หลังจากสดับรับฟังข้อเสนอของเทียนจี้เจิ้นเหริน
เทียนเจี้ยนจงพลันขมวดคิ้ว
คนส่ายหัวไปมาอย่างไม่ลังเลและกล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า
“เรื่องนี้ทำไม่ได้และไม่มีวันเป็นไปได้
!”
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแปดนิกายเต็มไปด้วยความขัดแย้งแก่งแย่งก็จริงอยู่
ฉากหน้าพวกเราดูสงบท่ามกลางความกินแหนงแคลงใจ
แต่เรามิอาจหักกันซึ่งหน้าเช่นนี้ได้ !”
"จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเดินทางมาร่วมฉลองวันเกิดข้า
หากลงมือสังหารพวกมัน นี่มันผิดจรรยาบรรณโดยสิ้นเชิง !"
"เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะไม่เพียงแค่ต้องทานรับความโกรธเกรี้ยวของนิกายพันธมิตรสวรรค์และสู้รบแตกหัก
แต่พวกเราจะเป็นที่ครหาและถูกนิกายอื่นรวมหัวกันถล่มจนพินาศ !”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้
เทียนเจี้ยนจงก็เงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่นว่า “ที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือความแข็งแกร่งและภูมิหลังของนิกายกระบี่ฟ้าเรา
มิอาจเทียบได้กับมรดกสืบทอดนับพันปีของนิกายพันธมิตรสวรรค์หากต้องปะทะกัน"
เทียนจี้เจิ้นเหรินขมวดคิ้ว
มุมปากแสยะยิ้มอย่างถือดีพลางขบคิดในใจอย่างดื้อรั้นว่า “เฮอะ ! เจ้าพวกเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ต่ำต้อย หน้าซื่อใจคด!"
"เทียนเจี้ยนจงฝันจะทำลายนิกายพันธมิตรสวรรค์และขึ้นแทนที่พวกมัน
กลายเป็นจักรพรรดิองค์แรกของอาณาจักรเทียนเฉิน โอกาสดีๆถวายพานมาถึงตรงหน้าแล้วแท้ๆกลับไม่กล้าลงมือ
หากทำลายสองศิษย์อัจฉริยะของพวกมันไปเรื่องทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น แต่เจ้าบ้านี่ยังมีหน้ามาคำนึงถึงคุณธรรม
รักษาหน้าตาในสังคมของจอมปลอม !"
“หากเป็นเผ่ามารอย่างพวกข้า
มาหนึ่งฆ่าหนึ่งมาสิบฆ่าสิบ
แม้แต่หมูเห็ดเป็ดไก่ในนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็จะไม่มีเหลือ !"
แม้ภายในใจของเทียนจี้เจิ้นเหรินจะกรีดร้องด้วยความคับข้อง
แต่ฉากหน้ายังคงต้องวางตัวสงบเยือกเย็น
มันยกมือขึ้นลูบเคราด้วยความมั่นใจและกระซิบกระซาบกับเทียนเจี้ยนจงด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า
“ประมุข, เราผู้เฒ่าเข้าใจความกลัดกลุ้มกังวลของท่านดี
บุคลสูงส่งอย่างท่านจะลดตัวลงไปสังหารหยุนเหยาและจี้เทียนซิงอย่างไร้ยางอายได้อย่างไรเล่า
?”
"ถ้าหากลงมือขึ้นมาจริง
นิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมเดือดดาลและยกกำลังมาต่อสู้แตกหักกับนิกายเราเป็นแน่ สุดท้ายย่อมส่งผลกระทบต่อแผนการใหญ่ของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
"สังหารพวกมันทั้งสองเป็นการตัดแขนฉู่เทียนเซิง
เราผู้เฒ่าได้ขบคิดเรื่องนี้มานานจนได้ความคิดดีๆขึ้น
ซึ่งเรื่องนี้จะสามารถจัดการพวกมันทั้งสองโดยไม่ก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างสองนิกาย
ให้ท่านทำตามนี้....."
จากนั้นเทียนจี้เจิ้นเหรินก็ลอบส่งข้อความผ่านทางสัมผัสญาณ
เพื่อบอกแผนการของมันให้แก่เทียนเจี้ยนจง
เทียนเจี้ยนจงขมวดคิ้วและรับฟัง
จากนั้นสีหน้าและการแสดงออกของมันก็ค่อยๆผ่อนคลายลง
จนกระทั่งฟังแผนลับจนจบ
คนเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมาและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ใช้ได้ ! วิเศษ
วิเศษมาก แผนนี้ของเจิ้นเหรินช่างหมดจดงดงามยิ่งนัก !"
"หากใช้วิธีนี้ เรื่องราวก็จะต่างออกไป
เอาตามนี้เลย !
ฮ่าๆๆ"
เทียนเจี้ยนจงปรบมือชอบใจครั้งแล้วครั้งเล่า จ้องมองเทียนจี้เจิ้นเหรินด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจ
............
เวลาสี่วันติดต่อกันที่จี้เทียนซิงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในห้องลับ
เขาได้นำผลไม้วิญญาณกว่ายี่สิบลูกที่ได้รับจากหอคอยเจ็ดดาวมาใช้และกลั่นกรองพลังแห่งดวงดาวที่เหลือทั้งหมดในร่าง
ด้วยความช่วยเหลือของพลังทั้งสอง
ในสองวันแรกของการปิดด่าน เขาสามารถบรรเทาจุดฝังเข็มได้อีกสองจุด
จุดฝังเข็มแปดจุดของชีพจรกระบี่เส้นที่เจ็ดได้ถูกบรรเทา
ในที่สุดเขาก็มาถึงขอบเขตปราณจิตขั้นที่แปดได้สำเร็จ !
ตอนนี้ผ่านไปสี่วัน ความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงได้รับการปรับปรุงเป็นอย่างมาก
กลิ่นอายของเขายิ่งลึกลับและทรงพลังมากขึ้น
พอรุ่งเช้าของวันที่ห้า
ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นและออกจากภวังค์บ่มเพาะ เดินออกจากห้องลับ
วันนี้เป็นวันเกิดของเทียนเจี้ยนจง เขาจะต้องรีบมุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่ฟ้าพร้อมกับหยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์
เขาล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อคลุมสีขาวตัวใหม่
จากนั้นก็เดินออกจากลานเทียนซิงพร้อมกับปลุกเฉียนเยวี่ยออกมาจากถุงมิติ
ก่อนหน้านั้นเขาได้นัดหมายกับหยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์ไว้ให้มาพบกันที่จตุรัสใต้ยอดเขาฉิงเทียน
เมื่อเขาขี่เฉียนเยวี่ยบินมาจนถึงจัตุรัสที่เชิงเขาก็ได้เห็นว่าหยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์ได้มาถึงก่อนแล้ว
หยุนเหยายืนอยู่ด้านหลังของกระเรียนขาว
ส่วนเอี๋ยนเอ๋อร์ขี่หลังพยัคฆ์ขาวเพลิงคะนอง
จี้เทียนซิงทักทายทั้งสอง
จากนั้นก็ขึ้นหลังเฉียนเยวี่ยบินขึ้นไปบนฟ้าตามหลังกระเรียนวิญญาณของหยุนเหยา มุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่ฟ้าตามๆกัน
น่าเสียดายที่เสี่ยวไป๋ยังไม่สามารถบินได้และสามารถวิ่งได้บนพื้นได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวไป๋ในตอนนี้เป็นสัตว์วิญญาณที่ควบแน่นแกนอสูรและปรับแต่งเพลิงคะนอง
ความแข็งแกร่งของมันเปรียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ในขอบเขตปราณโอสถ
แม้ว่ามันจะวิ่งอย่างดุเดือดบนบก ผ่านภูเขา
สันเขา ยอดเขาและแม่น้ำสายแล้วสายเล่าด้วยความรวดเร็วยิ่ง
แต่ความเร็วของมันก็ไม่ได้ตกลงมากนัก
จากนิกายพันธมิตรสวรรค์ไปถึงนิกายกระบี่ฟ้ามีระยะทางมากกว่า
800 ไมล์
ซึ่งทั้งสามคนใช้เวลาเพียงสองชั่วยามครึ่งเท่านั้นก็ไปถึงจุดหมายได้ในที่สุด
ในเวลานี้คือช่วงสาย
อีกครึ่งชั่วยามจะถึงเที่ยงวัน งานฉลองวันเกิดของเทียนเจี้ยนจงแบ่งเป็นสองช่วง
ช่วงแรกเริ่มขึ้นในตอนเที่ยง ส่วนช่วงที่สองเป็นงานสังสรรค์เริ่มในตอนค่ำ
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาคิดคำนวณเวลาได้พอเหมาะพอเจาะ
การมาถึงของพวกเขานั้นถูกต้องไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป
ใต้ประตูของนิกายกระบี่ฟ้ามีศิษย์สาวกในชุดคลุมสีขาวยืนเรียงกันเป็นสองแถว
แต่ละคนกอดอกกุมกระบี่ด้วยท่วงท่าห้าวหาญและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
มีผู้อาวุโสทั้งสองและผู้ดูแลหลายคนยืนที่ประตูภูเขาเพื่อทักทายแขกเหรื่อและให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
จี้เทียนซิงเก็บเฉียนเยวี่ยกลับไปด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
คนเดินข้ามจตุรัสหน้าของประตูภูเขาและตามฝูงชนด้านหน้าไป
โดยบังเอิญ กลุ่มคนที่เดินนำหน้าทั้งสามกลับเป็นคนของนิกายพันใบไม้ร่วง
ผู้นำคือประมุขนิกาย ถัดจากมันคือผู้อาวุโสอีกสองคนและตามด้วยหัวหน้าศิษย์, เฉียวซวน
เมื่อแปดวันก่อนเฉียวซวนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากน้ำมือของจี้เทียนซิง
ตอนที่อยู่ใต้หอคอยเจ็ดดาว
หลังจากพักฟื้นไปแปดวัน อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของมันได้หายเป็นปกติไม่มีอาการผิดปรกติแทรกซ้อนใดๆ
แต่ความแข็งแกร่งของมันยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่
ประมุขนิกายนำผู้อาวุโสทั้งสองและเฉียวซวนมาถึงที่ประตูภูเขา
จากนั้นสองนิกายต่างพูดคุยสนทนากันด้วยความสนิทสนมและกระตือรือร้น
ทั้งสองฝ่ายกล่าววาจากันไม่กี่คำ
จากนั้นประมุขนิกายพันใบไม้ร่วงก็พาเฉียวซวนและสมาชิกผ่านประตูไป
เดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
ในขณะนั้นเอง
เฉียวซวนก็ตระหนักถึงการมาถึงของจี้เทียนซิง
รอยยิ้มของมันแข็งค้าง
สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงเย็นเยือกพลางจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างไม่พอใจ
ไม่มีผู้ใดทราบว่าเฉียวซวนหันไปกระซิบกระซาบอันใดกับประมุขนิกายพันใบไม้ร่วง
จนทำให้เขาต้องหันหน้ากลับไปมองจี้เทียนซิงและจ้องมองด้วยสีหน้าราบเรียบ
อย่างไรก็ตาม
ประมุขนิกายพันใบไม้ร่วงมิได้หยุดเดิน มันพยักหน้าให้กับอาวุโสทั้งสองและเฉียวซวน เดินสองมือไพล่หลังขึ้นเขาต่อไปอย่างไม่แยแส
จี้เทียนซิงเห็นภาพนี้แต่เขาก็มิได้จริงจังมากนัก
ความคิดของเฉียวซวนและประมุขของมันนั้น
ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่ามีเจตนาไม่ดีกับเขาเป็นแน่
ในเวลานี้เองหยุนเหยานำเทียบเชิญมอบให้กับสองอาวุโสใต้ประตูภูเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ผู้เยาว์หยุนเหยา
หัวหน้าศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์นำศิษย์น้องมาด้วยสองคนเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดให้แก่ท่านประมุขนิกายกระบี่ฟ้า"
รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของสองอาวุโสหายวับไปทันที
คนขมวดคิ้วพร้อมกันจ้องมองหยุนเหยาพลางถามอย่างไม่พอใจว่า “นี่เป็นเทียบเชิญโดยตรงจากท่านประมุขเราถึงประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์
เหตุใดประมุขฉู่ถึงไม่ให้เกียรติมาด้วยตนเองแต่กลับส่งศิษย์สามคนมาเท่านั้น ?”
หยุนเหยาคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้าจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้
นางเอ่ยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ท่านอาจารย์มีภารกิจมากมายและไม่สะดวกเดินทางมาด้วยตัวเอง
ดังนั้นท่านจึงมอบหมายให้พวกเราทั้งสามเป็นตัวแทน"
สองอาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้ายังคงไม่พอใจพลางสบถแผ่วเบาในใจ
แต่ฉากหน้าดูเหมือนไม่ใส่ใจ กล่าวต่อไปว่า “เช่นนี้พวกเจ้าทั้งสามโปรดเข้าไปนั่งรอในห้องโถงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก่อน"
หยุนเหยาประสานมือคารวะ
จากนั้นพาจี้เทียนซิงและเอี๋ยนเอ๋อร์ข้ามประตูภูเขามุ่งหน้าต่อไปยังยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
ทันทีหลังจากนั้นประมุขนิกายเจิ้นหวู่ก็ได้นำหัวหน้าศิษย์มาถึงเป็นลำดับต่อมา
ผู้อาวุโสทั้งสองปรี่เข้าไปคารวะทักทายด้วยรอยยิ้มในทันที
ประมุขนิกายเจิ้นหวู่พูดคุยกับสองอาวุโสไม่กี่คำ
จากนั้นก็มองไปที่ด้านหลังของจี้เทียนซิงและหยุนเหยาพลางเอ่ยปากเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงยียวน
“โฮ่
นิกายพันธมิตรสวรรค์นี่นับวันชักจะทำตัวใหญ่โตคับฟ้าขึ้นทุกวันๆ !"
"วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 200 ปีของท่านประมุขเทียนเจี้ยนจง
กระทั่งเรื่องราวสำคัญของทั้งดินแดนดาราบรรพกาลเยี่ยงนี้แต่ฉู่เทียนเซิงกลับปฏิเสธที่จะมา
แสดงว่ามันไม่เห็นนิกายกระบี่ฟ้าอยู่ในสายตากระมัง ?!"
สองผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้าที่ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยในทันที ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
พวกมันก็คิดแบบเดียวกันกับประมุขนิกายเจิ้นหวู่
แต่เนื่องจากมีผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศที่อยู่ใต้ประตูภูเขา
สถานการณ์คึกคักวุ่นวายมากจนทั้งสองไม่อยากเสียเวลาต่อว่าให้มากความ
“หึ !”
ประมุขนิกายเจิ้นหวู่พ่นลมผ่านจมูก
จากนั้นก็นำหัวหน้าศิษย์และเหล่าผู้ติดตามเดินข้ามประตูไปด้วยรอยยิ้มมุมปาก
ต่อมาคนของนิกายตันติง นิกายเฟิงฮั่วและนิกายฤทัยจันทราก็ทยอยกันมาถึงและก้าวข้ามประตูภูเขา
มุ่งหน้าไปยังโถงต้อนรับบนยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved