ตอนที่ 177

การตัดสินใจ

จี้เทียนซิงไม่คุ้นเคยและไม่เคยพบชายหนุ่มผู้ที่กำลังกระซิบกระซาบกับจี้เค่อมาก่อน

ด้วยความสงสัยเขาจึงยืนอยู่เงียบๆที่ประตูและฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองคน

ชายหนุ่มกล่าวกับจี้เค่อว่า

“ศิษย์น้องจี้เค่อ อาการบาดเจ็บภายนอกของเจ้าทุเลาเกินครึ่งแล้ว

ทว่าอาการบาดเจ็บภายในยังคงต้องได้รับการรักษาอีกครึ่งเดือน”

“อาวุโสเพิ่งมอบใบสั่งยาสำหรับเจ้า

พรุ่งนี้ข้าจะนำยามาให้ หลังจากรักษาตัวอีกครึ่งเดือนเจ้าจะหายขาด”

จี้เค่อพยักหน้าและผุดยิ้มบางพลางกล่าวว่า “มีศิษย์พี่ซูฉินคอยดูแลมานานกว่าครึ่งเดือน

ข้าซาบซึ้งบุญคุณของท่านมาก หากไม่ได้ท่านอาการบาดเจ็บของข้าคงไม่หายเร็วเช่นนี้”

ชายหนุ่มที่ชื่อซูฉินโบกไม้โบกมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“ศิษย์น้องจี้เค่อเกรงใจไปแล้ว

ข้าเป็นทั้งศิษย์ของผู้อาวุโสโอสถและยังเป็นนักปรุงยาของหอวิญญาณโอสถ เรื่องการรักษาให้เจ้าก็นับเป็นความรับผิดชอบของข้าในแผนกอยู่แล้ว”

ซูฉินหยุดไปพักหนึ่งและถามว่า

“ศิษย์น้อยจี้เค่อ ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในหอวิญญาณโอสถมานานกว่าครึ่งเดือน

เจ้ามีความเข้าใจในตัวยาเป็นอย่างมาก”

“ดังนั้น......เรื่องที่ข้าเคยบอกเจ้า  เจ้าคิดอย่างไรเล่า ?”

“อ่า....”   จี้เค่อส่งเสียงครางในลำคอและรู้สึกลังเล

“ศิษย์พี่ซูฉินโปรดให้เวลากับข้ามากกว่านี้หน่อยเถิด

ข้าขอเวลาคิดดูอีกสักพัก หอวิญญาณโอสถเป็นสถานที่ที่มีความกดดันสูงแห่งหนึ่งในนิกาย

ท่านอาวุโสโอสถก็เป็นดั่งราชาโอสถที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คนเป็นอย่างสูง  ข้าเกรงว่าคุณสมบัติและความสามารถของข้าจะทำให้ชื่อเสียงของพวกท่านต้องมัวหมอง”

ซูฉินหัวเราะเบาๆและส่ายหัวพร้อมกับกล่าวปลอบใจนางอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์น้องจี้เค่อ เจ้ามิต้องกังวลเกินไปนัก

อุปนิสัยและอารมณ์ของท่านผู้อาวุโสโอสถนั้นศิษย์ของนิกายเราทุกคนต่างรู้กันดี

ท่านเป็นคนอ่อนโยนใจดีและมีน้ำใจมากที่สุด

หากศิษย์น้องย้ายมาเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถ เจ้าจะต้องสบายใจและไม่เป็นกังวลเหมือนตอนอยู่ในหอยุทธ์ไป๋ลู่ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันโหดร้าย”

“ผู้อาวุโสโอสถเคยกล่าวกับข้าหลายครั้งแล้วว่ายามที่ท่านมองศิษย์น้อง

ท่านรู้สึกเหมือนมองหลานสาวแท้ๆของตัวเอง

บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาประเภทหนึ่ง มันทำให้ท่านอยากรับเจ้าเป็นศิษย์และสั่งสอนวิถีแห่งโอสถ

