อีกสักครู่ร่างกายเจ้าจะรับรู้ได้เอง
!
เมื่อหยานตงไหลใช้กระบี่ที่เจ็ดของเพลงกระบี่เจ็ดสังหาร
คลื่นกระบี่เจ็ดสายก็ส่องประกายเจิดจ้าราวกับสุริยันแผดเผา
ไอสังหารของคลื่นกระบี่เจ็ดสายกลั่นออกมาเป็นแสงวายุสีแดง มันหวีดร้องและเตรียมพุ่งเข้าขย้ำลู่หมิงหยางอย่างดุร้าย
ลู่หมิงหยางต่อสู้มาอย่างยาวนาน
เมื่อได้เห็นเพลงกระบี่ที่เจ็ดที่ก่อรูปออกมาเป็นคลื่นกระบี่สีแดงเจ็ดสายของหยานตงไหล รูม่านตาของมันก็หดวูบและตะลึงค้างในทันที
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตราบใดที่คลื่นกระบี่พวกนี้โจมตีเข้ามา
มันจะต้องตกตาย ณ จุดนั้นทันที !
ด้วยสถานการณ์นี้
ลู่หมิงหยางไม่สนใจแผนการก่อนหน้าอีกต่อไป มันไม่สนแม้แต่สิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรและเกียรติยศชื่อเสียงของนิกายอีกด้วย
มันโยนกระบี่ทิ้งและตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเลว่า
“ยะ ..
หยุด หยุดมือ ข้ายอมแพ้แล้ว !!”
เมื่อเสียงอันดังของมันแผ่กระจายไปทั่วแท่นประลองมังกรจันทร์
คลื่นกระบี่เจ็ดสายของหยานตงไหลก็เกือบจะถึงตัวของมันแล้ว
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้หยานตงไหลไม่อาจรั้งกระบวนท่ากลับคืนได้อีกแล้ว
เพลงกระบี่เจ็ดสังหารโหดเหี้ยและรุนแรงเกินไป มันแฝงไปด้วยจิตสังหารอย่างแรงกล้า
ทักษะและพลังยุทธ์ของหยานตงไหลนั้นยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะฝึกฝนเพลงกระบี่เจ็ดสังหารให้บรรลุขอบเขตยิ่งใหญ่
ดังนั้นเมื่อใช้ออกไปแล้วมันก็ไม่อาจคุมสติและรั้งคลื่นกระบี่กลับคืน ต่อให้ลู่หมิงหยางประกาศยอมแพ้
มันก็ยังคิดจะสังหารอีกฝ่ายให้ดับดิ้นเพียงอย่างเดียว !
ในช่วงเวลาวิกฤตินี้
ชูไฮว่ซานขมวดคิ้วแน่นและวาดฝ่ามือออกไปเป็นลำแสงพลังปราณสีน้ำเงินเข้มสองสาย
“ฟุ่บ !”
พลังปราณสีน้ำเงินสองสาย
หนึ่งสายแปรสภาพเป็นม่านปราการป้องกันให้ลู่หมิงหยาง อีกสายกลายเป็นกำแพงที่ปิดกั้นพลังโจมตีจากคลื่นกระบี่ของหยานตงไหล
ปัง
!
ด้วยเสียงดังสนั่น
คลื่นกระบี่เจ็ดสายกระทบเข้าใส่กำแพงปราณสีน้ำเงินและปิดกั้นพวกมันไว้ได้หมดสิ้น
เมื่อมาถึงจุดจบของการประลองรอบแรกในลักษณะนี้
หยานตงไหลก็สงบสติอารมณ์ลงได้เช่นกันและปราณสังหารสีแดงชาดที่รุมเร้าก็อันตธานหายไปในที่สุด
มันสะบัดกระบี่แล้วสอดคืนฝักพลางจ้องมองลู่หมิงหยางที่ตื่นตระหนกจนหน้าซีดขาวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ประสานมือคารวะ “ศิษย์น้องลู่ ข้าชนะแล้ว”
ถึงแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย
แต่แววตาที่จ้องมองอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง ราวกับใบมีดคมกริบที่เชือดเฉือนดวงใจของลู่หมิงหยางอย่างลึกล้ำ
ในใจของลู่หมิงหยางเต็มไปด้วยความเศร้าและความโกรธแค้น
แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้
ฮึ่ย
!
มันแค่นเสียงเย็นด้วยความขุ่นเคือง
มันไม่ต้องการให้หยานตงไหลเอ่ยปากและก็ไม่อยากเห็นสีหน้าที่เย่อหยิ่งของอีกฝ่าย
มันถอดเกราะเงินที่แตกหักบิดเบี้ยวออก
จากนั้นก็เดินคอตกด้วยสีหน้าหดหู่กลับไปยังฝั่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์
“ครูฝึกฮั่น, ผู้อาวุโสชู
ผู้อาวุโสใหญ่มู่และศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ข้าทำให้พวกท่านผิดหวังแล้ว”
ลู่หมิงหยางกล้ำกลืนความอัปยศอดสูและประสานมือขอขมาต่อเหล่าอาวุโสและศิษย์ร่วมสำนัก
ชูไฮว่ซานขมวดคิ้วเล็กน้อย
สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนักแต่ก็ไม่ตำหนิหรือดุด่าลู่หมิงหยางแต่อย่างใด
ฮั่นเฉียวเซิงถอนหายใจพลางพยักหน้า “เฮ้อ... ช่างมันเถอะ
พวกเราเห็นอยู่ว่าเจ้าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว อย่าตำหนิตัวเองไป”
เป็นความจริงที่ทุกคนเห็นและดูออกว่าลู่หมิงหยางพยายามอย่างที่สุดแล้ว
แต่ทว่ามันก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สองมาหมาดๆซึ่งต่างกับหยานตงไหลที่ปริ่มๆจะตัดผ่านไปยังปราณจิตขั้นที่สาม
ระดับพลังและความสามารถต่างกันเกินไป
เรื่องนี้ไม่มีใครคิดตำหนิลู่หมิงหยางแม้แต่น้อย
การประลองรอบแรกของภูเขามังกรจบลงอย่างรวดเร็ว
นิกายพันธมิตรสวรรค์เริ่มต้นได้ไม่ดีนักและพ่ายแพ้ในรอบแรก
สิ่งนี้ทำให้ในใจของผู้อาวุโสและศิษย์ทุกคนเต็มไปด้วยเมฆหมอกด้วยความผิดหวังอย่างอดไม่ได้
ในสายตาของทุกคน
แม้กระทั่งลู่หมิงหยางที่มีระดับพลังสูงสุดในเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกก็ยังพ่ายแพ้ยับเยินโดยที่ไม่อาจสร้างบาดแผลใดๆให้คู่ต่อสู้ได้เลย
ดังนั้นจี้เทียนซิงที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นแรกย่อมไม่มีหวังใดๆ
การประลองหลงซานของปีนี้ดูเหมือนว่านิกายพันธมิตรสวรรค์จะพ่ายแพ้
สิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรก็ย่อมกลายเป็นของนิกายกระบี่ฟ้าไปอีกสามปี
นิกายกระบี่ฟ้าก็คิดเช่นนี้
สองอาวุโส,พ่อบ้านและเหล่าศิษย์ต่างเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ฝ่ายในที่มาชมการประลอง
พวกมันหันไปพูดคุยสัพเพเหระพลางชี้มือชี้ไม้ไปยังเหล่าศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์ด้วยสีหน้าดูหมิ่นเหยียดหยาม
ในเวลานี้เองอาวุโสถังของนิกายกระบี่ฟ้าก็เดินไปที่กลางเวทีและประกาศผลออกมา
“การประลองนัดแรก นิกายกระบี่ฟ้าเป็นฝ่ายชนะ !”
“ต่อไปขอให้ศิษย์ตัวแทนของทั้งสองฝ่ายโปรดเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับรอบที่สอง”
เมื่อสิ้นเสียงของอาวุโสถัง
หยานตงไหลก็เดินกลับไปยังฝั่งนิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้ายินดีปรีดาของผู้ชนะ
จากนั้นหยินเฟยหยางก็แหวกฝูงคนดูออกมาด้วยรอยยิ้ม
มันเดินสวนกับหยานตงไหลขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยมและมั่นอกมั่นใจ
อาวุโสต่งพยักหน้าและประกาศเสียงดังว่า
“การประลองหลงซานรอบที่สอง ตัวแทนของนิกายกระบี่ฟ้าคือหยินเฟยหยาง !”
เมื่อเสียงของมันลดลง
สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่จี้เทียนซิง การประลองครั้งนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์ส่งตัวแทนเข้ารบแค่สองคนเท่านั้น
หนึ่งคือลู่หมิงหยาง อีกคนก็คือจี้เทียนซิง
ตอนนี้เหลือเขาเป็นคนสุดท้ายและความหวังสุดท้ายของนิกายแล้ว
!
จี้เทียนซิงสีหน้าไร้อารมณ์
เขาเดินออกจากฝูงชนและตรงไปยังเวที
ชูไฮว่ซานจ้องมองอีกฝ่ายและกล่าวย้ำเตือนว่า
“จี้เทียนซิง เจ้าพยายามให้เต็มที่
อย่างน้อยๆถ้าจะแพ้ก็ขอให้แพ้แบบไม่น่าเกลียดจนเกินไป”
การประลองครั้งนี้ใช้ระบบชนะสองในสามรอบ
ถ้าหากจี้เทียนซิงแพ้ในรอบนี้การประลองก็จะจบลงทันที
จากนั้นนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็จะกลายเป็นที่หัวเราะเย้ยหยันไปทั่วทั้งดินแดนดาราบรรพกาล
ในฐานะที่แพ้รวดยับเยิน
จี้เทียนซิงไม่ได้เอ่ยอันใด
เขาเพียงแค่พยักหน้าให้ชูไฮว่ซานจากนั้นก็เดินเข้าไปกลางเวที
ร่างกายของเขาตั้งตะหง่านเหยียดตรง
อกผายไหล่ผึ่ง มือซ้ายเกาะกุมกระบี่มังกรดำเอาไว้
ส่วนมือขวาแนบลำตัวแกว่งไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ
รอบตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไออันสงบเยือกเย็น
หยินเฟยหยางจ้องมองเขาด้วยสีหน้าร่าเริง
มุมปากเชิดขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องจี้ สบายดี วันก่อนที่ข้าไปเยือนหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ข้าได้รู้ซึ้งถึงความสามารถในการโต้วาทีของเจ้าและข้าก็ชื่นชมเจ้ามากจริงๆ”
“บัดนี้ข้ากับเจ้าได้มายืนอยู่บนเวทีเดียวกัน
มันเป็นสิ่งที่ข้ารอคอย ข้าอยากรู้ว่าพลังและวรยุทธ์ของเจ้าจะแข็งแกร่งดั่งคารมอันคมคายของเจ้าหรือไม่”
ผู้คนในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างก็คุ้นชินกับนิสัยเก็บตัวของจี้เทียนซิง
พวกมันรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่สงบเยือกเย็น
เขาไม่ถนัดในการถกเถียงและไม่ค่อยตีฝีปากกับผู้ใดหากไม่เหลืออดจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของหยินเฟยหยางนั้นเป็นการเยาะเย้ยว่าจี้เทียนซิงดีแต่ปากและไม่มีความแข็งแกร่งที่แท้จริง
จี้เทียนซิงหรี่ตาลง
เขาขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงให้ยืดยาวจึงกล่าวสั้นๆด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ความแข็งแกร่งและฝีมือของข้ามีแค่ไหน
อีกสักครู่ร่างกายของเจ้าก็จะรับรู้ได้เอง”
หยินเฟยหยางไม่ถือสา
มันเพียงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ฮ่าๆ
จนกระทั่งตอนนี้ศิษย์น้องจี้ก็ยังคงมีวาจาเชือดเฉือนคมคายไม่เปลี่ยน”
“ในเมื่อศิษย์น้องจี้มั่นใจมากขนาดนี้ งั้นข้าก็จะให้เจ้าได้ออกกระบวนท่าก่อน
ข้าจะไม่ตอบโต้และไม่ชักกระบี่ !”
เมื่อคำพูดของหยินเฟยหยางแพร่กระจายไปทั่วเวทีมังกรจันทร์
ทุกคนก็รู้สึกกระอักกระอ่วน
เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
พวกมันเผยสีหน้าพึงพอใจในความซวยของผู้อื่นและรอดูจี้เทียนซิงขายขี้หน้า
ในมุมมองของพวกมัน
หยินเฟยหยางที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นสาม การจะตบจี้เทียนซิงให้ปลิวนั้นง่ายดายยิ่งเพราะฝ่ายหลังมีพลังแค่ในระดับปราณจิตขั้นแรก
เหล่าศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นที่อยู่ข้างหลังจี้เทียนซิงนั้นต่างก็มีสีหน้าเย็นชา
หยินเฟยหยางผู้นี้โอหังอวดดีนัก มันข่มเหงผู้คนเกินไป
แม้แต่ฮั่นเฉียวเซิงและชูไฮว่ซานก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธ
ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าพวกนี้รังแกกันเกินไป
จี้เทียนซิงกระพริบตาปริบๆและยังคงนิ่งเฉย
เขามองหยินเฟยหยางด้วยแววตาสงบราบเรียบพลางกล่าวว่า “ในเมื่อศิษย์พี่หยินมั่นใจมากเช่นนี้ ผู้น้องก็ยินดีสนอง”
เดิมทีแล้วจี้เทียนซิงต้องการย้อนคืนคำพูดเหล่านั้นให้หยินเฟยหยาง
โดยการเกทับว่าจะต่อให้อีกฝ่ายสามกระบวนท่าโดยไม่ตอบโต้เพื่อยั่วประสาท
แต่เขาก็เปลี่ยนใจในทันทีเพราะคิดได้ว่าการฉีกหน้าคนอวดดีเช่นนี้ย่อมทำให้มันรู้สึกอัปยศและบ้าคลั่งยิ่งกว่าใช่หรือไม่
?
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved