ตอนที่ 121

อาคมเก้ามังกรผนึกมาร - สายเลือดกระบี่ลี้ลับ

จี้หลิงได้รู้ข่าวบางอย่างก่อนที่จะเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์ เขารู้ว่าตนเองเป็นบุคลที่นิกายกำลังมองหาและดูเหมือนจะเป็นเรื่องสำคัญมาก

ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ตนเองเข้าสู่นิกาย

เขาจะต้องได้รับการดูแลประคบประหงมอย่างดีแน่นอน

แต่หลังจากเข้านิกายมาได้ครึ่งเดือนก็ยังไม่เคยถูกเรียกหาและไม่ได้เป็นที่สนใจอย่างที่ควร  เขาเริ่มกังวลในใจแต่ก็ไม่รู้จะถามผู้ใด

บัดนี้

เขารู้ว่าเวลานั้นได้มาถึงแล้ว !

เมื่อเขาได้ยินเสียงของหยุนเหยา

อัตราการเต้นของหัวใจก็ถี่รัวขึ้น ดวงตาทอประกายเจิดจ้า

เขาคิดไม่ถึงว่าผู้ที่เรียกพบเขาเป็นการส่วนตัวจะเป็นถึงประมุขนิกาย

! การได้รับเกียรติเช่นนี้ทำให้เขาดีใจจนเนื้อเต้น

เพียงแต่ฉากหน้าเขายังคงวางสีหน้าสงบราบเรียบพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้

“ข้าจะปฏิบัติดังที่ศิษย์พี่หญิงกระตุ้นเตือน !”

หยุนเหยาไม่ตอบคำและเดินนำเขาผ่านห้องโถงใหญ่อย่างสงบ

ภายในห้องโถงใหญ่อันเงียบสงัดมีเพียงบัลลังก์แรกเท่านั้นที่มีเงาร่างหนึ่งประทับอยู่

มันคือชายกลางคนในชุดคลุมสีทองที่มีใบหน้าหล่อเหลาแข็งกร้าวและมีผมยาวสีขาว ทั่วปลดปล่อยกลิ่นไออันทรงพลังอำนาจ

จี้หลิงเป็นคนฉลาดและมั่นใจได้ในทันทีว่าผู้ที่นั่งอยู่นี้คือประมุขแห่งนิกายพันธมิตรสวรรค์

!

เขาก้าวยาวๆเข้าไปในห้องโถงใหญ่พร้อมกับหยุนเหยาและติดตามนางไม่ห่าง

“ศิษย์คารวะท่านประมุข !”

“ศิษย์หยุนเหยาคารวะท่านอาจารย์ !”

ฉู่เทียนเซิงนั่งบนบัลลังก์ประมุขนิกายและจ้องมองจี้หลิงจากด้านบน

เพียงมองผ่านวูบเดียวเขาก็ระบุพลังยุทธ์ของจี้หลิงได้ทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้มีพลังในเขตแดนปราณแท้ขั้นที่

7 และกำลังจะตัดผ่านไปยังขั้นที่ 8 ในไม่ช้า

ยิ่งไปกว่านั้น

ภาพลักษณ์ที่จี้หลิงแสดงออกก็ดูดีไม่น้อย

บุคลิกท่วงท่างามสง่าและอ่อนน้อมถ่อมตน

เขาลอบพยักหน้าเบาๆและคิดในใจว่า ชายหนุ่มผู้นี้ใช้การได้

“เจ้าคือจี้หลิง ?  เจ้าเป็นองค์ชายของตระกูลราชวงศ์และรัฐนภากระจ่างถูกต้องหรือไม่

?”

ฉู่เทียนเซิงมองจี้หลิงและถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

จี้หลิงถูกอีกฝ่ายจ้องมองด้วยดวงตาที่หลักแหลมและสงบนิ่งราวกับต้องการมองให้ทะลุ

เขารู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายจึงก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและป้องมือคารวะพลางตอบว่า

“ใช่แล้วขอรับ”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามอีกครั้ง

“จี้หลิง เจ้าเคยพบกับย่าทวดหรือยายทวดของเจ้าบ้างหรือไม่ ?”

คำถามนี้ทำให้จี้หลิงอึ้ง

ย่าทวดก็หมายถึงแม่ของปู่เขา

บรรพบุรุษของตระกูลราชวงศ์ที่ยังมีชีวิตในปัจจุบันมีเพียงจี้เซิงเซียว ดังนั้นจี้หลิงจึงตอบไปตามความจริงและส่ายหัว “เรียนท่านประมุข ศิษย์ไม่เคยพบท่านมาก่อนเลย”

ดวงตาของฉู่เทียนเซิงเปล่งประกายอย่างผิดหวังเล็กน้อยแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น เขาพยักหน้าอย่างสงบและกล่าวต่อไปว่า “ท่านเป็นบรรพบุรุษเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เจ้าไม่เคยเห็นก็ไม่แปลก

ช่างมันเถอะ”

“จี้หลิง เข้ามาใกล้ๆให้ข้าดูหน้าชัดๆ”

จี้หลิงไม่เข้าใจเจตนาของฉู่เทียนเซิงแต่ยังเชื่อฟังและเดินไปข้างหน้า

โค้งคำนับด้วยความเคารพและหยุดอยู่เบื้องหน้าอีกฝ่ายเพียงก้าวเดียว

ฉู่เทียนเซิงยื่นมือออกมาจับข้อมือของจี้หลิงและปล่อยสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังออกไปสำรวจร่างกายของจี้หลิง

จี้หลิงสะดุ้งเฮือกแต่ก็ไม่คิดขัดขืน

เขาเพียงยืนเฉยๆอย่างเงียบงัน แต่ที่จริงแล้วในใจของเขาเต้นระรัวและมีความคิดหมุนวนอย่างลับๆ

“ประมุขแผ่สัมผัสวิญญาณเพื่อดูร่างกายข้า เขาคิดตรวจสอบคุณสมบัติและพรสวรรค์เชิงยุทธ์ของข้างั้นหรือ

?”

“โชคดีที่ข้าได้ปรับแต่งลูกปัดครองวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

ตันเถียนของข้าตอนนี้ก็เหมือนของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป

แม้แต่ประมุขเองคงไม่อาจมองเห็นความผิดปกติได้แน่นอน”

หลังจากนั้นไม่นาน

ฉู่ทียนเซิงก็ดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่ง ดวงตาของเขาทอประกายเจิดจ้าอย่างตระหนก

“ไม่ผิดแน่ เป็นสายเลือดกระบี่อันลึกซึ้งยิ่งนัก !”

ฉู่เทียนเซิงตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดีและรั้งสัมผัสวิญญาณกลับมา

เขาหันไปมองหยุนเหยาและกล่าวด้วยความสำนึกขอบคุณ

“หยุนเหยา เจ้าทำได้ดีมาก ครั้งนี้พวกเจ้าทั้งสามได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับนิกายแล้ว

ข้าจะตบรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม !”

หยุนเหยาโค้งคำนับอย่างสงบเสงี่ยม

ปากกล่าวว่า “ศิษย์ขอบคุณท่านประมุข !”

ฉู่เทียนเซิงมองไปที่จี้หลิงอีกครั้งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“จี้หลิง เจ้ากลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นและฝึกฝนให้ดี

เดี๋ยวข้าจะสั่งให้ครูฝึกฮั่นมอบเม็ดยาใจสวรรค์กับเม็ดยาวิญญาณโลหิตให้เจ้าอย่างละสองเม็ด”

“ด้วยความช่วยเหลือของโอสถทั้งสองชนิดนี้ เจ้าจะสามารถปรับแต่งสายเลือดกระบี่ลี้ลับและเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าได้อีกมาก

!”

“หลังจากที่เจ้าผ่านการประเมินเป็นศิษย์ฝ่ายใน หากเจ้าประพฤติตัวดีและมีคุณสมบัติพอ

ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรง !”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้

จี้หลิงก็ตกตะลึงและเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา  เขาคาดไม่ถึงว่าเรื่องประหลาดใจจะประดังเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้

ประมุขนิกายผู้ไร้เทียมทานในอาณาจักรเทียนเฉินกล่าวว่าจะรับเขาเป็นศิษย์สายตรง

!

จี้หลิงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหยุนเหยาก็คือศิษย์สายตรงของประมุขและเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน  นางเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้สืบทอดของประมุข

อีกไม่กี่สิบปีข้างหน้านี้

หลังจากฉู่เทียนเซิงลงจากตำแหน่ง

หยุนเหยาจะขึ้นเป็นประมุขคนต่อไปและรับหน้าที่ปกครองนิกายพันธมิตรสวรรค์และอาณาจักรเทียนเฉินทั้งหมด

!

ถ้าเขาได้เป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของประมุขอีกคน

เป็นไปได้สูงว่าจะมีสิทธิ์แข่งขันกับหยุนเหยาชิงตำแหน่งประมุขคนต่อไป !

การได้ปกครองทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินคือหนึ่งในความปรารถนาชั่วชีวิตของเขา

เขาไม่เคยกล้าจินตนาการเลยว่าเป้าหมายที่เฝ้าตามหามาตั้งแต่เด็กจะอยู่แค่เอื้อม

!

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้มือไม้ของเขาก็สั่นสะท้านและแม้แต่น้ำเสียงที่เคยอบอุ่นเยือกเย็นก็ยังต้องสั่นครือเล็กน้อย

เขาโค้งคำนับและกล่าวด้วยความจริงใจ

“ขอบพระคุณท่านประมุขที่เมตตา ! ศิษย์ผู้นี้จะหมั่นฝึกฝนอย่างไม่เกียจคร้านและจะไม่ทำให้ท่านประมุขต้องผิดหวัง

!”

หยุนเหยาไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

แต่ดวงตาคู่งามของนางฉายแววประหลาดใจไม่น้อย

นางไม่คิดฝันว่าอาจารย์ของนางจะพูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ

นางทราบอย่างกระจ่างแจ้งว่าการได้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขก็หมายความว่าคนผู้นี้มีสิทธิ์เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดนิกายคนต่อไป  นี่เป็นมหาโอกาสอันน่าทึ่งที่ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝัน

!

อย่างไรก็ตาม

นางทำได้เพียงคาดเดาเหตุผลและไม่ได้พูดอะไรออกไป

ฉู่เทียนซิงยิ้มและพยักหน้าพลางโบกมือ

“เอาล่ะจี้หลิง เจ้ากลับไปก่อนไป”

จี้หลิงกล่าวขอบคุณฉู่เทียนเซิงอีกครั้งด้วยความเคารพ

จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากตำหนัก

หลังจากจี้หลิงกลับไปแล้ว

หยุนเหยาก็เลิกคิ้วขึ้นและถามฉู่เทียนเซิงว่า “ท่านอาจารย์คะ

การรับปากจี้หลิงให้เป็นศิษย์สายตรงของท่าน

ของขวัญชิ้นนี้มิใช่ว่าใหญ่เกินไปหน่อยหรือคะ ?”

“หรือเป็นเพราะเขาครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับ ?”

ปากของฉู่เทียนเซิงกระตุกด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า

“หยุนเหยา การที่อาจารย์ทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล”

“เจ้ามีบางสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการผนึกข่ายอาคม

ที่จริงแล้วอาคมผนึกมารไร้พ่ายมีสองชั้น !”

“ผนึกแรกคือมหาข่ายอาคมที่มือกระบี่ไร้เทียมทานเมื่อหนึ่งพันปีก่อนวางไว้

หลังจากผ่านไปหนึ่งพันปีข่ายอาคมก็เริ่มแตกหักและพลังของมันก็อ่อนโทรมลง แต่ก็ไม่มีผู้ใดนอกจากลูกหลานหรือผู้สืบทอดของมือกระบี่ท่านนั้นที่สามารถควบคุมมหาข่ายอาคมได้โดยสมบูรณ์”

“เหล่าผู้อาวุโสของนิกายในยุคนั้นคาดการณ์ไว้ว่าพลังของมหาข่ายอาคมจะเสื่อมลงจนกระทั่งหมดไปภายในเวลาพันปี

ดังนั้นลูกหลานอย่างพวกเราจึงต้องคอยเสริมพลังของมหาข่ายอาคมทุกๆสองร้อยปี แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ทางออกระยะยาว ผู้อาวุโสจึงพยายามค้นหาวิธีต่างๆจนหัวหมุน”

เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ฉู่เทียนเซิงก็หลับตาและรำลึกถึงความทรงจำ

จากนั้นก็กล่าวต่อไปด้วยเสียงต่ำว่า

“จนกระทั่งเมื่อร้อยกว่าปีก่อนมีผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญข่ายอาคมอยู่ในนิกาย

ท่านศึกษาศาสตร์แห่งค่ายกลและข่ายอาคมจนแตกฉานและยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ในดินแดนแห่งนี้  ท่านศึกษาอย่างหนักร่วม 36 ปีจนในที่สุดก็สร้างอาคมเก้ามังกรผนึกมารขึ้นมาเพื่อสะกดมารไร้พ่ายไว้ภายใต้ภูเขาเมฆาสีชาดอีกหนึ่งผนึก”

“ท่านได้กล่าวไว้ว่าหากอาคมเก้ามังกรผนึกมารเริ่มเสื่อมลงเมื่อใด จงเพิ่มพลังของมหาข่ายอาคมแรก มารไร้พ่ายจะไม่สามารถทลายผนึกออกมาได้  แต่โชคไม่ดี.... หลังจากผู้อาวุโสท่านนั้นสร้างอาคมเก้ามังกรผนึกมารเสร็จได้ไม่นานก็ออกจากนิกายไป

จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านไปอยู่ที่ไหน....”

ฉู่เทียนเซิงยิ้มขมขื่นและส่ายหัวพลางกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“อาวุโสท่านนั้นก็คือศิษย์พี่หญิงของข้าเอง”