ศิษย์น้อง เจ้ารังเกียจที่จะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสโอสถหรือ ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของซูฉิน

อารมณ์ของจี้เค่อก็กลายเป็นสับสนวุ่นวาย นางโบกมือเป็นพัลวันและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซูฉินอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ! ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น

ช่วงที่ผ่านมานี่ได้ท่านกับท่านผู้อาวุโสโอสถดูแลมาตลอดนั้นข้าซาบซึ้งและขอบคุณมาก  เพียงแต่ว่าข้ามิได้มีพรสวรรค์ทางด้านโอสถ

เกรงว่าหากไปอยู่ใต้การดูแลของท่านแล้วจะทำให้ท่านต้องขายหน้าลำบากใจ.... ”

ซูฉินดูเหมือนจะคาดหวังให้นางพูดเช่นนี้

มันยิ้มอย่างอบอุ่นพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องจี้เค่อ

สำหรับเรื่องนี้เจ้ามั่นใจได้เลย

อีกเหตุผลหนึ่งที่ผู้อาวุโสต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์ก็เพราะท่านเห็นว่ารากฐานวิญญาณของเจ้ามิได้ตื้นเขินจนเกินไป

นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์โดยธรรมชาติ”

“ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสำเร็จทางด้านเต๋าแห่งโอสถและพื้นฐานบ่มเพาะของผู้อาวุโส

ต่อให้เจ้าเป็นหินผาหากได้ท่านอบรมสอนสั่ง สักวันหนึ่งเจ้าจะเป็นนักหลอมโอสถที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ

!”

เมื่อเห็นว่าจี้เค่อยังคงนิ่งเงียบและมีแววตาหลุกหลิกลังเล

ซูฉินก็เปิดเกมรุกต่อไป “ข้ารู้ดีว่าศิษย์น้องจี้เค่อมุ่งหวังจะเป็นจอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกาจ

หากเจ้าต้องย้ายจากหอยุทธ์ไป๋ลู่ไปยังหอวิญญาณโอสถเพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งโอสถนั้นย่อมเป็นการถ่วงรั้งการฝึกฝนวรยุทธ์ของเจ้าเป็นแน่”

“แต่เจ้าฟังข้านะศิษย์น้อง หากเจ้าสามารถเป็นปรมาจารย์โอสถได้

เจ้าก็จะสามารถปรับแต่งเม็ดยาและหลอมโอสถวิเศษได้นับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกล้าจากแห่งหนใดก็ตาม

พวกมันก็ต้องพึ่งการปรุงยาและการรักษาจากเจ้า

ศาสตร์แขนงนี้มีแต่ข้อดีอย่างไม่สิ้นสุด”

“เช่นเดียวกับข้า ข้ารักความเงียบสงบ

ข้าเกลียดชังการแก่งแย่งชิงดีรบราฆ่าฟัน

ดังนั้นข้าจึงเลือกเอาดีทางด้านโอสถ”

“แบกเตาปรุงยาไปช่วยโลกหล้า....”

“เอาล่ะๆ เอาเป็นตามนี้เลยนะศิษย์น้องจี้เค่อ

ข้าจะได้รีบไปแจ้งข่าวดีต่อท่านอาจารย์”

จี้เค่อเงียบไปและขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า

“ศิษย์พี่ซูฉิน อย่าได้รีบร้อนไป ข้าขอคุยกับพี่ใหญ่เทียนซิงก่อนได้ไหม

ให้จะเขาช่วยตัดสินใจ”

“พี่ใหญ่เทียนซิง ?  เขาเป็นพี่ชายเจ้าหรือศิษย์น้อง ?” ซูฉินถามด้วยความสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ก็ดี เรื่องใหญ่สมควรให้พี่ชายเป็นผู้ตัดสินใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนก็แล้วเจ้าลองปรึกษาพี่ชายของเจ้าดู

พรุ่งนี้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่"

กล่าวจบซูฉินก็อำลาจี้เค่อแล้วเดินจากไป

จี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่ในห้องข้างๆอย่างเงียบเชียบ

จนกระทั่งซูฉินเดินจากไปเขาจึงกลับไปในห้องของจี้เค่ออีกครั้งและเห็นว่านางกำลังยืนถอนหายใจอยู่ริมหน้าต่างพลางจ้องมองไปที่ต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ข้างนอก

“เค่อเค่อ !”

