อาคมเก้ามังกรผนึกมาร - สายเลือดกระบี่ลี้ลับ
จี้หลิงได้รู้ข่าวบางอย่างก่อนที่จะเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์ เขารู้ว่าตนเองเป็นบุคลที่นิกายกำลังมองหาและดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญมาก
ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ตนเองเข้าสู่นิกาย
เขาจะต้องได้รับการดูแลประคบประหงมอย่างดีแน่นอน
แต่หลังจากเข้านิกายมาได้ครึ่งเดือนก็ยังไม่เคยถูกเรียกหาและไม่ได้เป็นที่สนใจอย่างที่ควร เขาเริ่มกังวลในใจแต่ก็ไม่รู้จะถามผู้ใด
บัดนี้
เขารู้ว่าเวลานั้นได้มาถึงแล้ว !
เมื่อเขาได้ยินเสียงของหยุนเหยา
อัตราการเต้นของหัวใจก็ถี่รัวขึ้น ดวงตาทอประกายเจิดจ้า
เขาคิดไม่ถึงว่าผู้ที่เรียกพบเขาเป็นการส่วนตัวจะเป็นถึงประมุขนิกาย
! การได้รับเกียรติเช่นนี้ทำให้เขาดีใจจนเนื้อเต้น
เพียงแต่ฉากหน้าเขายังคงวางสีหน้าสงบราบเรียบพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้
“ข้าจะปฏิบัติดังที่ศิษย์พี่หญิงกระตุ้นเตือน !”
หยุนเหยาไม่ตอบคำและเดินนำเขาผ่านห้องโถงใหญ่อย่างสงบ
ภายในห้องโถงใหญ่อันเงียบสงัดมีเพียงบัลลังก์แรกเท่านั้นที่มีเงาร่างหนึ่งประทับอยู่
มันคือชายกลางคนในชุดคลุมสีทองที่มีใบหน้าหล่อเหลาแข็งกร้าวและมีผมยาวสีขาว ทั่วปลดปล่อยกลิ่นไออันทรงพลังอำนาจ
จี้หลิงเป็นคนฉลาดและมั่นใจได้ในทันทีว่าผู้ที่นั่งอยู่นี้คือประมุขแห่งนิกายพันธมิตรสวรรค์
!
เขาก้าวยาวๆเข้าไปในห้องโถงใหญ่พร้อมกับหยุนเหยาและติดตามนางไม่ห่าง
“ศิษย์คารวะท่านประมุข !”
“ศิษย์หยุนเหยาคารวะท่านอาจารย์ !”
ฉู่เทียนเซิงนั่งบนบัลลังก์ประมุขนิกายและจ้องมองจี้หลิงจากด้านบน
เพียงมองผ่านวูบเดียวเขาก็ระบุพลังยุทธ์ของจี้หลิงได้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้มีพลังในเขตแดนปราณแท้ขั้นที่
7 และกำลังจะตัดผ่านไปยังขั้นที่ 8 ในไม่ช้า
ยิ่งไปกว่านั้น
ภาพลักษณ์ที่จี้หลิงแสดงออกก็ดูดีไม่น้อย
บุคลิกท่วงท่างามสง่าและอ่อนน้อมถ่อมตน
เขาลอบพยักหน้าเบาๆและคิดในใจว่า ชายหนุ่มผู้นี้ใช้การได้
“เจ้าคือจี้หลิง ? เจ้าเป็นองค์ชายของตระกูลราชวงศ์และรัฐนภากระจ่างถูกต้องหรือไม่
?”
ฉู่เทียนเซิงมองจี้หลิงและถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จี้หลิงถูกอีกฝ่ายจ้องมองด้วยดวงตาที่หลักแหลมและสงบนิ่งราวกับต้องการมองให้ทะลุ
เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายจึงก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและป้องมือคารวะพลางตอบว่า
“ใช่แล้วขอรับ”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามอีกครั้ง
“จี้หลิง เจ้าเคยพบกับย่าทวดหรือยายทวดของเจ้าบ้างหรือไม่ ?”
