ตอนที่ 391

ตอนที่

391 หาเบาะแส

เดิมทีอ๋องมารโลหิตรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

แต่ทันทีที่ได้ยินคำพูดของกุ้ยโปโป

ดวงตาของมันก็เปล่งประกายและก้มลงมองอีกฝ่ายด้วยความหวัง

"กุ้ยโปโป

เจ้าคิดจะทำอะไรหรือ

?"

กุ้ยโปโปแสยะยิ้มกรุ้มกริ่มกล่าวว่า “เคะๆๆ ไว้เป็นหน้าที่เราแม่เฒ่าเอง

เจ้าดูเฉยๆก็พอ”

จากนั้นนางก็หยิบผมสีดำขลับเส้นนั้นวางลงบนเจดีย์ม่วงเก้าชั้น

นางหลับตาร่ายเวทย์ด้วยมือซ้าย

ลำแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาทันทีและถูกถ่ายเทลงไปในเจดีย์

มันเร่งความเร็วขึ้นทันทีและปรากฏเพลิงสีม่วงลุกโหมขึ้น

เปลวไฟสีม่วงที่ดูแปลกพิสดาร

พัวพันรอบเส้นผมนั้นและแผดเผาอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นเอง ฉากที่น่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้นในคลองจักษุของมารทั้งสองตน

!

เส้นผมที่เปราะบางกลับไม่ถูกเผาด้วยเพลิงม่วง

อีกทั้งยังไม่มีการบุบสลายใดๆอีกด้วย !

นอกจากนี้เส้นผมสีดำนั้นราวกับกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยท่ามกลางเพลิงม่วง

จากนั้นค่อยๆเปลี่ยนสีไป

ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ

เส้นผมยาวสีดำเปลี่ยนเป็นสีทองและเปล่งแสงสีทองสลัวออกมา

กุ้ยโปโปแสยะยิ้มทันทีและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“ผมเส้นนี้แปลกมาก

มันต้องถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยสายโลหิตที่แข็งแกร่งยิ่ง !”

"และสายโลหิตที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้มิใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะพึงมี”

เมื่ออ๋องมารโลหิตได้ฟังคำอธิบายของนาง

มันก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพิเศษบางอย่าง สีหน้าของมันเปลี่ยนไปในทันทีและกล่าวว่า

"ผมเส้นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะถูกเพลิงมารแผดเผา

? ช่างเป็นพลังที่ทรงอำนาจนัก

ไม่ต้องสันนิษฐานก็รู้ มันเกิดจากการหล่อเลี้ยงของโลหิตเทพกระบี่ !”

"ผมเส้นนี้ต้องเป็นของเจ้าเด็กจี้เทียนซิง! มันครอบครองโลหิตเทพกระบี่ที่อยู่ในลูกปัดดวงดาราแน่นอนแล้ว

!”

เมื่อคิดได้เช่นนี้อ๋องมารโลหิตก็เต็มไปด้วยโทสะ

ใบหน้าดุร้ายของมันกลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

"เดรัจฉานตัวน้อย ! มันกระทั่งผสานสายเลือดโลหิตเทพกระบี่เข้าไปแล้ว

ดังนั้นข้าต้องจับมัน  ฉีกเนื้อสูบโลหิตของมันทั้งหมด

นำโลหิตเทพกระบี่กลับคืนมา !”

อ๋องมารโลหิตกำหมัดแน่น

ความบ้าคลั่งกระหายเลือด ไหลปะทุออกจากดวงตาของมัน

.........

จี้เทียนซิง

หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวกำลังเดินอยู่บนท้องถนนในเมืองวิญญาณเพลิง

ในเวลานี้ถนนและตรอกซอยในเมืองล้วนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ

ผู้คนบนท้องถนนมีไม่มากนักในตอนนี้  มีเพียงเฉพาะในโรงเตี๊ยม เหลาสุราและบ่อนพนันบางแห่งเท่านั้นที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว้อย่างมีชีวิตชีวา

คนทั้งสามดูเหมือนจะเดินอย่างไร้จุดหมายไปตามถนนและกวาดสายตามองไปรอบๆเมือง

แต่ในความเป็นจริง ทั้งสามปลดปล่อยสัมผัสญาณออกไปสำรวจกลิ่นไอมารปีศาจเพื่อหาเบาะแส

หยุนเหยามีกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไวต่อกลิ่นไอของทุกเผ่าพันธุ์

ส่วนหลงหยุนเซียวก็ครอบครองสมบัติวิเศษที่สามารถตรวจจับไอมารได้

แต่ถึงกระนั้นทั้งสามได้ค้นหามาเป็นชั่วยามก็ยังไม่พบแหล่งกบดานและเบาะแสะของมารปีศาจใดๆ

ทั้งหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวได้ตรวจจับกลิ่นไอและบรรยากาศในเมืองวิญญาณเพลิง

พบว่ามันเต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย บางพื้นที่ก็สกปรกเป็นอย่างมาก

การค้นหาร่องรอยมารปีศาจที่เร้นกายในเมืองวิญญาณเพลิงก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในทุ่งหญ้า

เมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นกลางดึก

ทั่วทั้งเมืองเริ่มค่อยๆเงียบลงเรื่อยๆ

ดังนั้นพวกจี้เทียนซิงทั้งสามจึงต้องหยุดค้นหาชั่วคราว

ที่สุดทางถนน ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีแสงสลัว คนทั้งสามเกาะกลุ่มกระซิบแผนการกันต่อไป

หลงหยุนเซียวกล่าวขึ้นว่า “วิธีการนี้ไม่สำเร็จแน่

ถึงแม้เมืองนี้จะไม่ใหญ่นัก

แต่มันก็มีประชาชนของสามเผ่าพันธุ์และเก้าตระกูลใหญ่กระจุกรวมกัน

กลิ่นไอของทุกเผ่าพันธุ์รวมกันจนปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด”

"มารที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองนี้ย่อมแข็งแกร่งไม่ธรรมดา

พวกมันเก็บงำกลิ่นไอได้มิดชิดนัก ยากที่จะพบตัวในเวลาสั้นๆ"

หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและหันไปมองจี้เทียนซิงถามว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง  การตรวจจับของพวกเราไม่ได้ผล

คงต้องใช้วิธีอื่นในการหาเบาะแสเพิ่มเติม”

“เจ้าเคยมาที่เมืองนี้

ทราบหรือไม่ว่าจะหาข่าวสารได้ที่ไหน ?”

จี้เทียนชิงตอบไปตามความจริง “มีสถานที่หนึ่งอยู่ในเมือง

ชื่อว่าหมู่ตึกป้าฟาง

สถานที่แห่งนั้นเชี่ยวชาญในด้านการซื้อขายข้อมูลข่าวสารเป็นอย่างมาก”

"แต่ว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

หมู่ตึกป้าฟางสมควรปิดทำการ พวกเราทำได้เพียงต้องรอวันพรุ่งนี้"

"พรุ่งนี้ ?"

หยุนเหยาเลิกคิ้วขึ้น

ความกังวลปรากฏในดวงตาคู่งามพลางกล่าวว่า “ศัตรูอยู่ในที่มืด

พวกเราอยู่ในที่โล่ง

คิดจะทำการใดสมควรรวบรัดและรวดเร็วให้มาก ขืนชักช้านอกจากจะไม่ทันการแล้ว

อันตรายก็ยังมากขึ้นอีกด้วย”

หลังจากได้ยินคำพูดของหยุนเหยา

จี้เทียนซิงเกิดความคิดขึ้นในทันทีและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า "นอกจากหมู่ตึกป้าฟางก็ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่พวกเราสามารถหาข่าวได้”

“พวกท่านตามข้ามา”

จากนั้นจี้เทียนซิงก็นำหยุนเหยาและหลงหยุนเซียว

มุ่งไปยังเขตตงเฉิง

เขตตงเฉิงเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองวิญญาณเพลิง

แม้จะเป็นช่วงกลางดึกที่มีผู้คนสัญจรไปมาบนถนนอย่างบางตา

แต่มันก็เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายที่เปิดประตูทำการอยู่

หลังจากจี้เทียนซิงพาทั้งสองเข้าสู่เขตตงเฉิง

พวกเขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังบ่อนพนันเหยี่ยวเวหา

บ่อนพนันแห่งนี้ยังคงสดใสเปล่งประกายเหมือนเช่นเคย

มันเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าและผีพนันนับไม่ถ้วนที่กำลังเพลิดเพลินกับการพนัน

เสียงเอ็ดตะโรและเสียงหัวเราะดังกระทบโสตอย่างไม่ขาดสาย

ทันทีที่ทั้งสามเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ชายวัยกลางคนในอาภรณ์เรียบหรูสีดำก็เดินปรี่เข้ามาทักทายอย่างสุภาพ

จี้เทียนซิงจำได้ว่าบุคคลผู้นี้ก็คือพ่อบ้าน พ่อบ้านของตึกพนันเหยี่ยวเวหา

เขาไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลา

แต่บอกกับพ่อบ้านเทียนตรงๆว่าขอพบผู้จัดการใหญ่เหลยเฉียนจวิน

พ่อบ้านเทียนจำจี้เทียนซิงได้ดีและทราบว่าเขาเคยเข้าร่วมการประลองเมื่อหลายเดือนก่อนที่นี่

เขาเอาชนะการท้าทายจนได้รับสิทธิ์พบหน้าเทียนอิงฟางจู้, เจ้าของตึกพนันเหยี่ยวเวหา   ซึ่งฝีไม้ลายมือของเขาในวันนั้นสร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้กับบ่อนเป็นอย่างมาก

ดังนั้นกล่าวได้ว่าจี้เทียนซิงค่อนข้างมีคุณค่าต่อสถานที่แห่งนี้

พ่อบ้านเทียนจึงพยักหน้าโดยไม่ลังเล

แต่พ่อบ้านเทียนเพียงอนุญาตให้เขาได้เข้าพบเหลยเฉียนจวินแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  ซึ่งหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวต้องอยู่รอที่นี่

(เดี๋ยวๆ.....พี่หลงเขาเป็นถึงโอรสสวรรค์นะเว้ย....

ทำไมปล่อยให้ยืนรอเป็นตัวกระจอกแบบนี้  -.-

)

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม  ภายใต้การนำทางของพ่อบ้านเทียน

จี้เทียนซิงก็ได้พบหน้าเหลยเฉียนจวินที่อยู่ในตำหนักลึกเข้าไปในหมู่ตึกพนัน

เมื่อไม่ได้เห็นหน้าจี้เทียนซิงมาหลายเดือน

เหลยเฉียนจวินก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง

คนเอ่ยปากทักทายด้วยเสียงหัวเราะ

"ฮ่าๆ สหายน้อย !  ข้าไม่ได้เจอเจ้ามาหลายเดือนแต่เจ้ากลับพัฒนาอย่างรวดเร็วราวกับติดจรวด  เป็นเรื่องที่น่ายินดีนักอ่า !"

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ผู้จัดการเหลยกล่าวหนักไป

ข้าเพียงโชคดีกว่าผู้อื่นก็เท่านั้น”

ทั้งสองทักทายปราศรัยกันเล็กน้อยก่อนที่จะนั่งลง

เหลยเฉียนจวินเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มว่า

“สหายน้อยมาเยือนที่นี่ก็เพราะต้องการพบฟางจู้ของพวกเราใช่หรือไม่

?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและตอบกลับว่า “ผู้จัดการเหลยหลักแหลมจริงๆ

ข้ามีบางเรื่องที่คิดสอบถามเทียนอิงฟางจู้"

เหลยเฉียนจวินพยักหน้าและกล่าวว่า

"ในเมื่อแค่ถามข่าว เช่นนั้นก็คงไม่เป็นไร  สหายน้อยตามข้ามา”

จากนั้นเหลยเฉียนจวินก็พาจี้เทียนซิงไปยังที่อยู่ของเทียนอิงฟางจู้

เมื่อมาถึงเขาก็ได้พบกับเทียนอิงฟางจู้อีกครั้ง

อีกฝ่ายกำลังตรวจบัญชีอยู่ในห้องหนังสือ

มันทราบจากการรายงานของเหลยเฉียนจวินจึงวางสมุดบัญชีลงและหันไปมองจี้เทียนซิง  เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เด็กน้อย

เจ้าต้องการสอบถามข่าวสารเรื่องอะไร ?”

จี้เทียนซิงโค้งคารวะอีกฝ่ายและถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“คารวะฟางจู้

ผู้เยาว์ต้องการถามท่านว่า

ท่านรู้จักผู้ใดในเมืองนี้ที่เชี่ยวชาญด้านเวทย์มนต์คำสาปหรือไม่ขอรับ ?”

"เวทย์มนต์คำสาป ? " เทียนอิงฟางจู้ขมวดคิ้วแน่นในทันที

แสงสลัวปรากฏในดวงตาของมันวูบหนึ่ง

คนชำเลืองมองไปที่เหลยเฉียนจวินและออกคำสั่งเสียงหนักแน่นว่า

“ผู้จัดการเหลย

ท่านถอยออกไปให้ห่างจากห้องตำรา ห้ามมิให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาโดยเด็ดขาด !"

ผู้จัดการเหลยก้มศีรษะลงและล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับปิดประตูให้อย่างมิดชิด

ปฏิกิริยาเช่นนี้ของเทียนอิงฟางจู้ทำให้จี้เทียนซิงตระหนักได้ในทันทีว่า

“เวทย์มนต์คำสาป” ที่เขาเอ่ยปากออกไปนี้จะต้องมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นเทียนอิงฟางจู้คงไม่ระวังถึงขั้นนี้