จี้เทียนซิงทักทายนางด้วยรอยยิ้มและเดินไปหานางพร้อมกับถามว่า

“ทำไมมายืนทำหน้ามึนๆอยู่ริมหน้าต่างเช่นนี้เล่า ? คิดอะไรอยู่ ?"

“อ่า...  พี่ใหญ่เทียนซิง ทำไมท่านถึงกลับมาอีก ?”

จี้เค่อยิ้มเล็กน้อยและดึงแขนของชายหนุ่มพลางกล่าวว่า

“แต่ท่านมาก็ดีแล้ว

ข้ากำลังคิดจะไปหาท่านอยู่พอดี”

จี้เทียนซิงเหยียดมือออกไปลูบวงหน้าเล็กๆของนางและกล่าวด้วยยิ้มว่า

“เจ้าคิดจะย้ายจากหอยุทธ์ไป๋ลู่ไปเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถเพื่อเดินในเส้นทางแห่งโอสถ

เจ้าเลยคิดจะถามความเห็นของข้าใช่หรือไม่ ?”

“เอ๋ ? ทำไม...” จี้เค่อยกมือปิดหน้าอกด้วยสีหน้าตกตะลึง นางถามด้วยความสงสัยว่า  “หรือว่าเมื่อครู่พี่ใหญ่เทียนซิงได้ยินที่ข้าคุยกับศิษย์พี่ซูฉิน ?”

“ถูกต้องแล้ว” จี้เทียนซิงพยักหน้าและอธิบายว่า

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง ข้าบังเอิญเดินมาหาเจ้าพอดีเลยได้ยินเข้า”

เห็นได้ชัดว่าจี้เค่อไม่ได้สนใจเรื่องที่ถูกแอบฟัง

นางเงยหน้าขึ้นและจ้องมองอีกฝ่ายพลางถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ใหญ่เทียนซิง แล้วท่านคิดยังไงกับเรื่องนี้ ?”

จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า “ข้าคิดว่าคำชักชวนของซูฉินก็สมเหตุสมผลและดูเหมาะสมกับเจ้าดี”

“เหล่าศิษย์พูดกันว่าผู้อาวุโสโอสถแห่งหอวิญญาณโอสถเป็นบุคลที่มีนิสัยใจคอดีน่าเคารพ

ท่านเป็นที่ชื่นชอบของศิษย์แทบทุกคน ข้าเองก็เคยพบท่านมาครั้งหนึ่ง

ท่านเป็นคนดีจริงๆ”

“เค่อเค่อ

หากเจ้าย้ายไปเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถก็นับเป็นพรอันประเสริฐแก่เจ้าแล้ว

ด้วยความรู้ความสามารถของผู้อาวุโสโอสถและความเฉลียวฉลาดของเจ้า

ข้ามั่นใจว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะประสบความสำเร็จในศาสตร์แขนงนี้”

จี้เค่อก็เข้าใจดีว่าการได้เป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถนับเป็นเรื่องที่น่าภิรมย์ยิ่งนัก

อีกทั้งการได้เป็นศิษย์สายตรงและได้เรียนรู้การปรุงยาจากผู้อาวุโสโอสถย่อมเป็นที่อิจฉาของเหล่าศิษย์แทบทุกคน

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามด้วยความกังวลจากใจจริงว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิง...

หากข้ารั้งอยู่ในหอวิญญาณโอสถ

การที่เราจะพบกันนั้นถือเป็นเรื่องยากกว่าเดิมหรือไม่ ?”

“เด็กหญิงที่โง่เขลาเอ๋ย !”

จี้เทียนซิงยื่นมือบีบจมูกน้อยๆของนางและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ท่านประมุขนิกายมอบป้ายคำสั่งสวรรค์ให้แก่ข้า

ต่อจากนี้ไปข้าสามารถเดินเข้าเดินออกได้ทั่วทุกแห่งของนิกาย

ข้าจะมาหาเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้”

“วิเศษไปเลย

เช่นนั้นข้าก็ไม่ห่วงอะไรแล้วพี่ใหญ่เทียนซิง !”

จี้เค่อพยักหน้าอีกครั้ง

หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยความลังเลและกลัดกลุ้มของนางในที่สุดก็มลายหายไปหมดสิ้น

หลังจากสงบใจลงนางก็เงียบไปครู่หนึ่งและพูดต่อไปว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิง

ข้าครุ่นคิดถึงปัญหาบางอย่างมานานแล้ว

ท่านว่าจริงหรือไม่ที่ท่านอาจี้หลิงกล่าวว่า

เกิดในตระกูลราชวงศ์ไม่มีคำว่าญาติพี่น้อง ?”

“ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนสามารถกลายเป็นบ้าคลั่งและไร้มนุษยธรรมเพื่ออนาคตในการไขว่คว้าพลังอันไร้ที่สิ้นสุดงั้นหรือ

?”

“ถ้าหากต้องการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจแล้วต้องเลือดเย็นไร้ซึ่งคุณธรรม

เช่นนั้นข้าไม่ขอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ดีกว่า... ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาที่แจ่มใสของนางก็ฉายแววอันเศร้าหมองและท้อใจ

จี้เทียนซิงเข้าใจว่าทำไมนางถึงมีความคิดแบบนี้

เขาตบไหล่และปลอบโยนนางว่า “เค่อเค่อ ข้าเข้าใจนะ

เจ้าคิดเช่นนี้ก็เพราะว่าเจ้ายังลืมเรื่องวันนั้นไม่ได้

มันโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้ที่มองโลกในแง่ดีอย่างเจ้า  เจ้าก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”

“แต่ว่านะ

ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนหรอกที่เย็นชากระหายเลือดอย่างจี้หลิง  จี้หลิงนั้นต่างออกไป มันเกิดมาพร้อมกับตันเถียนพิกลพิการจนถูกตราหน้าว่าเศษสวะไร้ค่าของราชวงศ์

เรื่องนี้กลายเป็นปมด้อยที่ฝังลึกในใจของมันและทำให้จิตใจของมันผิดเพี้ยนบ้าคลั่ง”

“เจ้าดูอย่างเนี่ยห่าวสิ

ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่ก็เป็นคนปกติแบบมันนั่นล่ะ

หรือไม่ก็ศิษย์พี่ซูฉินเมื่อครู่นี้ พวกเขาทั้งสองนับว่าเป็นรุ่นเยาว์ที่อบอุ่นร่าเริงและมองโลกในแง่ดีใช่ไหมเล่า

?”

ในขณะที่ปลอบโยนจี้เค่อ

จี้เทียนซิงก็จับไหล่บางทั้งสองข้างของนางไว้มั่นและเผยรอยยิ้มอันอบอุ่นให้กำลังใจ

“สรุปว่านะ

หากเจ้ารู้สึกท้อแท้กับเส้นทางอันโหดร้ายของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์

เจ้าก็ฝากตัวเป็นศิษย์ของหอวิญญาณโอสถและจดจ่อกับการปรุงยาหลอมโอสถไปเถิด

ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหนข้าก็สนับสนุนและให้กำลังใจเจ้าเต็มที่”

“ข้าหวังว่าเจ้าจะลืมเรื่องร้ายวันนั้นโดยเร็วและกลับไปเป็นองค์หญิงน้อยคนเดิมผู้ฉลาด, สดใส, น่ารักอีกครั้ง !”