ตอนที่ 7

ตอนที่

7 ไฉนต้องสังหารด้วยกระบี่ ?

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินมีอายุประมาณ 17-18 ปี ร่างสูงหลังเหยียดตรง ใบหน้าหล่อเหลา ในมือถือพัดหยกสีขาว

มองดูแล้วราวกับเป็นคนประเภทเหลาะแหละ

หว่างคิ้วดูหม่นหมอง

“เฮ้ๆ

! คุณชายท่านนี้มิใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองจักรวรรดิเราหรอกหรือ

คุณชายใหญ่จี้ ?”

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินกำลังโบกพัดในมือและมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเย้ยหยัน

“คุณชายจี้

คนอย่างเจ้าก็มีวันนี้ด้วยหรือ ? ปรมาจารย์เสวี่ยก็ยังไม่อยากพบเจ้าให้เสียเวลา

!  เหอะ

เหอะ ปรับแต่งกายาขั้นที่สาม แม้แต่ทาสในตระกูลข้าเจ้าก็ยังไม่คู่ควร  ฮ่าๆๆ…”

ใบหน้าของจี้เทียนซิงดำทะมึน

ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องไปที่อีกฝ่ายจากเย็นชาและตะโกนออกมาว่า “กู่เฮา ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้าพูดจาต่อหน้าข้าเช่นนี้ ?! บทเรียนที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อปีที่แล้วลืมไปแล้วหรือไม่ ?”

กู่เฮาเป็นคุณชายสามของตระกูลกู่

มีพลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ห้าและเป็นคุณชายที่มีชื่อเสียงในเมืองจักรวรรดิไม่น้อย

ถึงแม้ว่าพลังของตระกูลกู่จะไม่เทียบเท่าตระกูลจี้

แต่พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองและเป็นตระกูลชนชั้นสูง

เมื่อปีที่แล้ว

กู่เฮาหลงใหลในความงามของฮวนเอ๋อจึงเกี้ยวพาราสีนางกลางถนน

จี้เทียนซิงที่รู้เรื่องก็รีบไปหากู่เฮาที่กำลังดื่มอยู่ในหอนางโลมและลงมือกับอีกฝ่ายจนต้องนอนรักษาตัวอยู่บ้านเป็นเวลาสามเดือน

เหตุการณ์นี้เป็นที่โจษจันและกลายเป็นเรื่องขำขันหลังอาหารของผู้คนในเมืองอยู่นาน

แต่กู่เฮาก็ทำได้เพียงก้มหัวรับความอัปยศและไม่กล้าคิดแก้แค้นจี้เทียนซิง

เขาทำได้เพียงอดทนจนกระทั่งถึงวันนี้ !

เมื่อตอนนี้ได้ยินจี้เทียนซิงขุดเรื่องในอดีตที่เจ็บช้ำออกมาพูด

กู่เฮาก็หน้าบูดบึ้งและดูเกรี้ยวกราด

เขาคำรามออกมาว่า “จี้เทียนซิง ! เจ้าลูกหมาพิการ

! เมื่อปีที่แล้วข้าแค่หยอกสาวใช้ของเจ้า

เจ้าหักซี่โครง หักขาข้า คุณชายผู้นี้ยังจำได้ไม่ลืม !”

ในขณะที่พูดเขาก็เดินเข้าหาฮวนเอ๋อพร้อมทั้งแสยะยิ้ม

“วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยนางไปแน่

! ข้าจะย่ำยีนางต่อหน้าเจ้า

ข้าจะดูซิว่าขยะไร้ค่าอย่างเจ้าจะทำอันใดได้ !”

ท้ายที่สุดแล้วกู่เฮาก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวบอบบางของฮวนเอ๋อเอาไว้

ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ตะปบเข้าที่หน้าอกกลมมนของนาง

เหล่าชนชั้นสูงนอกประตูที่ได้นี้ฉากนี้ต่างก็แสดงสีหน้าพึงพอใจในความโชคร้ายของผู้อื่นออกมา

พวกเขาล้อมวงรอชมเรื่องสนุก

ทุกคนในเมืองนี้ต่างรู้ดีว่ากู่เฮาเก็บกดมานานนับปีแล้ว

ในที่สุดเขาก็สบโอกาสในการแก้แค้น

การลวนลามสาวใช้ของจี้เทียนซิงเป็นเพียงข้อแก้ตัว

จุดประสงค์ที่แท้จริงของกู่เฮาคือการบีบบังคับให้จี้เทียนซิงโมโห

จากนั้นก็เอาชนะเขาอย่างหนักหน่วงกลางที่สาธารณะ !

ฮวนเอ๋อที่ถูกกู่เฮาลวนลามก็กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนกและดิ้นรนขัดขืนอย่างสิ้นหวัง

ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่ความแข็งแกร่งในขั้นปรับแต่งกายาขั้นที่

5 ของกู่เฮานั้นยังเหนือกว่านางมาก นางมิอาจต่อต้านขัดขืนได้

เมื่อได้เห็นมือใหญ่สากของกู่เฮาขย้ำหน้าอกของฮวนเอ๋อ

ใบหน้าของจี้เทียนซิงก็ระเบิดอารมณ์โกรธอย่างเย็นชาออกมา “กู่เฮา เจ้ากำลังรนหาที่ตาย !”

ด้วยความโกรธ

จี้เทียนซิงกระแทกฝ่ามือไปที่หน้าอกของกู่เฮา ถึงแม้ว่าระดับพลังของเขาจะตกลงไปที่ปรับแต่งกายาขั้นที่สามและยังนับว่าห่างไกลจากกู่เฮาอยู่มาก  แต่เขาก็เป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์ เขาได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย

ฝ่ามือของเขาเร็วพอๆกับระเบิดและกระแทกใส่อกซ้ายของกู่เฮาในทันที

"ปัง !"

กู่เฮาส่งเสียงอู้อี้และร่างกายส่ายไปมาไม่กี่ครั้ง

แต่เขาก็ไม่ได้ล้มลง

ไม่แม้แต่จะถอยสักก้าว !

เขาปล่อยตัวฮวนเอ๋อจากการดิ้นรนและหันไปมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย

“ฮ่าๆๆ…

จี้เทียนซิง หนอ จี้เทียนซิง !”

“เจ้าช่างเป็นขยะไร้ค่าอย่างที่ผู้คนพูดกันจริงๆ

ปรับแต่งกายาขั้นที่สาม ! ห่วยแตกนัก ทำให้ข้าหายคันยังไม่ได้ ฮ่าๆๆ!”

กู่เฮาแสยะยิ้ม เขามองไปที่จี้เทียนซิงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง

ผู้ชมรอบๆต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่าและชี้ไปที่จี้เทียนซิงอย่างดูแคลน

หากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้

จี้เทียนซิงคงอัดพวกมันทั้งหมดจนกระอักเลือดหรือไม่ก็สังหารพวกมันทิ้งซะ !

ยามนี้

กู่เฮารับฝ่ามือของอีกฝ่ายเข้าไปเต็มๆแต่ก็มิได้รู้สึกอันใด ไม่เจ็บไม่คัน

มันราวกับปุยนุ่น

อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในช่วงเวลาที่จี้เทียนซิงลงมือ

ปราณกระบี่สีทองที่มีขนาดเท่าไม้จิ้มฟันสายหนึ่งก็ได้พุ่งออกไปด้วย !

ปราณกระบี่สีทองส่องประกายและพุ่งเข้าสู่ร่างกายกู่เฮาในทันที

ในขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะของกู่เฮาก็ชะงักลงอย่างกะทันหัน

ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อและใบหน้าของเขาซีดขาวดั่งกระดาษ

เขารู้สึกเจ็บซ่านที่หน้าอกและมุมปากของเขาก็เริ่มมีโลหิตไหลซึมออกมาช้าๆ

เขาก้มศีรษะลงอย่างไม่อยากเชื่อและจ้องมองไปที่หน้าอกด้านซ้ายของเขา

เขาพบว่าเสื้อคลุมสีน้ำเงินที่หน้าอกซ้ายมีรูโหว่ขนาดเท่าเม็ดข้าวและมีโลหิตหลั่งไหลออกมาย้อมชุดสีน้ำเงินจนกลายเป็นสีแดงทีละน้อย

กู่เฮาจ้องไปที่จี้เทียนซิงด้วยความหวาดกลัวและพูดไม่เป็นจังหวะว่า

“จี้เทียนซิง ! เจ้า...

เจ้ากล้า... สังหารข้า... ?”

หลังจากพูดจบกู่เฮาก็ลงตัวลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล

ความเงียบเข้าปกคลุม

เสียงหัวเราะอันสนุกสนานของผู้ชมเงียบหาย...

ฝูงชนต่างตกใจกับฉากนี้และจ้องมองไปที่กู่เฮาอย่างไม่อยากเชื่อและไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

แม้กระทั่งจี้เทียนซิงก็ยังตกตะลึง

เขามองไปที่กู่เฮาด้วยใบหน้าที่มืดมนและมองที่ฝ่ามือขวาของตน  ดวงตาของเขาส่องประกายด้วยความสงสัย

ในตอนแรกเขาต้องการสั่งสอนกู่เฮาเท่านั้น

เขาไม่เคยคิดจะสังหารอีกฝ่ายเลยแม้จะต้องการก็ตาม

เขาไม่สามารถสังหารคนๆนี้ได้เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นบุตรชายคนที่สามของท่านผู้ว่าในเมืองนี้

จี้เทียนซิงสังหารเขากลางที่สาธารณะ

ตระกูลกู่จะต้องไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ และต้องตอบโต้สกุลจี้อย่างหนัก !

ตอนนี้ร่างไร้วิญญาณของกู่เฮานอนอยู่บนพื้นดินโดยปราศจากลมหายใจ

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตายแน่นอนแล้ว !

จี้เทียนซิงไม่เข้าใจ

เขาเพียงแค่ซัดฝ่ามือออกไปและไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ  ทำไมหน้าอกของกู่เฮาถึงได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนเสียชีวิตแทบจะในทันที

?

หลังจากฝูงชนอึ้งกันอยู่พักใหญ่ๆ

สุดท้ายก็มีบางคนดึงสติกลับมาได้และตะโกนออกมาว่า

“อา

! ฆ่าคนตาย ! จี้เทียนซิงฆ่าคนตายกลางถนนแล้ว

!”

“ด่วน

! ไปที่ตระกูลกู่เดี๋ยวนี้และแจ้งว่าจี้เทียนซิงแห่งสกุลจี้ได้สังหารคุณชายสาม  กู่เฮาไปแล้ว !”

“เป็นไปได้อย่างไร

? จี้เทียนซิงเป็นขยะไร้ค่าไปแล้ว

เขาจะสังหารกู่เฮาที่มีพลังเหนือกว่าได้อย่างไร ?!”

ในพริบตาเดียวชนชั้นสูงกว่าสี่สิบคนได้ลุกลี้ลุกลนกันแตกฮือและส่งเสียงดังหน้าประตูหอวิญญาณโอสถ

ใบหน้าของจี้เทียนซิงดูมืดมนอย่างมาก  สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างไร้วิญญาณของกู่เฮาและเต็มไปด้วยความคิดในใจที่เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน

เขาจินตนาการไว้แล้วว่าหลังจากนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับการแก้แค้นของตระกูลกู่

ฮอวนเอ๋อก็ตกตะลึงเช่นกัน

นางเดินไปหาจี้เทียนซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นครือว่า “คุณชายใหญ่  เป็นฮวนเอ๋อ...

ฮวนเอ๋อไม่ดีเองที่ทำให้ท่านลำบาก !”

“คุณชายใหญ่

ท่านจับข้าและส่งไปให้สกุลกู่เถิดค่ะ ใช้ความตายของข้าเพื่อขอขมาต่อสกุลกู่

เร็วเข้า !”

“ฮวนเอ๋อ

เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใด ?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและดึงนางกลับเข้าไปในรถม้า

“ฮวนเอ๋อ

เจ้าไม่ต้องตกใจ พวกเรากลับสกุลจี้กันก่อนแล้วค่อยคุยกัน”

รถม้าวิ่งออกจากหอวิญญาณโอสถอย่างรวดเร็วและหายลับตาไปสุดทาง

ยามชุดดำสองคนที่อยู่หน้าหอวิญญาณโอสถต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์

พวกมันรีบเดินกลับเข้าไปในห้องโถงเพื่อรายงานเรื่องนี้ต่อปรมาจารย์เสวี่ยทันที