ตอนที่ 266

ท้าทายเผ่าอสูร

เมื่อได้ยินคำพูดของเหยียนเซียนเซิง

จี้เทียนซิงก็ตะลึงงันพลางถามว่า

“ไปที่ตึกพนันเหยี่ยวเวหาเพื่อกระทำสิ่งหนึ่ง ? มิใช่ว่าให้ข้าไปเล่นพนันหรอกกระมัง ?”

เหยียนเซียนเซิงผุดยิ้มบางและมีท่าทางลึกลับยากจะคาดเดา  เขากล่าวว่า

“มันเป็นการพนันจริง แต่มิใช่การพนันอย่างที่เจ้าคิด

มันเป็นการพนันด้วยการประลอง”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามว่า

“ขออภัยที่ถามมากความ

แล้วมันมีวิธีการอย่างไรหรือ ?”

เหยียนเซียนเซิงอธิบายอย่างช้าๆว่า

“ตึกพนันเหยี่ยวเวหามีทั้งการพนันด้วยเงินตราทั่วไปซึ่งเป็นการพนันด้านสว่าง

และมีการพนันลับในด้านมืดที่เรียกว่าการพนันของเหล่าจ้าวป่า

มีราชาไร้เทียมทานอยู่สองคนซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นเผ่าพันธุ์อสูรที่แข็งแกร่ง”

“เจ้าต้องท้าทายหนึ่งในสองราชาและล้มพวกเขาให้ได้จึงจะมีสิทธิ์ได้พบเทียนอิงฟางจู้

(เถ้าแก่เหยี่ยวเวหา) เขาจะตอบสนองต่อความต้องการของเจ้า”

จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นและเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สนอกสนใจ

“อ้อ ?

มีกฎเช่นนี้ด้วยหรือนี่

?”

“เช่นนั้นข้าขอถามต่อ

เผ่าอสูรทั้งสองคนนั่นมีพลังฝีมือในขอบเขตใดหรือ ? แล้วกฏในการท้าทายมีอะไรบ้าง

?”

เหยียนเซียนเซิงอธิบายต่อไปว่า

“ยอดฝีมือคนแรกเรียกว่าเป่าจ้ง (หมีดุร้าย) มันมีพลังในขอบเขตปราณแท้ขั้นที่ห้าและเป็นยอดฝีมือแห่งตระกูลหมี

มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขอบเขตปราณแท้ขั้นห้าจึงจะสามารถท้าทายมันได้”

“คนที่สองชื่อว่าอันหยิง (เงาเร้นลับ)

มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นห้าและเป็นยอดฝีมือตระกูลหมาป่าที่เร้นกายในเงามืด  ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าปราณจิตขั้นห้าถึงจะท้าทายมันได้”

“กฎกติกาในการท้าทายนั้นง่ายดายยิ่ง

สองฝ่ายประลองกันด้วยมือเปล่าห้ามใช้กำลังภายนอกเข้ามาช่วย อาทิเช่น อาวุธ อุปกรณ์ลับ

ยันต์คาถา เวทย์ ข่ายอาคม ฯลฯ สู้กันด้วยชีวิตและความตาย”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้ว

ดวงตาเปล่งประกายอย่างเคร่งขรึม

เขารู้ดีว่าพลังยุทธ์ของเผ่าพันธุ์อสูรนั้นไม่ธรรมดา

มันเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั่วๆไป

ยอดฝีมือเผ่าอสูรที่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นห้าจะมีพลังในการต่อสู้พอๆกับผู้ฝึกยุทธ์เผ่ามนุษย์ในระดับปราณจิตขั้นที่หก

หากผู้ฝึกยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่พึ่งพาอุปกรณ์วิเศษ, คาถาอาคมหรือข่ายปราณ  ตลอดจนกำลังจากภายนอกอื่นๆก็ยากที่จะเทียบเผ่าอสูรได้

เขามองไปที่เหยียนเซียนเซิงและขมวดคิ้วถามว่า

“แบบนี้มิใช่ว่ากฎที่เทียนอิงฟางจู้ตั้งขึ้นมาจะยากไปหน่อยหรือ

? จะมีสักกี่คนเชียวที่ทำได้สำเร็จ ?”

เหยียนเซียนเซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ถูกต้อง ! ย่อมยากเย็นอยู่แล้ว”

“ในปีที่ผ่านมามีผู้ท้าทายอย่างน้อยก็ร่วมสิบชีวิต

แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ผ่านการท้าทายและได้พบหน้าเทียนอิงฟางจู้  เหอๆ สหายน้อย เทียนอิงฟางจู้ไม่เพียงแค่เป็นมังกรผู้ทรงอำนาจ

แต่ยังเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งที่ยากจะพบพานอีกด้วย

ท่านเป็นผู้ดูแลจัตุรัสตงเชิงอีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสามเจ้าเมืองวิญญาณเพลิง

คิดว่าจะพบหน้าท่านได้ง่ายเหมือนสามัญชนทั่วไปหรือไง ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและคารวะอีกฝ่าย

“ขอบคุณเหยียนเซียนเซิงมากที่อธิบายโดยละเอียดเช่นนี้”

เหยียนเซียนเซิงสะบัดแขนเสื้อและกวาดเอาหินวิญญาณของจี้เทียนซิงเก็บไป

เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สหายน้อยไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า หมู่ตึกป้าฟางของเราทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์จริงใจ

เจ้าจ่ายเงินเท่าไหร่ก็จะได้รับข้อมูลข่าวสารที่สมน้ำสมเนื้อเท่านั้น”

“ไปเถิด ขอให้สหายน้อยโชคดี”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและหันหลังเดินออกจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว

............

หลังออกจากหมู่ตึกป้าฟางเขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังจตุรัสตงเชินเพื่อค้นหาตึกพนันเหยี่ยวเวหา

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

ทั่วทั้งเมืองวิญญาณเพลิงจึงถูกอาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์สีทอง

ชาวยุทธ์บนท้องถนนในเมืองเริ่มบางตาและเสียงร่ำร้องเรียกแขกของเหล่าพ่อค้าแม่ขายก็ทยอยหายไป

อย่างไรก็ตาม

จัตุรัสเมืองตงเชิงนั้นแตกต่างออกไปมันสงบเงียบและลึกลับอยู่ตลอดเวลา

มีถนนสายหลักสองสายในโซนนี้

ท้องถนนยังเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนอาวุธ เม็ดยา คาถาและอุปกรณ์อื่นๆ

นี่คือโลกของเหล่าชาวยุทธ์

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับวิทยายุทธ์สามารถพบเห็นได้ที่นี่

ถึงแม้ว่าจะมีร้านค้าที่ขายสิ่งของเหล่านี้ในส่วนอื่นของเมือง

แต่คุณภาพนั้นก็ยังห่างไกลหากนำมาเทียบกัน

ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปของเมืองวิญญาณเพลิงมักจะไปหาซื้อของที่จำเป็นในการบ่มเพาะที่ตลาด

แต่ทว่าสมบัติเงินทองของฆราวาสนั้นไร้ค่าในโซนนี้

และแทบจะไม่สามารถหาซื้อข้าวของดีๆได้

ในโซนนี้มีเพียงหินวิญญาณและอัญมณีเลอค่าเท่านั้นที่สามารถใช้เป็นสกุลเงินได้

แต่ทว่าหากผู้ฝึกยุทธ์ไม่มีหินวิญญาณและอัญมณีในครอบครองก็สามารถนำสิ่งของอื่นที่มีค่ามาแลกเปลี่ยนในอัตราที่เท่าเทียมกันได้

จี้เทียนซิงเดินไปจนสุดถนนฝั่งซ้ายของเมืองและได้เห็นตึกพนันเหยี่ยวเวหาในที่สุด

กล่าวได้ว่ามันเป็นสถานที่สำหรับการพนัน

มันเป็นวังที่มีรัศมีหนึ่งพันเมตร โดยมีการตกแต่งหรูหราอลังการทั้งภายในและภายนอก

ที่ประตูวังมีรูปปั้นของเทียนอิง

(เหยี่ยวเวหา ) ที่สูงถึงสิบเมตร

รูปปั้นเหยี่ยวเวหานั้นสดใสราวกับมีชีวิตจริงๆ

มันอยู่ในท่วงท่าที่กำลังโผบินบนฟ้าและดูทรงอำนาจมาก

หน้าประตูมียามในชุดเกราะดำยืนอยู่สองแถว

ทุกคนต่างก็มีพลังในขอบเขตปราณแท้ขั้นที่เจ็ดที่เต็มไปด้วยความดุดันแข็งแรง

มันเป็นเวลาช่วงเย็นซึ่งยังไม่มีแขกเหรื่อเข้ามาเสี่ยงโชคกันมากนัก

บรรยากาศภายในวังจึงดูเงียบสงัด แต่หากตกดึกเมื่อไหร่จะเป็นช่วงเวลาที่มีชีวิตชีวาที่สุดของธุรกิจการพนัน…

ก่อนที่จี้เทียนซิงจะได้เห็นบรรยากาศในห้องโถง

ชายชุดดำเข้าปรี่เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“น้องชายท่านนี้ หากต้องการเล่นการพนันใดๆโปรดนั่งรอก่อนสักครู่

หรือถ้าหากมีเรื่องอื่นใดให้รับใช้โปรดเรียกหาข้าผู้แซ่เทียนได้ตลอดเวลา ข้าคือพ่อบ้านของตึกพนันเหยี่ยวเวหา”

จี้เทียนซิงพยักหน้าให้อีกฝ่ายและกล่าวอย่างสงบว่า

“ท่านพ่อบ้าน ข้ามาเยือนตึกพนันเหยี่ยวเวหาในวันนี้ก็เพราะอยากพบเทียนอิง”

“โอ้..... ? เจ้าอยากพบเถ้าแก่ของพวกเรางั้นหรือ

?”

พ่อบ้านเทียนเลิกคิ้วขึ้น

สีหน้าอันนอบน้อมเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหยอกเย้าสนุกสนาน

“หากเจ้าต้องการพบเถ้าแก่ก็ต้องชนะการท้าทายให้สำเร็จก่อน

กฏข้อนี้น้องชายทราบดีแล้วกระมัง ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า

“แน่นอนว่าทราบ

มิฉะนั้นข้าคงไม่กล่าวตรงเข้าประเด็นเช่นนี้”

“เข้าใจแล้ว” ใบหน้าของพ่อบ้านเทียนเผยรอยยิ้มมากขึ้นและผายมือเชื้อเชิญอีกฝ่ายให้ตามมา “น้องชายโปรดมากับข้า”

จากนั้นพ่อบ้านเทียนก็พาจี้เทียนซิงไปที่มุมห้องโถงและเข้าไปที่ประตูหินสีดำ

ด้านหลังประตูหินเป็นทางเดินอันมืดมิดที่ทอดยาวลึกลงไปใต้พื้นดิน

ด้านข้างของทางเดินปกคลุมไปด้วยโคมไฟหินและพื้นดินที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและแบนเรียบ เพียงมองวูบเดียวก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเส้นทางนี้มักมีผู้คนเดินเข้าออกอยู่เป็นประจำ

อีกครู่ต่อมาพ่อบ้านเทียนก็นำจี้เทียนซิงเดินไปจนสุดทางเดินและเข้าไปถึงห้องโถงใหญ่และกว้างขวาง

โถงกว้างสามเมตรนี้เป็นเหมือนบ้านประมูล

รอบๆห้องโถงเต็มไปด้วยที่นั่งสูงต่ำ

อย่างน้อยๆก็สามารถรองรับผู้คนได้นับพัน

กลางห้องโถงเป็นพื้นที่เปิดโล่งวงกลมที่มีรัศมี

100 เมตรเหมือนหลุมขนาดใหญ่ที่แบนราบ

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงรับรู้ได้ในทันทีที่มองผ่านเพียงวูบเดียวว่ามันคือลานประลองอันมีชื่อเสียง

หลังจากนี้เขาจะต้องเข้าไปในลานแห่งนั้นและท้าทายเผ่าพันธุ์อสูรที่มีนามว่าอันหยิง

บัดนี้มีผู้คนมากหลายที่เฝ้าดูการท้าทายบนที่นั่งรอบๆเวทีและภายในห้องหรูหราบนชั้นสองของห้องโถง

พ่อบ้านเทียนนำทางจี้เทียนซิงเดินผ่านที่นั่งหลายแถวจนกระทั่งเข้าสู่เวที

จี้เทียนซิงได้เห็นประตูเหล็กสีดำขนาดใหญ่สองแห่งทางด้านทิศเหนือและทางด้านทิศใต้ของลานประลอง

มันสามารถมองเห็นผ่านรั้วของประตูเหล็กได้  มันคือห้องลับห้องหนึ่ง

จากนั้นผู้ดูแลของลานประลองก็บอกให้เขารั้งอยู่ในห้องลับและล็อคประตูเหล็ก