หวู่จี้เจิ้นเหริน
ปรมาจารย์ไร้ขั้น !
วิธีการของตาเฒ่าหนวดขาวผู้นี้ช่างลึกลับชวนให้ผู้คนเกิดความสงสัย
แต่ในเมื่อจี้เทียนซิงไม่อาจทำอะไรกับอีกฝ่ายได้ เขาจึงลุกขึ้นยืนหน้าประตู
จากนั้นก็เดินออกไป
หลังจากที่จี้เทียนซิงจากไป
ชายชราก็หันไปมองเฉียนเยวี่ยกับกระบี่มังกรดำ
และคว้าพวกมันพาเข้าไปในตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไปอีกของตำหนักไท่อัน
เมื่อชายชราเดินเข้าไปในห้องลึกลับห้องหนึ่ง
ประตูหน้าต่างของห้องนั้นก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ
เขาโยนกระบี่มังกรดำและเฉียนเยวี่ยลงบนโต๊ะ
จากนั้นก็นั่งลงและรินน้ำชาใส่จอก
ชาของเขาแผ่กลิ่นไอร้อนและมีรสชาติกลมกล่อม
อีกทั้งยังปล่อยพลังงานที่ผันผวนออกมา เห็นได้ชัดว่าชาของเขาเป็นชาชั้นเลิศ
ดวงตาของเฉียนเยวี่ยกลอกไปมาหลายครั้ง
และในขณะที่ชายชรายกถ้วยชาขึ้นดื่ม มันก็วิ่งหนีจากโต๊ะและกระพือปีกเตรียมจะหนีไป
เสี่ยวเฮยหลงก็บินขึ้นไปในอากาศและเตรียมจะหลบหนีผ่านทางหน้าต่างเช่นกัน
ชายชรายังคงจิบชาอย่างช้าๆแม้กระทั่งเปลือกตาก็ยังไม่วูบไหว
ราวกับว่าไม่เห็นพวกมันอยู่ในสายตา มีเพียงนิ้วซ้ายที่กระดิกเล็กน้อย
ทันใดนั้นเองขุมพลังไร้สภาพสองสายก็ห่อหุ้มร่างของเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงเอาไว้
จากนั้นก็ดึงพวกมันกลับมานั่งบนโต๊ะ
พลังไร้สภาวะขุมนี้ราวกับว่าผูกติดไว้ที่พวกมัน
ดังนั้นพวกมันทำได้เพียงนั่งลงบนโต๊ะราวกับสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ
เฉียนเยวี่ยดิ้นรนอยู่หลายครั้งก็ยังไม่อาจสลัดหลุด
จากนั้นมันก็จ้องเขม็งไปที่ชายชราพลางสบถออกมาด้วยความโกรธ “ไอ้แก่เหม็นเขียว ปล่อยข้านะโว้ย !"
“เจ้าก็อายุมากแล้วทำไมไม่รู้จักวางตัวให้เป็นอาวุโสที่น่าเคารพเล่า
? เจ้าคิดว่าแข็งแกร่งนักหรือไง ? คอยดูเถิดสักวันพวกเราจะทุบตีเจ้าให้น่วมเลย !”
ชายชราไม่โกรธต่อคำด่าทอของเฉียนเยวี่ย
เขาวางถ้วยชาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีชื่อมีแซ่
ไม่ใช่ตาแก่เหม็นเขียวเสียหน่อย”
“ข้าผู้นี้ชื่อว่าเซี่ยงหวู่จี้ ชาวยุทธ์เรียกข้าว่าปรมาจารย์ไร้ขั้น (หวู่จี้เจิ้งเหริน)
จิ้งจอกน้อย เจ้าควรจะเรียกตาแก่ผู้นี้ว่าผู้อาวุโสเซี่ยงหรือไม่ก็หวู่จี้เจิ้งเหริน”
เฉียนเยวี่ยขมวดคิ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดี
“ช่างหัวเจ้าสิตาแก่ ! ต่อให้เจ้าเป็นโคตรสุดยอดฝีมือที่ชาวยุทธ์ทั่วหล้านับหน้าถือตา
ข้าก็ไม่สนใจหรอก พวกเราได้ตัดสินใจที่จะติดตามเหล่าจี้ไปแล้ว
และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปติดตามผู้อื่นง่ายๆหรอกโว้ย”
“อย่าคิดว่าพวกเราโง่
พวกเราไม่มีทางหักหลังสหายของเราหรอก !”
แกร่ก
แกร่ก
กระบี่มังกรดำสั่นไหวหลายครั้งและทำท่าทางเหมือนกับว่ามันเห็นด้วยกับคำพูดของเฉียนเยวี่ย
เซี่ยงหวู่จี้ยกคิ้วขึ้นและกล่าวกับเฉียนเยวี่ยด้วยใบหน้าที่น่าเกรงขาม
“เหอะ ! พวกเจ้านี่มันสมองน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆเลย”
“นิกายพันธมิตรสวรรค์ไม่อนุญาตให้คนนอกและสัตว์อสูรเข้ามาภายในนิกาย
หากพบเห็นล้วนฆ่าโดยไม่ละเว้น !”
“หากตาแก่คนนี้ปล่อยพวกเจ้าติดตามจี้เทียนซิงเดินดุ่ยๆภายในนิกายต่อไป
ไม่ช้าก็เร็วย่อมถูกพบเจอ ! ถึงเวลานั้นพวกเจ้าทั้งคู่จะถูกฆ่าหรือไม่ก็ถูกจับกิน
!”
เฉียนเยวี่ยเบิกตากว้างราวกับเพิ่งคิดขึ้นได้ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความกลัวและหางยาวทั้งสิบสองเริ่มสั่นระริก
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเซี่ยงหวู่จี้เป็นความจริงแท้แน่นอน
เขาไม่ได้ขู่แต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าทั้งเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงเริ่มสงบสำรวมและไม่คิดดิ้นรนหลบหนีอีกต่อไป เซี่ยงหวู่จี้ก็กระดิกนิ้วอีกครั้งและสลายพลังไร้สภาพที่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของพวกมันออกจนหมดสิ้น
ใบหน้าของเขาไม่แยแสและกล่าวว่า
“หากข้าอธิบายขนาดนี้แล้วสมองพวกเจ้ายังไม่ทำงาน ตาแก่คนนี้จะไม่ขัดขวางแล้ว
เชิญไปได้ทุกเมื่อ”
“แต่พวกเจ้าต้องรู้ด้วยว่า หากตัวตนถูกเปิดเผย
พวกเจ้าจะถูกสังหาร นอกจากนั้นสหายจี้ของพวกเจ้าก็จะถูกไล่ออกจากนิกายตามไปด้วย”
เสี่ยวเฮยหลงอยู่บนโต๊ะเงียบๆและไม่ขยับตัวแต่อย่างใด
รวมไปถึงเฉียนเยวี่ยก็ยังอยู่ที่เดิม หลังจากกลอกตาไปมาราวกับครุ่นคิด
มันก็กล่าวกับเซี่ยงหวู่จี้ด้วยรอยยิ้ม
“แหะๆ ตาแก่ เจ้าเป็นผู้อาวุโส
คำพูดของเจ้าพวกเราย่อมเชื่อถือ ในเมื่อเจ้าทำเช่นนี้เพื่อเหล่าจี้และพวกเรา
แน่นอนว่าพวกเราย่อมเข้าใจเจตนาอันดีของเจ้าอยู่แล้ว !”
“ไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่หนีแล้ว
พวกเราจะอยู่ในตำหนักไท่อันของเจ้านี่แหละ
จะว่าไปมันก็กว้างใหญ่และดูสะดวกสบายไม่เลว”
ท้ายที่สุดเฉียนเยวี่ยก็เคาะกระบี่มังกรดำและถามว่า
“เสี่ยวเฮยหลง เจ้าก็เห็นด้วยใช่ปะ ?"
กระบี่มังกรดำสั่นไปมาหลายครั้งราวกับมันตอบว่า
ใช่ๆ
เซี่ยงหวู่จี้ชี้ไปที่ศีรษะเล็กๆของเฉียนเยวี่ยและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ฮ่าๆ ไอ้จิ้งจอกน้อย
เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์สมชื่อจริงๆ รู้จักหันหางเสือตามลมเสียด้วย"
ต่อมาเซี่ยงหวู่จี้ก็หยิบอาหารออกมาจากแหวนมิติเหมือนนักมายากลและวางมันลงบนโต๊ะพลางกล่าวว่า “เห็นแก่ที่พวกเจ้าทั้งสองต้องสูญเสียพลังจนมีสภาพน่าสงสารถึงเพียงนี้ ตาแก่คนนี้จะเอาของว่างให้พวกเจ้ากิน จงกินตามสบาย”
ถึงแม้เซี่ยงหวู่จี้จะกล่าวราวกับว่า
‘ของว่าง’ พวกนี้ไม่มีค่า
แต่ทั้งหมดนี้เป็นผลไม้วิญญาณหลากหลายชนิดและยังรวมไปถึงอาหารหายากที่ล้ำค่ามากมาย
ผลไม้จำนวนมากส่งกลิ่นหอมหวนออกมา
และดูจากกลิ่นอายที่ผันผวนของพวกมัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผลไม้วิญญาณที่ล้ำค่าทั้งหมด
เฉียนเยวี่ยเบิกตากว้างและจ้องตาเป็นมัน
ทันใดนั้นปากของมันก็มีน้ำลายไหลย้อยออกมาไม่หยุด
"โอ้แม่จ้าว ! ผลไม้รสเลิศมากมายมหาศาล ข้าไม่เคยเห็นของน่ากินเยอะขนาดนี้มาก่อนเลย !"
“นี่ ตาแก่ เจ้าจะให้พวกเรากินจริงๆใช่ปะ ?”
เฉียนเยวี่ยมองไปที่เซี่ยงหวู่จี้ด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ
กระบี่มังกรดำบินออกจากฝักและกลายร่างเป็นมังกรดำยาวสามเมตรพันอยู่รอบโต๊ะโดยจับจ้องไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยผลไม้วิญญาณมากมาย
เซี่ยงหวู่จี้ยิ้มและพยักหน้า
น้ำเสียงและการแสดงออกของเขากลมกลืนกันอย่างมาก
“แน่นอน นี่มอบให้พวกเจ้าทั้งหมด กินได้ตามสบาย
หากยังไม่พอ เพียงแค่เอ่ยปากมาเดี๋ยวตาแก่ผู้นี้จัดให้ !”
“วะ ฮ่าๆๆ
ตาแก่ ขอบคุณเจ้าแล้ว งั้นพวกเราไม่เกรงใจละนะ !”
เฉียนเยวี่ยโห่ร้องอย่างมีความสุขและพุ่งดิ่งลงไปในกองผลไม้ทันทีพลางจิกกัดกินอย่างไม่สนหน้าพระอินทร์พระพรหม
เสี่ยวเฮยหลงก็ไม่ยอมแพ้
มันเปิดปากกว้างแล้วกัดกินผลไม้และเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยจากนั้นก็กลืนลงท้องอย่างรวดเร็ว
......
เมื่อจี้เทียนซิงกลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เป็นเวลามืดค่ำ มันเลยเวลาอาหารเย็นไปนาน
แต่เซี่ยวเฟิงก็รู้งานและนำกล่องอาหารมาวางไว้นอกประตู
ส่วนผู้คนนั้นคงหลับนอนไปแล้ว
จี้เทียนซิงหยิบกล่องอาหารเดินเข้าไปในห้องและคิดจะกินอาหารหลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จ
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันในตำหนักไท่อัน
ตอนนี้เขาเหนื่อยล้าและหิวโหยมากจนกินอาหารได้มากกว่าปกติถึงสามสี่เท่า
หลังกินอาหารเย็นเรียบร้อยเขาก็นั่งที่โต๊ะเพื่อดื่มชาพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
และในไม่ช้าก็เข้าสู่การทำสมาธิ
“เมื่อคืนนี้เงาดำร่างนั้นคล้ายจะชักนำข้าให้ไล่ตามมันออกไปในป่า พอมาถึงตอนเช้าครูฝึกตู้และผู้ดูแลมู่ก็พบผลหยางขาวในห้องของข้า…”
“คงเป็นช่วงเวลาที่ข้าถูกล่อลวงออกจากห้อง
เวลานั้นน่าจะมีใครบางคนสบโอกาสนำผลหยางขาวไปซุกไว้ในห้องเพื่อป้ายสีข้า !”
“แต่มันก็แปลกมาก.....
ข้าเพิ่งเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น ใครกันที่อยากทำลายข้า ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ปฏิกิริยาแรกของชายหนุ่มก็คือหน้าของจี้หลิงที่ลอยมาในหัว
ท้ายที่สุดแล้วเขากับจี้หลิงก็มีความเกลียดชังและความแค้นที่ฝังลึก
ถึงแม้ตอนนี้จะต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง
แต่สุดท้ายจี้เทียนซิงก็สลัดผู้ต้องสงสัยรายนี้ทิ้งไปเพราะคิดว่ามันไม่มีเหตุผลเพียงพอมารองรับ
“เงาดำนั้นแข็งแกร่งมาก
เป็นไปได้สูงว่ามันอยู่ในเขตแดนเชื่อมปราณ อีกทั้งยังคุ้นชินกับภูมิประเทศภายในนิกายเป็นอย่างดี…มันไม่ควรเป็นจี้หลิงไปได้
!”
“แต่ว่า... นอกจากจี้หลิงแล้ว ยังมีใครกันที่คิดใส่ความข้าอีก ?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วแน่นพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นเขาก็มีภาพบุรุษอีกคนหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
องค์ชายใหญ่ของแคว้นเหมาหรง, ลู่หมิงหยาง !
ลู่หมิงหยางผู้นี้มีพลังในเขตแดนเชื่อมปราณและยังเป็นศิษย์สายในของนิกายพันธมิตรสวรรค์
ยิ่งไปกว่านั้นลู่หมิงหยางก็มีความแค้นเกลียดชังกับเขาและเนี่ยห่าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงคาดเดาว่าเงาร่างในคืนนั้นย่อมต้องเป็นลู่หมิงหยาง !
อย่างไรก็ตาม
เมื่อชายหนุ่มพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ต่ออย่างใจเย็นก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ
“ถึงแม้ว่าลู่หมิงกับข้าจะบาดหมางกัน
แต่พลังของมันก็เพิ่งตัดผ่านเข้าสู่เขตแดนเชื่อมปราณ อีกทั้งบุคลผู้นี้ก็เข้านิกายก่อนข้าไม่นานย่อมไม่คุ้นเคยภูมิประเทศของนิกายมากขนาดนั้น"
“มันไม่น่าจะมีความกล้ามากพอที่จะบุกหอยุทธ์ฟงอวิ๋นในยามราตรีและขโมยผลหยางขาวมาป้ายสีข้าเป็นแน่..”
“แต่หากไม่ใช่ลู่หมิงหยาง ไม่ใช่จี้หลิง แล้วคนที่วางแผนร้ายต่อข้ามันคือใครกันแน่ …..?”
จี้เทียนซิงนั่งคิดอย่างงุนงงอยู่ใต้แสงไฟอยู่ครึ่งชั่วโมง
จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องลับเพื่อฝึกฝนต่อ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved