำไมมายืนทำหน้ามึนๆอยู่ริมหน้าต่างเช่นนี้เล่า ? คิดอะไรอยู่ ?"
“อ่า... พี่ใหญ่เทียนซิง ทำไมท่านถึงกลับมาอีก ?”
จี้เค่อยิ้มเล็กน้อยและดึงแขนของชายหนุ่มพลางกล่าวว่า
“แต่ท่านมาก็ดีแล้ว
ข้ากำลังคิดจะไปหาท่านอยู่พอดี”
จี้เทียนซิงเหยียดมือออกไปลูบวงหน้าเล็กๆของนางและกล่าวด้วยยิ้มว่า
“เจ้าคิดจะย้ายจากหอยุทธ์ไป๋ลู่ไปเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถเพื่อเดินในเส้นทางแห่งโอสถ
เจ้าเลยคิดจะถามความเห็นของข้าใช่หรือไม่ ?”
“เอ๋ ? ทำไม...” จี้เค่อยกมือปิดหน้าอกด้วยสีหน้าตกตะลึง นางถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าเมื่อครู่พี่ใหญ่เทียนซิงได้ยินที่ข้าคุยกับศิษย์พี่ซูฉิน ?”
“ถูกต้องแล้ว” จี้เทียนซิงพยักหน้าและอธิบายว่า
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง ข้าบังเอิญเดินมาหาเจ้าพอดีเลยได้ยินเข้า”
เห็นได้ชัดว่าจี้เค่อไม่ได้สนใจเรื่องที่ถูกแอบฟัง
นางเงยหน้าขึ้นและจ้องมองอีกฝ่ายพลางถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ใหญ่เทียนซิง แล้วท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้ ?”
จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า “ข้าคิดว่าคำชักชวนของซูฉินก็สมเหตุสมผลและดูเหมาะสมกับเจ้าดี”
“เหล่าศิษย์พูดกันว่าผู้อาวุโสโอสถแห่งหอวิญญาณโอสถเป็นบุคลที่มีนิสัยใจคอดีน่าเคารพ
ท่านเป็นที่ชื่นชอบของศิษย์แทบทุกคน ข้าเองก็เคยพบท่านมาครั้งหนึ่ง
ท่านเป็นคนดีจริงๆ”
“เค่อเค่อ
หากเจ้าย้ายไปเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถก็นับเป็นพรอันประเสริฐแก่เจ้าแล้ว
ด้วยความรู้ความสามารถของผู้อาวุโสโอสถและความเฉลียวฉลาดของเจ้า
ข้ามั่นใจว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะประสบความสำเร็จในศาสตร์แขนงนี้”
จี้เค่อก็เข้าใจดีว่าการได้เป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถนับเป็นเรื่องที่น่าภิรมย์ยิ่งนัก
อีกทั้งการได้เป็นศิษย์สายตรงและได้เรียนรู้การปรุงยาจากผู้อาวุโสโอสถย่อมเป็นที่อิจฉาของเหล่าศิษย์แทบทุกคน
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามด้วยความกังวลจากใจจริงว่า
“พี่ใหญ่เทียนซิง...
หากข้ารั้งอยู่ในหอวิญญาณโอสถ
การที่เราจะพบกันนั้นถือเป็นเรื่องยากกว่าเดิมหรือไม่ ?”
“เด็กหญิงที่โง่เขลาเอ๋ย !”
จี้เทียนซิงยื่นมือบีบจมูกน้อยๆของนางและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ท่านประมุขนิกายมอบป้ายคำสั่งสวรรค์ให้แก่ข้า
ต่อจากนี้ไปข้าสามารถเดินเข้าเดินออกได้ทั่วทุกแห่งของนิกาย
ข้าจะมาหาเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้”
“วิเศษไปเลย
เช่นนั้นข้าก็ไม่ห่วงอะไรแล้วพี่ใหญ่เทียนซิง !”
จี้เค่อพยักหน้าอีกครั้ง
หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยความลังเลและกลัดกลุ้มของนางในที่สุดก็มลายหายไปหมดสิ้น
หลังจากสงบใจลงนางก็เงียบไปครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า
“พี่ใหญ่เทียนซิง
ข้าครุ่นคิดถึงปัญหาบางอย่างมานานแล้ว
ท่านว่าจริงหรือไม่ที่ท่านอาจี้หลิงกล่าวว่า
เกิดในตระกูลราชวงศ์ไม่มีคำว่าญาติพี่น้อง ?”
“ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนสามารถกลายเป็นบ้าคลั่งและไร้มนุษยธรรมเพื่ออนาคตในการไขว่คว้าพลังอันไร้ที่สิ้นสุดงั้นหรือ
?”
“ถ้าหากต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจแล้วต้องเลือดเย็นไร้ซึ่งคุณธรรม
เช่นนั้นข้าไม่ขอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ดีกว่า... ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาที่แจ่มใสของนางก็ฉายแววอันเศร้าหมองและท้อใจ
จี้เทียนซิงเข้าใจว่าทำไมนางถึงมีความคิดแบบนี้
เขาตบไหล่และปลอบโยนนางว่า “เค่อเค่อ ข้าเข้าใจนะ
เจ้าคิดเช่นนี้ก็เพราะว่าเจ้ายังลืมเรื่องวันนั้นไม่ได้
มันโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้ที่มองโลกในแง่ดีอย่างเจ้า เจ้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”
“แต่ว่านะ
ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนหรอกที่เย็นชากระหายเลือดอย่างจี้หลิง จี้หลิงนั้นต่างออกไป มันเกิดมาพร้อมกับตันเถียนพิกลพิการจนถูกตราหน้าว่าเศษสวะไร้ค่าของราชวงศ์
เรื่องนี้กลายเป็นปมด้อยที่ฝังลึกในใจของมันและทำให้จิตใจของมันผิดเพี้ยนบ้าคลั่ง”
“เจ้าดูอย่างเนี่ยห่าวสิ
ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนปกติแบบมันนั่นล่ะ
หรือไม่ก็ศิษย์พี่ซูฉินเมื่อครู่นี้ พวกเขาทั้งสองนับว่าเป็นรุ่นเยาว์ที่อบอุ่นร่าเริงและมองโลกในแง่ดีใช่ไหมเล่า
?”
ในขณะที่ปลอบโยนจี้เค่อ
จี้เทียนซิงก็จับไหล่บางทั้งสองข้างของนางไว้มั่นและเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นให้กำลังใจ
“สรุปว่านะ
หากเจ้ารู้สึกท้อแท้กับเส้นทางอันโหดร้ายของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์
เจ้าก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถและจดจ่อกับการปรุงยาหลอมโอสถไปเถิด
ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหนข้าก็สนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าเต็มที่”
“ข้าหวังว่าเจ้าจะลืมเรื่องร้ายวันนั้นโดยเร็วและกลับไปเป็นองค์หญิงน้อยคนเดิมผู้ฉลาด, สดใส, น่ารักอีกครั้ง !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved