ตอนที่ 340 หัตถ์เปลวอัคคีปะทะธานีเหมันต์เยือกแข็ง

!

จี้เทียนซิงได้ยืนขึ้นภายใต้ความสนใจของทุกคน

เขาจ้องไปที่หวังตงบนเวทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พลันเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“หวังตง

เจ้าเอาความกล้าจากไหนมาท้าทายข้า ?"

"เป็นเพราะเจ้ามีอาวุธวิเศษ ? หรือมีความมั่นใดๆงั้นหรือ ?"

แม้จี้เทียนซิงจะพูดด้วยเสียงต่ำ แต่มันก็แพร่กระจายไปทั่วห้องโถงอย่างชัดเจน

ทันใดนั้นแขกเหรื่อหลายร้อยคนในห้องโถงต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ

ไม่มีใครคาดคิดว่าจี้เทียนซิงจะจองหองและกล้าพูดจาอวดดีเช่นนี้ต่อหน้าทุกคน

ต้องอาศัยความมั่นอกมั่นใจแค่ไหนกันถึงกล้าเอ่ยวาจาเยี่ยงนี้

?

สีหน้าของประมุขนิกายเจิ้นหวู่ไม่สู้ดีนัก ดวงตาที่มองไปยังจี้เทียนซิงดูมืดมนและเย็นชาไม่น้อย

หวังตงที่อยู่บนเวทีเต็มไปด้วยความอับอายขายหน้า

คนตะโกนอย่างโกรธแค้นว่า

"จี้เทียนซิง

เจ้านี่มันอวดดีไม่จบไม่สิ้น"

จี้เทียนซิงก้าวช้าๆเดินไปกลางเวทีราวกับสายลม

ท่วงท่าเต็มไปด้วยความสงบ กล่าวต่อไปว่า “ข้าพูดเรื่องจริง

ไฉนเจ้าถึงคิดว่าข้าหยิ่งยโสอวดดี ?”

ฟุ่บ !

เมื่อสิ้นเสียงเขาก็พุ่งออกไปไกลหลายสิบเมตร

กระโดดขึ้นไปบนเวที

ทันทีที่เท้าของจี้เทียนซิงแตะพื้น หวังตงก็ฉวยโอกาสพุ่งออกไปราวกับลูกธนูหลุดจากคันศร

เหวี่ยงหมัดอันดุดันเข้าหาใบหน้าและหน้าอกของเขา

"ฟุ่บ !"

หวังตงรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงเป็นอย่างดี

ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายปรากฏกาย มันจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ เร่งความเร็วถึงขีดสุดจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง

“เพลงหมัดเมฆาเยือกแข็ง !”

หวังตงคำรามลั่น กำปั้นคู่ของมันกลายเป็นไอน้ำแข็งสีฟ้าที่ปลดปล่อยความเย็นครอบคลุมเวทีกินรัศมีกว้างกว่า

20 เมตร

ในชั่วพริบตาทั่วทั้งเวทีก็ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งสีฟ้าและอุณหภูมิก็ลดลงจนเย็นสุดขั้ว

กำปั้นขนาดใหญ่กระแทกเข้าหาจี้เทียนซิงซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงครึ่งเมตร

แขกหลายร้อยคนในห้องโถงจ้องเขม็งอย่างตั้งใจและกลั้นหายใจ

สีหน้าของจี้เทียนซิงไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง สงบราบเรียบราวกับว่าคาดหวังต่อการลงมือของหวังตง

ในขณะนั้น เขายกแขนสีแดงเถือกราวกับลาวาขึ้นช้าๆ

กำเนิดปราณอัคคีแท้จริงในฝ่ามือที่ควบแน่นเป็นหัตถ์เพลิงขนาดใหญ่  ตบฟาดไปที่กำปั้นของหวังตง

"เปรี้ยง !!"

หัตถ์เปลวอัคคีกระทบเข้าใส่กำปั้นน้ำแข็งทั้งสองจนเกิดเสียงดังสนั่นระเบิดขึ้น

ในขณะนั้นเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงก็ทำให้ไอเย็นทั้งหมดบนเวทีเริ่มปริแตก

กำปั้นน้ำแข็งทั้งสองถูกทุบแหลกเป็นชิ้นๆและระเหยเป็นไอน้ำโดยหัตถ์เปลวอัคคีของจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว

หวังตงก็ถูกกระแทกด้วยพลังนี้

ร่างของมันลอยละลิ่วไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ล้มลงไปไกลเป็นระยะกว่าสิบเมตร

ทันทีที่มันลุกขึ้น เสื้อคลุมสีขาวปรากฏรอยไหม้และรูโหว่เป็นรอยฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่

ใบหน้าของเขากลายเป็นเหยเก ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

แขกหลายร้อยคนในห้องโถงต่างก็แสดงสีหน้าตกใจและอุทานออกมา

"หวา ! พลังฝีมือของจี้เทียนซิงล้ำเลิศเพียงนี้

?"

"หวังตงที่มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแปดก็ยังมิอาจหยุดแม้แต่ฝ่ามือเดียวของจี้เทียนซิงได้

?"

"เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ต่างก็มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่แปดเหมือนกัน

แต่หวังตงลงมือก่อนกลับต้องปลิวกระเด็น เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร ?"

"ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กจี้เทียนซิงผู้นี้มีคุณสมบัติพอที่จะอวดดีจริงๆ

!"

หวังตงได้ยินเสียงเซ็งแซ่ของผู้ชมรอบๆก็ยิ่งอับอายและโกรธแค้นมากขึ้น

คนโคจรพลังลมปราณทั่วร่างเปิดการโจมตีอีกระลอก

"ธานีเหมันต์เยือกแข็ง !!"

หวังตงระเบิดความสามารถชั่วชีวิตออกมา

แสดงไม้ตายก้นหีบ

ฝ่ามือของมันแผ่พุ่งลำแสงปราณสีขาวที่เอ่อล้น

ปลดปล่อยกระแสไอเย็นที่ปกคลุมทั่วรัศมีกว่ายี่สิบเมตร

ทันใดนั้นทั้งเวทีก็ได้ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหนาเตอะ

เกล็ดหิมะสีขาวอันหนาแน่นปรากฏขึ้นในอากาศ

มันโบกสะบัดฝ่ามืออย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า

ก่อเกิดเป็นหัตถ์แสงอันเยือกเย็นกว่าหกสิบสี่สายในหนึ่งลมหายใจ  ตกจากท้องฟ้าและซัดเข้าใส่จี้เทียนซิง

ความเยือกเย็นที่เอ่อล้นท่วมท้นจากฝ่ามือของมัน

เกล็ดหิมะที่ล่องลอยไปทั่วอากาศแผ่แรงกดทับจนผู้คนแทบหายใจไม่ออก

อุณหภูมิในห้องโถงราวกับลดลงถึงจุดเยือกแข็ง ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนหดคอถูมือไปมาโดยไม่รู้ตัว

เกล็ดหิมะในเดือนหก ?

มันเป็นภาพที่หาชมได้ยากยิ่งซึ่งปรากฏเพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้น

แขกเหรื่อและผู้ชมจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เบิกตากว้าง

มองไปบนเวทีด้วยแววตารอคอยและคาดหวัง

ภายในพริบตาต่อมา ฝ่ามือแสงเย็นเยือกหลายสิบสายก็ระเบิดเข้าใส่หัตถ์เปลวอัคคีขนาดใหญ่

"บรึ้ม !!!"

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ฝ่ามือน้ำแข็งทั้งหมดถูกทำลายแตกเป็นเกล็ดแสงเย็น

กระจายไปรอบๆ

หัตถ์เปลวอัคคีจู่โจมทะลุผ่านแสงเย็นบนท้องฟ้าและพุ่งเข้าหาหวังตงในทันที

ส่งผลให้ร่างของมันถูกกระแทกกระเด็นไปอีกคำรบ ชนเข้ากับค่ายกลหนาแน่น

ร่วงลงกับพื้นอย่างรุนแรง

อ่อก...... !!

เมื่อหวังตงพยายามที่จะลุกขึ้นมาบวกอีกรอบ

โลหิตสีแดงสดพลันไหลทะลักจากปากของมันอย่างต่อเนื่อง

มือของมันคว้าจับหน้าอกที่ไหม้เกรียมของตนเองและมีควันดำปกคลุมไปทั่วร่างกาย

ภาพเดิมๆได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

และจี้เทียนซิงก็ยังคงใช้เพียงแค่ฝ่ามือเดียวในการลงมือ !

เรียบง่าย เกรี้ยวกราด หยาบโลนและกดขี่

เขาโจมตีหวังตงด้วยท่วงท่าที่เรียบง่าย

รุนแรงแต่ไร้ผู้ต้านทาน

สร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้แก่อีกฝ่ายอย่างรุนแรงเพียงแค่สองฝ่ามือ

ผู้คนหลายร้อยคนในห้องโถงต่างก็รู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นภาพนี้

เหล่าจอมยุทธ์ของกองกำลังระดับสองและสามรู้สึกเปิดหูเปิดตาอย่างมาก

ในใจของพวกมันตั้งตกใจและตื่นเต้น

แววตาของประมุขนิกายเจิ้นหวู่ฉายแววหดหู่มืดมนเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่ามันคาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเลวร้ายถึงเพียงนี้

นิกายพันธมิตรสวรรค์ที่มีหยุนเหยาเป็นศิษย์เอกก็ทำให้แต่ละนิกายรู้สึกกดดันมากพอแล้ว

ทุกนิกายล้วนอิจฉาริษยาที่มีศิษย์ชั้นเยี่ยมอย่างนาง

แต่บัดนี้กลับมีจี้เทียนซิงถือกำเนิดขึ้นมาอีกหนึ่ง

ชายผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เยือกเย็นและเรียบง่าย เฉกเช่นเดียวกับหยุนเหยาที่สามารถบดขยี้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย   โชควาสนาที่ดีงามทั้งหมดต่างก็ตกเป็นของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เหตุใดสวรรค์ถึงได้ไร้เหตุผลต่อนิกายอื่นขนาดนี้ ?

เหล่าผู้นำหลายคนลอบขบคิดในใจ

หากสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าจี้เทียนซิงและหยุนเหยาเติบโตขึ้น

นิกายพันธมิตรสวรรค์มิใช่ว่าอยู่ยงคงกระพันเลยหรือ ?!

หวังตงกระเสือกกระสน

ดวงตาจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยความเคียดแค้นพลางคำรามด้วยเสียงเย็นชาว่า “จี้เทียนซิง ! เจ้าช่างโหดร้ายนัก ข้ายอมแพ้ !”

พูดจบมันก็รีบเดินลงจากเวทีโดยไม่สนใจเสียงแซ่เซ็งและหัวเราะเยาะในห้องโถง

ก้าวเท้าลงจากเวทีกลับไปยืนข้างๆประมุขนิกายเจิ้นหวู่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

จี้เทียนซิงรู้สึกแปลกใจและคาดไม่ถึงว่าหวังตงจะสามารถทนต่อเสียงก้นด่าและความอัปยศได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้

เขาคิดในใจ “ก่อนที่จะเริ่มสู้กัน

หวังตงกระซิบกระซาบกับซื่อเหวินหยู เฉียวซวนและคนอื่นๆ   ดังนั้นการที่มันยอมทนความอัปยศ

กล่าวยอมแพ้ง่ายๆเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันกำลังรวมหัวกันทำอะไรบางอย่าง ?”

ในขณะนี้เองซื่อเหวินหยูก็ผุดลุกขึ้นและเดินไปทางเวทีพลางกล่าวว่า

"จี้เทียนซิง

! ที่นี่คือนิกายกระบี่ฟ้าและยังเป็นวันเกิดของอาจารย์ข้า

ข้าจะยอมให้เจ้ามาวางก้ามเขื่องโขที่นี่ได้อย่างไร ?!"

ได้ยินเสียงเย็นชาโกรธแค้นของซื่อเหวินหยูดังกระทบโสต

จี้เทียนซิงพลันหันหน้าไปมองอีกฝ่ายและอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้ว

“ซื่อเหวินหยู ก่อนหน้านี้เจ้ายังเจ็บตัวไม่พออีกหรือ

?   ไม่จำ ?”

เขามองออกอย่างชัดเจนว่าผิวพรรณของซื่อเหวินหยูดูไม่ค่อยดี

แสดงว่าอาการบาดเจ็บของมันยังไม่ทุเลานัก ระดับพลังย่อมเสื่อมโทรมลงไปหลายส่วน

แต่สิ่งที่จี้เทียนซิงขบคิดไม่เข้าใจก็คือ

ซื่อเหวินหยูที่ถูกเขาทุบตีจมธรณีไปแล้วรอบหนึ่ง

เหตุใดยังมีความกล้าพอที่จะเอ่ยปากยั่วยุเขาในที่สาธารณะ ?

มันไม่กลัวที่จะพ่ายอนาถต่อหน้าธารกำนัลและถูกแขกเหรื่อเย้ยหยันคาบ้านหรือไง ?

ฟุ่บ !

ซื่อเหวินหยูกระโดดขึ้นไปบนเวทีพลันคำรามอย่างเหี้ยมหาญว่า

“จี้เทียนซิง

แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม ข้าก็จะสู้กับเจ้า !”

“……?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วอีกครั้งและสัมผัสได้ว่าวาจาของซื่อเหวินหยูแฝงความนัยอื่น

เขามองซื่อเหวินหยูด้วยแววตาเหยียดหยามพลางกล่าวว่า

“เจ้าเพิ่งแพ้ข้ามาหมาดๆและยังไม่หายดี

เหตุใดถึงต้องมาท้าทายข้า ?”

“เจ้า !”

ซื่อเหวินหยูเต็มไปด้วยความโกรธในทันที คนพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายพลางหอบเอาสายลมแรงตามมา

"จี้เทียนซิง

เจ้ามันกำแหงเกินไปแล้ว !”