ตอนที่ 194

อีกสักครู่ร่างกายเจ้าจะรับรู้ได้เอง

!

เมื่อหยานตงไหลใช้กระบี่ที่เจ็ดของเพลงกระบี่เจ็ดสังหาร

คลื่นกระบี่เจ็ดสายก็ส่องประกายเจิดจ้าราวกับสุริยันแผดเผา

ไอสังหารของคลื่นกระบี่เจ็ดสายกลั่นออกมาเป็นแสงวายุสีแดง  มันหวีดร้องและเตรียมพุ่งเข้าขย้ำลู่หมิงหยางอย่างดุร้าย

ลู่หมิงหยางต่อสู้มาอย่างยาวนาน

เมื่อได้เห็นเพลงกระบี่ที่เจ็ดที่ก่อรูปออกมาเป็นคลื่นกระบี่สีแดงเจ็ดสายของหยานตงไหล  รูม่านตาของมันก็หดวูบและตะลึงค้างในทันที

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตราบใดที่คลื่นกระบี่พวกนี้โจมตีเข้ามา

มันจะต้องตกตาย ณ จุดนั้นทันที !

ด้วยสถานการณ์นี้

ลู่หมิงหยางไม่สนใจแผนการก่อนหน้าอีกต่อไป มันไม่สนแม้แต่สิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรและเกียรติยศชื่อเสียงของนิกายอีกด้วย

มันโยนกระบี่ทิ้งและตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเลว่า

“ยะ ..

หยุด  หยุดมือ  ข้ายอมแพ้แล้ว !!”

เมื่อเสียงอันดังของมันแผ่กระจายไปทั่วแท่นประลองมังกรจันทร์

คลื่นกระบี่เจ็ดสายของหยานตงไหลก็เกือบจะถึงตัวของมันแล้ว

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้หยานตงไหลไม่อาจรั้งกระบวนท่ากลับคืนได้อีกแล้ว

เพลงกระบี่เจ็ดสังหารโหดเหี้ยและรุนแรงเกินไป มันแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างแรงกล้า

ทักษะและพลังยุทธ์ของหยานตงไหลนั้นยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะฝึกฝนเพลงกระบี่เจ็ดสังหารให้บรรลุขอบเขตยิ่งใหญ่

ดังนั้นเมื่อใช้ออกไปแล้วมันก็ไม่อาจคุมสติและรั้งคลื่นกระบี่กลับคืน  ต่อให้ลู่หมิงหยางประกาศยอมแพ้

มันก็ยังคิดจะสังหารอีกฝ่ายให้ดับดิ้นเพียงอย่างเดียว !

ในช่วงเวลาวิกฤตินี้

ชูไฮว่ซานขมวดคิ้วแน่นและวาดฝ่ามือออกไปเป็นลำแสงพลังปราณสีน้ำเงินเข้มสองสาย

“ฟุ่บ !”

พลังปราณสีน้ำเงินสองสาย

หนึ่งสายแปรสภาพเป็นม่านปราการป้องกันให้ลู่หมิงหยาง อีกสายกลายเป็นกำแพงที่ปิดกั้นพลังโจมตีจากคลื่นกระบี่ของหยานตงไหล

ปัง

!

ด้วยเสียงดังสนั่น

คลื่นกระบี่เจ็ดสายกระทบเข้าใส่กำแพงปราณสีน้ำเงินและปิดกั้นพวกมันไว้ได้หมดสิ้น

เมื่อมาถึงจุดจบของการประลองรอบแรกในลักษณะนี้

หยานตงไหลก็สงบสติอารมณ์ลงได้เช่นกันและปราณสังหารสีแดงชาดที่รุมเร้าก็อันตธานหายไปในที่สุด

มันสะบัดกระบี่แล้วสอดคืนฝักพลางจ้องมองลู่หมิงหยางที่ตื่นตระหนกจนหน้าซีดขาวด้วยรอยยิ้ม  จากนั้นก็ประสานมือคารวะ “ศิษย์น้องลู่ ข้าชนะแล้ว”

ถึงแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย

แต่แววตาที่จ้องมองอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง  ราวกับใบมีดคมกริบที่เชือดเฉือนดวงใจของลู่หมิงหยางอย่างลึกล้ำ

ในใจของลู่หมิงหยางเต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธแค้น

แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้

ฮึ่ย

!

มันแค่นเสียงเย็นด้วยความขุ่นเคือง

มันไม่ต้องการให้หยานตงไหลเอ่ยปากและก็ไม่อยากเห็นสีหน้าที่เย่อหยิ่งของอีกฝ่าย

มันถอดเกราะเงินที่แตกหักบิดเบี้ยวออก

จากนั้นก็เดินคอตกด้วยสีหน้าหดหู่กลับไปยังฝั่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์

“ครูฝึกฮั่น, ผู้อาวุโสชู

ผู้อาวุโสใหญ่มู่และศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ข้าทำให้พวกท่านผิดหวังแล้ว”

ลู่หมิงหยางกล้ำกลืนความอัปยศอดสูและประสานมือขอขมาต่อเหล่าอาวุโสและศิษย์ร่วมสำนัก

ชูไฮว่ซานขมวดคิ้วเล็กน้อย

สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนักแต่ก็ไม่ตำหนิหรือดุด่าลู่หมิงหยางแต่อย่างใด

ฮั่นเฉียวเซิงถอนหายใจพลางพยักหน้า “เฮ้อ...  ช่างมันเถอะ

พวกเราเห็นอยู่ว่าเจ้าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว อย่าตำหนิตัวเองไป”

เป็นความจริงที่ทุกคนเห็นและดูออกว่าลู่หมิงหยางพยายามอย่างที่สุดแล้ว

แต่ทว่ามันก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สองมาหมาดๆซึ่งต่างกับหยานตงไหลที่ปริ่มๆจะตัดผ่านไปยังปราณจิตขั้นที่สาม

ระดับพลังและความสามารถต่างกันเกินไป

เรื่องนี้ไม่มีใครคิดตำหนิลู่หมิงหยางแม้แต่น้อย

การประลองรอบแรกของภูเขามังกรจบลงอย่างรวดเร็ว

นิกายพันธมิตรสวรรค์เริ่มต้นได้ไม่ดีนักและพ่ายแพ้ในรอบแรก

สิ่งนี้ทำให้ในใจของผู้อาวุโสและศิษย์ทุกคนเต็มไปด้วยเมฆหมอกด้วยความผิดหวังอย่างอดไม่ได้

ในสายตาของทุกคน

แม้กระทั่งลู่หมิงหยางที่มีระดับพลังสูงสุดในเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังพ่ายแพ้ยับเยินโดยที่ไม่อาจสร้างบาดแผลใดๆให้คู่ต่อสู้ได้เลย

ดังนั้นจี้เทียนซิงที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นแรกย่อมไม่มีหวังใดๆ

การประลองหลงซานของปีนี้ดูเหมือนว่านิกายพันธมิตรสวรรค์จะพ่ายแพ้

สิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรก็ย่อมกลายเป็นของนิกายกระบี่ฟ้าไปอีกสามปี

นิกายกระบี่ฟ้าก็คิดเช่นนี้

สองอาวุโส,พ่อบ้านและเหล่าศิษย์ต่างเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ฝ่ายในที่มาชมการประลอง

พวกมันหันไปพูดคุยสัพเพเหระพลางชี้มือชี้ไม้ไปยังเหล่าศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์ด้วยสีหน้าดูหมิ่นเหยียดหยาม

ในเวลานี้เองอาวุโสถังของนิกายกระบี่ฟ้าก็เดินไปที่กลางเวทีและประกาศผลออกมา

“การประลองนัดแรก นิกายกระบี่ฟ้าเป็นฝ่ายชนะ !”

“ต่อไปขอให้ศิษย์ตัวแทนของทั้งสองฝ่ายโปรดเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับรอบที่สอง”

เมื่อสิ้นเสียงของอาวุโสถัง

หยานตงไหลก็เดินกลับไปยังฝั่งนิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้ายินดีปรีดาของผู้ชนะ

จากนั้นหยินเฟยหยางก็แหวกฝูงคนดูออกมาด้วยรอยยิ้ม

มันเดินสวนกับหยานตงไหลขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยมและมั่นอกมั่นใจ

อาวุโสต่งพยักหน้าและประกาศเสียงดังว่า

“การประลองหลงซานรอบที่สอง ตัวแทนของนิกายกระบี่ฟ้าคือหยินเฟยหยาง !”

เมื่อเสียงของมันลดลง

สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่จี้เทียนซิง การประลองครั้งนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์ส่งตัวแทนเข้ารบแค่สองคนเท่านั้น

หนึ่งคือลู่หมิงหยาง อีกคนก็คือจี้เทียนซิง

ตอนนี้เหลือเขาเป็นคนสุดท้ายและความหวังสุดท้ายของนิกายแล้ว

!

