ตอนที่ 168

คนเสียสติอันดับหนึ่งของฟงอวิ๋น

?

หลังจากเสร็จสิ้นการบ่มเพาะ

จี้เทียนซิงก็เดินไปที่มุมห้องลับและยืนอยู่หน้าเสาหินเกลียว

ภายในห้องลับที่พักของศิษย์หอยุทธ์ฟงอวิ๋นทุกคนจะมีเสาหินเกลียวสำหรับตรวจวัดขอบเขตพลังยุทธ์

จี้เทียนซิงรู้สึกได้ว่าตนเองอยู่ในขอบเขตสูงสุดของระดับปราณแท้แล้ว

เหลืออีกครึ่งก้าวเท่านั้น

เพียงแค่บรรเทาเส้นชีพจรกระบี่เส้นสุดท้ายก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตได้โดยสมบูรณ์

ดังนั้นเขาจึงใช้เสาหินหมุนเกลียวเพื่อตรวจวัดระดับพลังที่แท้จริงอีกรอบให้แน่ใจ

ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยสีสันแห่งความคาดหวัง

จากนั้นก็เอื้อมมือออกไป กางฝ่ามือช้าๆทาบกดไปเสาหินเกลียว

ตัวอ่อนกระบี่ในร่างกายโคจรหมุนวนจนทำให้เกิดพลังลมปราณ

จากนั้นมันก็ถ่ายเทเข้าสู่เสาหินเกลียวผ่านฝ่ามือของเขา

ทันใดนั้นเองเส้นสายสีดำที่เสาหินก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีและลำแสงสีแดงก็ส่องสว่างขึ้น

“หนึ่ง สอง สาม……ลำแสงเก้าเส้น !   นี่ข้ามาถึงขอบเขตปราณแท้ขั้นที่ 7 แล้วจริงๆ !”

“เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ไม่ผิด

ตราบใดที่ข้าสามารถบรรเทาเส้นชีพจรหลักเส้นสุดท้ายให้เป็นชีพจรกระบี่ได้สำเร็จ

เมื่อนั้นข้าจะทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตปราณจิตโดยสมบูรณ์ !”

จี้เทียนซิงถอนฝ่ามือออก

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุขและความคาดหวัง หลังจากนั้นครู่หนึ่งอารมณ์ของเขาก็สงบลงและกระซิบในใจ

“ข้าปิดด่านบ่มเพาะเก้าวันติดต่อกันและกระโดดจากขอบเขตปราณแท้ขั้นที่

7 ไปถึงขั้นที่ 9 นี่คือฤทธิ์เดชอันน่ามหัศจรรย์ของเม็ดยาหยกน้ำค้าง

!”

“อย่างไรก็ตาม การบ่มเพาะวิทยายุทธ์ควรจะค่อยเป็นค่อยไป

หากระดับพลังพุ่งสูงเร็วเกินไปจะทำให้รากฐานไม่มั่นคงและมีคอขวดในอนาคต”

“ข้าต้องใช้เม็ดยาปราณทองคำเพื่อเสริมสร้างและขัดเกลาพลังปราณของข้าให้รากฐานแน่นกว่านี้เสียก่อน”

ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี

แต่ประสบการณ์การบ่มเพาะของเขาก็นับว่าไม่เลว และไม่เคยรีบร้อน

การได้รับความทุกข์ทรมานในถ้ำวายุทมิฬเมื่อไม่นานนี้ทำให้เขาสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้น

และไม่เย่อหยิ่งจองหองอย่างไร้เหตุผลอีกต่อไป

จากนั้นจี้เทียนซิงก็กินเม็ดยาปราณทองคำและบ่มเพาะเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อสร้างรากฐานวรยุทธ์ให้มั่นคงยิ่งขึ้น

จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นในอีกวันหนึ่ง

เขาก็สิ้นสุดการบ่มเพาะและเดินออกจากห้องลับ

มาถึงตอนนี้ศิษย์คนอื่นๆของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างก็เดินออกจากห้องและไปรวมตัวกันที่ลานกว้างเพื่อกระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง

เมื่อพวกเขาได้เห็นจี้เทียนซิงเดินออกมาก็เผยให้เห็นสีหน้าตกตะลึงและมองด้วยสายตาแปลกๆ

ฝูงชนหันไปมองเขาสองสามครั้งแล้วกระซิบกัน

รวมไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็มีกู่เจี้ยนหมิง, เย่ชางเซิงและศิษย์คนอื่นๆที่ซุบซิบกันไม่หยุด

“จี้เทียนซิง ไอ้เด็กเหลือขอผู้นี้โอหังยิ่งนัก !”

“เหอะ เหอะ ...

เจ้าหมอนี่ไม่โผล่หัวมาร่วมครึ่งเดือน

ข้าก็หลงคิดไปว่ามันออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นไปแล้วเสียอีก”

“หึ

ครูฝึกฮั่นย้ำแล้วย้ำอีกให้ฝึกฝนภารกิจครั้งนี้อย่างหนัก

แต่เจ้าหมอนี่กลับหายหน้าไปถึงครึ่งเดือน

กำแหงนัก !”

“ในช่วงที่ผ่านมาครูฝึกฮั่นเปิดสอนเรื่องข่ายอาคมในห้องโถงใหญ่ทุกวันตอนบ่าย

แต่จี้เทียนซิงไม่เคยเข้าฟังสักครั้งเดียว แบบนี้มันจองหองเกินไปแล้ว”

ด้านหน้าโต๊ะหินที่บ่อน้ำโบราณ

อี้โม่และซื่อจิงเฉิงต่างก็นินทาจี้เทียนซิงและกล่าวเยาะเย้ยเช่นกัน

“หมอนี่มันหยิ่งเกินไปแล้ว แค่ได้อันดับหนึ่งในการปรุงยาแต่กลับกล้าไม่เข้าฟังบรรยายของครูฝึกฮั่นเลย  เหิมเกริมจริงๆ !”

“เหอะ ! จี้เทียนซิงสมควรได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ที่โอหังที่สุดในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นแล้วกระมัง

?”

“วันนี้เป็นวันทดสอบสิ้นเดือน เดี๋ยวอีกไม่นานครูฝึกฮั่นก็จะเข้ามาเปิดการทดสอบข่ายอาคมแล้ว  จี้เทียนซิงไม่เคยเข้าฟังบรรยายแม้แต่วันเดียว

การสอบครั้งนี้เขาจบสิ้นแน่ !”

“ฮ่าๆ

การทดสอบวันนี้ผู้ที่ได้คะแนนต่ำสุดจะถูกลงโทษ แค่คิดข้าก็ตื่นเต้นเหลือเกินแล้ว !”

ที่มุมๆหนึ่งของลานกว้าง

ลู่หมิงหยางก็หยุดกวาดพื้นแล้วเหลือบมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

“จี้เทียนซิง เจ้ามันจองหองลำพองเกินตัวเสียแล้ว !

คอยดูเถอะการทดสอบวันนี้เจ้าจะต้องพ่ายแพ้

ส่วนข้าจะเป็นผู้ชนะและเป็นอันดับหนึ่ง !  ถึงแม้ข้าจะไม่มีแนวร่วมเพราะจี้หลิงถูกขับไล่ออกจากนิกาย

แต่ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ !”

จี้เทียนซิงยืนอยู่ใต้ชายคาของประตูและกวาดสายตามองไปที่สีหน้าซับซ้อนของศิษย์ทั้งแปด  เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“คนพวกนี้สมองมีปัญหากันหรือไงนะ ? ข้าไม่เคยทำอะไรพวกมันสักครั้ง ทำไมพวกมันถึงได้เกลียดชังข้านัก ?”

ในเวลานี้เองประตูของห้องถัดไปก็เปิดออก

เนี่ยห่าวเดินออกมาจากห้องและยืนอยู่ใต้ชายคาดูเหมือนว่าเพิ่งจะฝึกเสร็จ

เขาหันไปมองจี้เทียนซิงอย่างอดไม่ได้ที่จะกระพริบตาเห็นใจ

จากนั้นเขาก็เดินไปหาอีกฝ่ายและกล่าวถามด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่จี้ ครึ่งเดือนมานี่ท่านหายไปไหนมา ? ข้าไม่เห็นท่านเข้าฟังบรรยายของครูฝึกฮั่นเลยสักวัน”

จี้เทียนซิงยักคิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ก่อนหน้านี้มีเรื่องยุ่งยากต้องจัดการนิดหน่อยน่ะ

เดิมทีคิดว่าใช้เวลาไม่กี่วัน สุดท้ายกลับยาวถึงครึ่งเดือน”

เนี่ยห่าวส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

“พี่จี้ เพราะท่านไม่เคยเข้าฟังบรรยายของครูฝึกฮั่นเลยตลอดครึ่งเดือน

ศิษย์คนอื่นๆเลยนินทาท่านลับหลังกันสนุกปาก”

จี้เทียนซิงเหลือบมองศิษย์ร่วมหอทั้งแปดและยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันพลางกล่าวว่า

“เหอๆ ก็แค่กลุ่มอีแอบที่ทำได้เพียงนินทาชาวบ้าน

ไม่มีอันใดต้องกลัว”

เนี่ยห่าวพยักหน้าและตบที่ไหล่ของเขา

“พี่จี้เข้าใจก็ดีแล้ว ไม่ต้องสนใจเสียงนกเสียงกานักหรอก”

“เพียงแต่วันนี้เป็นวันทดสอบสิ้นเดือนของครูฝึกฮั่น

ท่านต้องระวังให้มาก เหล่าศิษย์หลายคนรอซ้ำท่านหลายคนเลยล่ะ”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและยกยิ้มมุมปาก

“พวกตัวร้ายเหล่านั้นอยากเห็นข้าขายหน้าแล้วรอซ้ำงั้นหรือ

? ฝันไปเถอะ ! ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าฟังบรรยายก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ฝึกเสียหน่อย”

เนี่ยห่าวหัวเราะฮ่าๆและชูนิ้วโป้งให้จี้เทียนซิง  ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่การแสดงออกของเขาก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่าง

หลังจากนั้นไม่นานเสียงระฆังที่หอประชุมก็ดังขึ้นในห้องโถงใหญ่

ศิษย์ทุกคนหยุดการสนทนาและรีบไปที่ห้องโถงใหญ่ จี้เทียนกับเนี่ยห่าวก็เดินไปเช่นกัน ใบหน้าของเขาสงบเยือกเย็น แววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ถึงแม้เขาจะไม่เคยเข้าฟังบรรยายเรื่องข่ายอาคมเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่เขาก็มีพื้นฐานและพรสวรรค์โดยกำเนิดที่สูงมาก หลังจากได้รับการชี้แนะจากเซี่ยงหวู่จี้

ความสามารถในด้านข่ายอาคมของเขาก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมาก

ต่อให้เขาไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคม

แต่การจะทำให้ผ่านการประเมินของฮั่นเฉียวเซิงนั้นแทบไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวง

ในตอนที่ทำภารกิจร่วมกับหยุนเหยา

เขาได้ประสบกับวิกฤตชีวิตและความเป็นความตายมาแล้วหลายครั้ง  เขาตระหนักดีถึงความสำคัญของข่ายอาคม

นอกจากนี้เขายังเข้าใจถึงเจตนาอันดีของฮั่นเฉียวเซิงที่สอนศาสตร์แห่งอาคมให้เหล่าศิษย์

เพราะข่ายอาคมนั้นเชื่อมโยงกับวรยุทธ์อย่างแยกกันไม่ออก

เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ท่องอยู่ในยุทธภพ

พวกเขาสามารถพบเจอและใช้ออกด้วยศาสตร์ชนิดนี้ได้แทบทุกที่ทุกเวลา

อีกทั้งมันยังสามารถช่วยชีวิตในยามฉุกเฉินได้อีกด้วย

จี้เทียนซิงตัดสินใจแล้วว่าหลังจากผ่านการประเมินย่อยวันนี้เขาจะพยายามพัฒนาขีดความสามารถทางด้านข่ายอาคมให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน

จี้เทียนซิงและเหล่าศิษย์คนอื่นๆก็รวมตัวกันในห้องโถงใหญ่ครบถ้วน  ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เดินตามมาติดๆ

ฮั่นเฉียวเซิงเดินไปที่แท่นตำแหน่งแรกพลางกวาดสายตามองผู้คนอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยเสียงดังว่า

“เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนย่อมศึกษาและฝึกฝนกันอย่างหนัก”

“วันนี้ข้าต้องการประเมินผลการเรียนรู้ของพวกเจ้าตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเพื่อดูว่าพวกเจ้าละเอียดรอบคอบมากกว่าเดิมหรือไม่

การประเมินครั้งนี้ ไม่มีการถามคำถามใดๆทั้งสิ้น

มีเพียงการกระทำของพวกเจ้าเท่านั้นที่เป็นทั้งคำถามและคำตอบ

ข้าได้วางข่ายอาคมไว้ล่วงหน้าและจะใช้ข่ายอาคมเพื่อประเมินพวกเจ้าทั้งหมด !”