คำถามนี้ทำให้จี้หลิงอึ้ง
ย่าทวดก็หมายถึงแม่ของปู่เขา
บรรพบุรุษของตระกูลราชวงศ์ที่ยังมีชีวิตในปัจจุบันมีเพียงจี้เซิงเซียว ดังนั้นจี้หลิงจึงตอบไปตามความจริงและส่ายหัว “เรียนท่านประมุข ศิษย์ไม่เคยพบท่านมาก่อนเลย”
ดวงตาของฉู่เทียนเซิงเปล่งประกายอย่างผิดหวังเล็กน้อยแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาพยักหน้าอย่างสงบและกล่าวต่อไปว่า “ท่านเป็นบรรพบุรุษเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจ้าไม่เคยเห็นก็ไม่แปลก
ช่างมันเถอะ”
“จี้หลิง เข้ามาใกล้ๆให้ข้าดูหน้าชัดๆ”
จี้หลิงไม่เข้าใจเจตนาของฉู่เทียนเซิงแต่ยังเชื่อฟังและเดินไปข้างหน้า
โค้งคำนับด้วยความเคารพและหยุดอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายเพียงก้าวเดียว
ฉู่เทียนเซิงยื่นมือออกมาจับข้อมือของจี้หลิงและปล่อยสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังออกไปสำรวจร่างกายของจี้หลิง
จี้หลิงสะดุ้งเฮือกแต่ก็ไม่คิดขัดขืน
เขาเพียงยืนเฉยๆอย่างเงียบงัน แต่ที่จริงแล้วในใจของเขาเต้นระรัวและมีความคิดหมุนวนอย่างลับๆ
“ประมุขแผ่สัมผัสวิญญาณเพื่อดูร่างกายข้า เขาคิดตรวจสอบคุณสมบัติและพรสวรรค์เชิงยุทธ์ของข้างั้นหรือ
?”
“โชคดีที่ข้าได้ปรับแต่งลูกปัดครองวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ตันเถียนของข้าตอนนี้ก็เหมือนของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป
แม้แต่ประมุขเองคงไม่อาจมองเห็นความผิดปกติได้แน่นอน”
หลังจากนั้นไม่นาน
ฉู่ทียนเซิงก็ดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่ง ดวงตาของเขาทอประกายเจิดจ้าอย่างตระหนก
“ไม่ผิดแน่ เป็นสายเลือดกระบี่อันลึกซึ้งยิ่งนัก !”
ฉู่เทียนเซิงตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดีและรั้งสัมผัสวิญญาณกลับมา
เขาหันไปมองหยุนเหยาและกล่าวด้วยความสำนึกขอบคุณ
“หยุนเหยา เจ้าทำได้ดีมาก ครั้งนี้พวกเจ้าทั้งสามได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับนิกายแล้ว
ข้าจะตบรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม !”
หยุนเหยาโค้งคำนับอย่างสงบเสงี่ยม
ปากกล่าวว่า “ศิษย์ขอบคุณท่านประมุข !”
ฉู่เทียนเซิงมองไปที่จี้หลิงอีกครั้งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“จี้หลิง เจ้ากลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นและฝึกฝนให้ดี
เดี๋ยวข้าจะสั่งให้ครูฝึกฮั่นมอบเม็ดยาใจสวรรค์กับเม็ดยาวิญญาณโลหิตให้เจ้าอย่างละสองเม็ด”
“ด้วยความช่วยเหลือของโอสถทั้งสองชนิดนี้ เจ้าจะสามารถปรับแต่งสายเลือดกระบี่ลี้ลับและเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าได้อีกมาก
!”
“หลังจากที่เจ้าผ่านการประเมินเป็นศิษย์ฝ่ายใน หากเจ้าประพฤติตัวดีและมีคุณสมบัติพอ
ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรง !”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
จี้หลิงก็ตกตะลึงและเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องประหลาดใจจะประดังเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้
ประมุขนิกายผู้ไร้เทียมทานในอาณาจักรเทียนเฉินกล่าวว่าจะรับเขาเป็นศิษย์สายตรง
!
จี้หลิงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหยุนเหยาก็คือศิษย์สายตรงของประมุขและเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน นางเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้สืบทอดของประมุข
อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้
หลังจากฉู่เทียนเซิงลงจากตำแหน่ง
หยุนเหยาจะขึ้นเป็นประมุขคนต่อไปและรับหน้าที่ปกครองนิกายพันธมิตรสวรรค์และอาณาจักรเทียนเฉินทั้งหมด
!
ถ้าเขาได้เป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของประมุขอีกคน
เป็นไปได้สูงว่าจะมีสิทธิ์แข่งขันกับหยุนเหยาชิงตำแหน่งประมุขคนต่อไป !
การได้ปกครองทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินคือหนึ่งในความปรารถนาชั่วชีวิตของเขา
เขาไม่เคยกล้าจินตนาการเลยว่าเป้าหมายที่เฝ้าตามหามาตั้งแต่เด็กจะอยู่แค่เอื้อม
!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้มือไม้ของเขาก็สั่นสะท้านและแม้แต่น้ำเสียงที่เคยอบอุ่นเยือกเย็นก็ยังต้องสั่นครือเล็กน้อย
เขาโค้งคำนับและกล่าวด้วยความจริงใจ
“ขอบพระคุณท่านประมุขที่เมตตา ! ศิษย์ผู้นี้จะหมั่นฝึกฝนอย่างไม่เกียจคร้านและจะไม่ทำให้ท่านประมุขต้องผิดหวัง
!”
หยุนเหยาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
แต่ดวงตาคู่งามของนางฉายแววประหลาดใจไม่น้อย
นางไม่คิดฝันว่าอาจารย์ของนางจะพูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ
นางทราบอย่างกระจ่างแจ้งว่าการได้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขก็หมายความว่าคนผู้นี้มีสิทธิ์เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดนิกายคนต่อไป นี่เป็นมหาโอกาสอันน่าทึ่งที่ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝัน
!
อย่างไรก็ตาม
นางทำได้เพียงคาดเดาเหตุผลและไม่ได้พูดอะไรออกไป
ฉู่เทียนซิงยิ้มและพยักหน้าพลางโบกมือ
“เอาล่ะจี้หลิง เจ้ากลับไปก่อนไป”
จี้หลิงกล่าวขอบคุณฉู่เทียนเซิงอีกครั้งด้วยความเคารพ
จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากตำหนัก
หลังจากจี้หลิงกลับไปแล้ว
หยุนเหยาก็เลิกคิ้วขึ้นและถามฉู่เทียนเซิงว่า “ท่านอาจารย์คะ
การรับปากจี้หลิงให้เป็นศิษย์สายตรงของท่าน
ของขวัญชิ้นนี้มิใช่ว่าใหญ่เกินไปหน่อยหรือคะ ?”
“หรือเป็นเพราะเขาครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับ ?”
ปากของฉู่เทียนเซิงกระตุกด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า
“หยุนเหยา การที่อาจารย์ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล”
“เจ้ามีบางสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการผนึกข่ายอาคม
ที่จริงแล้วอาคมผนึกมารไร้พ่ายมีสองชั้น !”
“ผนึกแรกคือมหาข่ายอาคมที่มือกระบี่ไร้เทียมทานเมื่อหนึ่งพันปีก่อนวางไว้
หลังจากผ่านไปหนึ่งพันปีข่ายอาคมก็เริ่มแตกหักและพลังของมันก็อ่อนโทรมลง แต่ก็ไม่มีผู้ใดนอกจากลูกหลานหรือผู้สืบทอดของมือกระบี่ท่านนั้นที่สามารถควบคุมมหาข่ายอาคมได้โดยสมบูรณ์”
“เหล่าผู้อาวุโสของนิกายในยุคนั้นคาดการณ์ไว้ว่าพลังของมหาข่ายอาคมจะเสื่อมลงจนกระทั่งหมดไปภายในเวลาพันปี
ดังนั้นลูกหลานอย่างพวกเราจึงต้องคอยเสริมพลังของมหาข่ายอาคมทุกๆสองร้อยปี แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ทางออกระยะยาว ผู้อาวุโสจึงพยายามค้นหาวิธีต่างๆจนหัวหมุน”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ฉู่เทียนเซิงก็หลับตาและรำลึกถึงความทรงจำ
จากนั้นก็กล่าวต่อไปด้วยเสียงต่ำว่า
“จนกระทั่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อนมีผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญข่ายอาคมอยู่ในนิกาย
ท่านศึกษาศาสตร์แห่งค่ายกลและข่ายอาคมจนแตกฉานและยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ในดินแดนแห่งนี้ ท่านศึกษาอย่างหนักร่วม 36 ปีจนในที่สุดก็สร้างอาคมเก้ามังกรผนึกมารขึ้นมาเพื่อสะกดมารไร้พ่ายไว้ภายใต้ภูเขาเมฆาสีชาดอีกหนึ่งผนึก”
“ท่านได้กล่าวไว้ว่าหากอาคมเก้ามังกรผนึกมารเริ่มเสื่อมลงเมื่อใด จงเพิ่มพลังของมหาข่ายอาคมแรก มารไร้พ่ายจะไม่สามารถทลายผนึกออกมาได้ แต่โชคไม่ดี.... หลังจากผู้อาวุโสท่านนั้นสร้างอาคมเก้ามังกรผนึกมารเสร็จได้ไม่นานก็ออกจากนิกายไป
จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านไปอยู่ที่ไหน....”
ฉู่เทียนเซิงยิ้มขมขื่นและส่ายหัวพลางกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“อาวุโสท่านนั้นก็คือศิษย์พี่หญิงของข้าเอง”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved