ตอนที่ 104

หวู่จี้เจิ้นเหริน

ปรมาจารย์ไร้ขั้น !

วิธีการของตาเฒ่าหนวดขาวผู้นี้ช่างลึกลับชวนให้ผู้คนเกิดความสงสัย

แต่ในเมื่อจี้เทียนซิงไม่อาจทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ เขาจึงลุกขึ้นยืนหน้าประตู

จากนั้นก็เดินออกไป

หลังจากที่จี้เทียนซิงจากไป

ชายชราก็หันไปมองเฉียนเยวี่ยกับกระบี่มังกรดำ

และคว้าพวกมันพาเข้าไปในตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไปอีกของตำหนักไท่อัน

เมื่อชายชราเดินเข้าไปในห้องลึกลับห้องหนึ่ง

ประตูหน้าต่างของห้องนั้นก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ

เขาโยนกระบี่มังกรดำและเฉียนเยวี่ยลงบนโต๊ะ

จากนั้นก็นั่งลงและรินน้ำชาใส่จอก

ชาของเขาแผ่กลิ่นไอร้อนและมีรสชาติกลมกล่อม

อีกทั้งยังปล่อยพลังงานที่ผันผวนออกมา เห็นได้ชัดว่าชาของเขาเป็นชาชั้นเลิศ

ดวงตาของเฉียนเยวี่ยกลอกไปมาหลายครั้ง

และในขณะที่ชายชรายกถ้วยชาขึ้นดื่ม มันก็วิ่งหนีจากโต๊ะและกระพือปีกเตรียมจะหนีไป

เสี่ยวเฮยหลงก็บินขึ้นไปในอากาศและเตรียมจะหลบหนีผ่านทางหน้าต่างเช่นกัน

ชายชรายังคงจิบชาอย่างช้าๆแม้กระทั่งเปลือกตาก็ยังไม่วูบไหว

ราวกับว่าไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตา  มีเพียงนิ้วซ้ายที่กระดิกเล็กน้อย

ทันใดนั้นเองขุมพลังไร้สภาพสองสายก็ห่อหุ้มร่างของเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงเอาไว้

จากนั้นก็ดึงพวกมันกลับมานั่งบนโต๊ะ

พลังไร้สภาวะขุมนี้ราวกับว่าผูกติดไว้ที่พวกมัน

ดังนั้นพวกมันทำได้เพียงนั่งลงบนโต๊ะราวกับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ

เฉียนเยวี่ยดิ้นรนอยู่หลายครั้งก็ยังไม่อาจสลัดหลุด

จากนั้นมันก็จ้องเขม็งไปที่ชายชราพลางสบถออกมาด้วยความโกรธ “ไอ้แก่เหม็นเขียว ปล่อยข้านะโว้ย !"

“เจ้าก็อายุมากแล้วทำไมไม่รู้จักวางตัวให้เป็นอาวุโสที่น่าเคารพเล่า

? เจ้าคิดว่าแข็งแกร่งนักหรือไง ? คอยดูเถิดสักวันพวกเราจะทุบตีเจ้าให้น่วมเลย !”

ชายชราไม่โกรธต่อคำด่าทอของเฉียนเยวี่ย

เขาวางถ้วยชาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีชื่อมีแซ่

ไม่ใช่ตาแก่เหม็นเขียวเสียหน่อย”

“ข้าผู้นี้ชื่อว่าเซี่ยงหวู่จี้  ชาวยุทธ์เรียกข้าว่าปรมาจารย์ไร้ขั้น (หวู่จี้เจิ้งเหริน)

จิ้งจอกน้อย เจ้าควรจะเรียกตาแก่ผู้นี้ว่าผู้อาวุโสเซี่ยงหรือไม่ก็หวู่จี้เจิ้งเหริน”

เฉียนเยวี่ยขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดี

“ช่างหัวเจ้าสิตาแก่ !  ต่อให้เจ้าเป็นโคตรสุดยอดฝีมือที่ชาวยุทธ์ทั่วหล้านับหน้าถือตา

ข้าก็ไม่สนใจหรอก  พวกเราได้ตัดสินใจที่จะติดตามเหล่าจี้ไปแล้ว

และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปติดตามผู้อื่นง่ายๆหรอกโว้ย”

“อย่าคิดว่าพวกเราโง่

พวกเราไม่มีทางหักหลังสหายของเราหรอก !”

แกร่ก

แกร่ก

กระบี่มังกรดำสั่นไหวหลายครั้งและทำท่าทางเหมือนกับว่ามันเห็นด้วยกับคำพูดของเฉียนเยวี่ย

เซี่ยงหวู่จี้ยกคิ้วขึ้นและกล่าวกับเฉียนเยวี่ยด้วยใบหน้าที่น่าเกรงขาม

“เหอะ !  พวกเจ้านี่มันสมองน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆเลย”

“นิกายพันธมิตรสวรรค์ไม่อนุญาตให้คนนอกและสัตว์อสูรเข้ามาภายในนิกาย

หากพบเห็นล้วนฆ่าโดยไม่ละเว้น !”

“หากตาแก่คนนี้ปล่อยพวกเจ้าติดตามจี้เทียนซิงเดินดุ่ยๆภายในนิกายต่อไป

ไม่ช้าก็เร็วย่อมถูกพบเจอ ! ถึงเวลานั้นพวกเจ้าทั้งคู่จะถูกฆ่าหรือไม่ก็ถูกจับกิน

!”

เฉียนเยวี่ยเบิกตากว้างราวกับเพิ่งคิดขึ้นได้  ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความกลัวและหางยาวทั้งสิบสองเริ่มสั่นระริก

เห็นได้ชัดว่าคำพูดเซี่ยงหวู่จี้เป็นความจริงแท้แน่นอน

เขาไม่ได้ขู่แต่อย่างใด

เมื่อเห็นว่าทั้งเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงเริ่มสงบสำรวมและไม่คิดดิ้นรนหลบหนีอีกต่อไป  เซี่ยงหวู่จี้ก็กระดิกนิ้วอีกครั้งและสลายพลังไร้สภาพที่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกมันออกจนหมดสิ้น

ใบหน้าของเขาไม่แยแสและกล่าวว่า

“หากข้าอธิบายขนาดนี้แล้วสมองพวกเจ้ายังไม่ทำงาน ตาแก่คนนี้จะไม่ขัดขวางแล้ว

เชิญไปได้ทุกเมื่อ”

“แต่พวกเจ้าต้องรู้ด้วยว่า หากตัวตนถูกเปิดเผย

พวกเจ้าจะถูกสังหาร  นอกจากนั้นสหายจี้ของพวกเจ้าก็จะถูกไล่ออกจากนิกายตามไปด้วย”

เสี่ยวเฮยหลงอยู่บนโต๊ะเงียบๆและไม่ขยับตัวแต่อย่างใด

รวมไปถึงเฉียนเยวี่ยก็ยังอยู่ที่เดิม หลังจากกลอกตาไปมาราวกับครุ่นคิด

มันก็กล่าวกับเซี่ยงหวู่จี้ด้วยรอยยิ้ม

“แหะๆ ตาแก่ เจ้าเป็นผู้อาวุโส

คำพูดของเจ้าพวกเราย่อมเชื่อถือ ในเมื่อเจ้าทำเช่นนี้เพื่อเหล่าจี้และพวกเรา

แน่นอนว่าพวกเราย่อมเข้าใจเจตนาอันดีของเจ้าอยู่แล้ว !”

“ไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่หนีแล้ว

พวกเราจะอยู่ในตำหนักไท่อันของเจ้านี่แหละ

จะว่าไปมันก็กว้างใหญ่และดูสะดวกสบายไม่เลว”

ท้ายที่สุดเฉียนเยวี่ยก็เคาะกระบี่มังกรดำและถามว่า

“เสี่ยวเฮยหลง เจ้าก็เห็นด้วยใช่ปะ ?"

กระบี่มังกรดำสั่นไปมาหลายครั้งราวกับมันตอบว่า

ใช่ๆ

เซี่ยงหวู่จี้ชี้ไปที่ศีรษะเล็กๆของเฉียนเยวี่ยและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ฮ่าๆ ไอ้จิ้งจอกน้อย

เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์สมชื่อจริงๆ รู้จักหันหางเสือตามลมเสียด้วย"

ต่อมาเซี่ยงหวู่จี้ก็หยิบอาหารออกมาจากแหวนมิติเหมือนนักมายากลและวางมันลงบนโต๊ะพลางกล่าวว่า “เห็นแก่ที่พวกเจ้าทั้งสองต้องสูญเสียพลังจนมีสภาพน่าสงสารถึงเพียงนี้  ตาแก่คนนี้จะเอาของว่างให้พวกเจ้ากิน  จงกินตามสบาย”

ถึงแม้เซี่ยงหวู่จี้จะกล่าวราวกับว่า

‘ของว่าง’ พวกนี้ไม่มีค่า

แต่ทั้งหมดนี้เป็นผลไม้วิญญาณหลากหลายชนิดและยังรวมไปถึงอาหารหายากที่ล้ำค่ามากมาย

ผลไม้จำนวนมากส่งกลิ่นหอมหวนออกมา

และดูจากกลิ่นอายที่ผันผวนของพวกมัน  เห็นได้ชัดว่าเป็นผลไม้วิญญาณที่ล้ำค่าทั้งหมด

เฉียนเยวี่ยเบิกตากว้างและจ้องตาเป็นมัน

ทันใดนั้นปากของมันก็มีน้ำลายไหลย้อยออกมาไม่หยุด

"โอ้แม่จ้าว ! ผลไม้รสเลิศมากมายมหาศาล  ข้าไม่เคยเห็นของน่ากินเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย !"

“นี่ ตาแก่ เจ้าจะให้พวกเรากินจริงๆใช่ปะ ?”

เฉียนเยวี่ยมองไปที่เซี่ยงหวู่จี้ด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ

กระบี่มังกรดำบินออกจากฝักและกลายร่างเป็นมังกรดำยาวสามเมตรพันอยู่รอบโต๊ะโดยจับจ้องไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยผลไม้วิญญาณมากมาย

เซี่ยงหวู่จี้ยิ้มและพยักหน้า

น้ำเสียงและการแสดงออกของเขากลมกลืนกันอย่างมาก

“แน่นอน  นี่มอบให้พวกเจ้าทั้งหมด กินได้ตามสบาย

หากยังไม่พอ เพียงแค่เอ่ยปากมาเดี๋ยวตาแก่ผู้นี้จัดให้ !”

“วะ ฮ่าๆๆ

ตาแก่ ขอบคุณเจ้าแล้ว งั้นพวกเราไม่เกรงใจละนะ !”

เฉียนเยวี่ยโห่ร้องอย่างมีความสุขและพุ่งดิ่งลงไปในกองผลไม้ทันทีพลางจิกกัดกินอย่างไม่สนหน้าพระอินทร์พระพรหม

เสี่ยวเฮยหลงก็ไม่ยอมแพ้

มันเปิดปากกว้างแล้วกัดกินผลไม้และเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจากนั้นก็กลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว

......

เมื่อจี้เทียนซิงกลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เป็นเวลามืดค่ำ  มันเลยเวลาอาหารเย็นไปนาน

แต่เซี่ยวเฟิงก็รู้งานและนำกล่องอาหารมาวางไว้นอกประตู

ส่วนผู้คนนั้นคงหลับนอนไปแล้ว

จี้เทียนซิงหยิบกล่องอาหารเดินเข้าไปในห้องและคิดจะกินอาหารหลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จ

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันในตำหนักไท่อัน

ตอนนี้เขาเหนื่อยล้าและหิวโหยมากจนกินอาหารได้มากกว่าปกติถึงสามสี่เท่า

หลังกินอาหารเย็นเรียบร้อยเขาก็นั่งที่โต๊ะเพื่อดื่มชาพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

และในไม่ช้าก็เข้าสู่การทำสมาธิ

“เมื่อคืนนี้เงาดำร่างนั้นคล้ายจะชักนำข้าให้ไล่ตามมันออกไปในป่า  พอมาถึงตอนเช้าครูฝึกตู้และผู้ดูแลมู่ก็พบผลหยางขาวในห้องของข้า…”

“คงเป็นช่วงเวลาที่ข้าถูกล่อลวงออกจากห้อง

เวลานั้นน่าจะมีใครบางคนสบโอกาสนำผลหยางขาวไปซุกไว้ในห้องเพื่อป้ายสีข้า !”

“แต่มันก็แปลกมาก.....

ข้าเพิ่งเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ใครกันที่อยากทำลายข้า ?”

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ปฏิกิริยาแรกของชายหนุ่มก็คือหน้าของจี้หลิงที่ลอยมาในหัว

ท้ายที่สุดแล้วเขากับจี้หลิงก็มีความเกลียดชังและความแค้นที่ฝังลึก

ถึงแม้ตอนนี้จะต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง

แต่สุดท้ายจี้เทียนซิงก็สลัดผู้ต้องสงสัยรายนี้ทิ้งไปเพราะคิดว่ามันไม่มีเหตุผลเพียงพอมารองรับ

“เงาดำนั้นแข็งแกร่งมาก

เป็นไปได้สูงว่ามันอยู่ในเขตแดนเชื่อมปราณ อีกทั้งยังคุ้นชินกับภูมิประเทศภายในนิกายเป็นอย่างดี…มันไม่ควรเป็นจี้หลิงไปได้

!”

“แต่ว่า... นอกจากจี้หลิงแล้ว ยังมีใครกันที่คิดใส่ความข้าอีก ?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วแน่นพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

จากนั้นเขาก็มีภาพบุรุษอีกคนหนึ่งเกิดขึ้นในใจ

องค์ชายใหญ่ของแคว้นเหมาหรง, ลู่หมิงหยาง !

ลู่หมิงหยางผู้นี้มีพลังในเขตแดนเชื่อมปราณและยังเป็นศิษย์สายในของนิกายพันธมิตรสวรรค์

ยิ่งไปกว่านั้นลู่หมิงหยางก็มีความแค้นเกลียดชังกับเขาและเนี่ยห่าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงคาดเดาว่าเงาร่างในคืนนั้นย่อมต้องเป็นลู่หมิงหยาง !

อย่างไรก็ตาม

เมื่อชายหนุ่มพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ต่ออย่างใจเย็นก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ

“ถึงแม้ว่าลู่หมิงกับข้าจะบาดหมางกัน

แต่พลังของมันก็เพิ่งตัดผ่านเข้าสู่เขตแดนเชื่อมปราณ  อีกทั้งบุคลผู้นี้ก็เข้านิกายก่อนข้าไม่นานย่อมไม่คุ้นเคยภูมิประเทศของนิกายมากขนาดนั้น"

“มันไม่น่าจะมีความกล้ามากพอที่จะบุกหอยุทธ์ฟงอวิ๋นในยามราตรีและขโมยผลหยางขาวมาป้ายสีข้าเป็นแน่..”

“แต่หากไม่ใช่ลู่หมิงหยาง ไม่ใช่จี้หลิง  แล้วคนที่วางแผนร้ายต่อข้ามันคือใครกันแน่ …..?”

จี้เทียนซิงนั่งคิดอย่างงุนงงอยู่ใต้แสงไฟอยู่ครึ่งชั่วโมง

จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องลับเพื่อฝึกฝนต่อ