จี้เทียนซิงสีหน้าไร้อารมณ์

เขาเดินออกจากฝูงชนและตรงไปยังเวที

ชูไฮว่ซานจ้องมองอีกฝ่ายและกล่าวย้ำเตือนว่า

“จี้เทียนซิง เจ้าพยายามให้เต็มที่

อย่างน้อยๆถ้าจะแพ้ก็ขอให้แพ้แบบไม่น่าเกลียดจนเกินไป”

การประลองครั้งนี้ใช้ระบบชนะสองในสามรอบ

ถ้าหากจี้เทียนซิงแพ้ในรอบนี้การประลองก็จะจบลงทันที

จากนั้นนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเย้ยหยันไปทั่วทั้งดินแดนดาราบรรพกาล

ในฐานะที่แพ้รวดยับเยิน

จี้เทียนซิงไม่ได้เอ่ยอันใด

เขาเพียงแค่พยักหน้าให้ชูไฮว่ซานจากนั้นก็เดินเข้าไปกลางเวที

ร่างกายของเขาตั้งตะหง่านเหยียดตรง

อกผายไหล่ผึ่ง  มือซ้ายเกาะกุมกระบี่มังกรดำเอาไว้

ส่วนมือขวาแนบลำตัวแกว่งไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ

รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไออันสงบเยือกเย็น

หยินเฟยหยางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าร่าเริง

มุมปากเชิดขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องจี้ สบายดี  วันก่อนที่ข้าไปเยือนหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ข้าได้รู้ซึ้งถึงความสามารถในการโต้วาทีของเจ้าและข้าก็ชื่นชมเจ้ามากจริงๆ”

“บัดนี้ข้ากับเจ้าได้มายืนอยู่บนเวทีเดียวกัน

มันเป็นสิ่งที่ข้ารอคอย ข้าอยากรู้ว่าพลังและวรยุทธ์ของเจ้าจะแข็งแกร่งดั่งคารมอันคมคายของเจ้าหรือไม่”

ผู้คนในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างก็คุ้นชินกับนิสัยเก็บตัวของจี้เทียนซิง

พวกมันรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่สงบเยือกเย็น

เขาไม่ถนัดในการถกเถียงและไม่ค่อยตีฝีปากกับผู้ใดหากไม่เหลืออดจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหยินเฟยหยางนั้นเป็นการเยาะเย้ยว่าจี้เทียนซิงดีแต่ปากและไม่มีความแข็งแกร่งที่แท้จริง

จี้เทียนซิงหรี่ตาลง

เขาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้ยืดยาวจึงกล่าวสั้นๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ความแข็งแกร่งและฝีมือของข้ามีแค่ไหน

อีกสักครู่ร่างกายของเจ้าก็จะรับรู้ได้เอง”

หยินเฟยหยางไม่ถือสา

มันเพียงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ฮ่าๆ

จนกระทั่งตอนนี้ศิษย์น้องจี้ก็ยังคงมีวาจาเชือดเฉือนคมคายไม่เปลี่ยน”

“ในเมื่อศิษย์น้องจี้มั่นใจมากขนาดนี้ งั้นข้าก็จะให้เจ้าได้ออกกระบวนท่าก่อน

ข้าจะไม่ตอบโต้และไม่ชักกระบี่ !”

เมื่อคำพูดของหยินเฟยหยางแพร่กระจายไปทั่วเวทีมังกรจันทร์

ทุกคนก็รู้สึกกระอักกระอ่วน

เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

พวกมันเผยสีหน้าพึงพอใจในความซวยของผู้อื่นและรอดูจี้เทียนซิงขายขี้หน้า

ในมุมมองของพวกมัน

หยินเฟยหยางที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นสาม การจะตบจี้เทียนซิงให้ปลิวนั้นง่ายดายยิ่งเพราะฝ่ายหลังมีพลังแค่ในระดับปราณจิตขั้นแรก

เหล่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นที่อยู่ข้างหลังจี้เทียนซิงนั้นต่างก็มีสีหน้าเย็นชา

หยินเฟยหยางผู้นี้โอหังอวดดีนัก มันข่มเหงผู้คนเกินไป

แม้แต่ฮั่นเฉียวเซิงและชูไฮว่ซานก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธ

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าพวกนี้รังแกกันเกินไป

จี้เทียนซิงกระพริบตาปริบๆและยังคงนิ่งเฉย

เขามองหยินเฟยหยางด้วยแววตาสงบราบเรียบพลางกล่าวว่า “ในเมื่อศิษย์พี่หยินมั่นใจมากเช่นนี้ ผู้น้องก็ยินดีสนอง”

เดิมทีแล้วจี้เทียนซิงต้องการย้อนคืนคำพูดเหล่านั้นให้หยินเฟยหยาง

โดยการเกทับว่าจะต่อให้อีกฝ่ายสามกระบวนท่าโดยไม่ตอบโต้เพื่อยั่วประสาท

แต่เขาก็เปลี่ยนใจในทันทีเพราะคิดได้ว่าการฉีกหน้าคนอวดดีเช่นนี้ย่อมทำให้มันรู้สึกอัปยศและบ้าคลั่งยิ่งกว่าใช่หรือไม่

?