ข้อเท็จจริง
เวลาผ่านไปสองวันอย่างไม่รู้ตัว
จี้เทียนซิงดูดซับพลังจากเม็ดยาปราณทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองวันอยู่ในห้องลับ
จนทำให้ในขณะนี้เขาดูดซับพลังของเม็ดยาไปได้ถึงหกส่วนแล้ว
และระดับพลังยุทธ์ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจนถึงขอบเขตปราณแท้ขั้นที่ 7 !
ส่วนฤทธิ์ยาที่เหลืออีกสี่ส่วนนั้นยังของกระจายตกค้างอยู่ตามร่างกายของเขาและยังจะช่วยเพิ่มพลังให้อีกในอนาคต
พลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขากลายเป็นทองคำบริสุทธิ์และเฉียบคมมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้เขายังใช้พลังของเม็ดยาปราณทองคำบรรเทาไปยังเส้นโลหิตกระบี่อีกด้วย
ทำให้ทุกวันนี้เส้นชีพจรทั้งเก้าของเขา มีสามเส้นที่ถูกบรรเทาเป็นเส้นโลหิตกระบี่ไปเรียบร้อยแล้ว
จี้เทียนซิงมีลางสังหรณ์ว่า
เมื่อยามที่เขานำเส้นชีพจรทั้งเก้ามาบรรจบกันเป็นเส้นโลหิตกระบี่ ความแข็งแกร่งของเขาสมควรไปถึงขอบเขตปราณจิตได้แล้ว
เขาเชื่อว่าวันนั้นอยู่อีกไม่ไกล
!
หลังจากหยุดพักการบ่มเพาะ
เขาก็หยิบเคล็ดวิชาย่างก้าวไร้เงาออกมาอ่านอย่างละเอียดโดยอาศัยแสงที่ลอดผ่านกำแพงห้องลับ
คัมภีร์เล่มนี้มีเพียงสิบแปดหน้าเท่านั้น
แต่ละหน้ามีเพียงหนึ่งร้อยคำและภาพหนึ่งคู่ ภาพเหล่านั้นเป็นรูปคนตัวเล็กที่ตั้งกระบวนแปลกๆพิสดาร
เมื่อนำรูปภาพแต่ละหน้าและคำอธิบายมารวมกันก็ทำให้จี้เทียนซิงเข้าถึงขั้นตอนในการบ่มเพาะย่างก้าวไร้เงาโดยง่าย
เขาอ่านคัมภีร์ทั้งหมดและทำความเข้าใจคุณสมบัติพิเศษ
ตลอดจนความสามารถลึกลับของมันได้แล้ว
“กุญแจสำคัญของวิชาตัวเบา(ท่าร่าง)ทั่วไปก็คือใช้ความแข็งแกร่งของเอวและขา แต่ทว่าย่างก้าวไร้เงานี้ลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งกว่า
เพราะมันไม่เพียงต้องใช้พลังที่ข้อต่อกระดูกและความแข็งแกร่งทั้งหมด แต่ยังต้องฝึกจังหวะในการหายใจอีกด้วย..”
“แม้กระทั่งสามารถหยิบยืมสภาพอากาศและภูมิประเทศมาใช้ให้สอดคล้องกับวิชาได้ อีกทั้งในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันย่างก้าวไร้เงาก็จะทำงานแตกต่างกัน”
“วิเศษ นี่มันยอดมาก !”
จี้เทียนซิงวางคัมภีร์ลง
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นเขาเริ่มทดลองเคล็ดวิชาในทันที
......
ยามพลบค่ำ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
เหนือยอดเขาเมฆาสีชาดนั้นมีตำหนักหลังหนึ่งเรียกว่าตำหนักเมฆขาว
หยุนเหยาสวมเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่บนชั้นสามของตำหนัก นางกำลังทอดสายตาคู่งามมองดูพระอาทิตย์ตกดินอย่างสงบ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงกำยำดุจหอคอยเหล็กเดินมาข้างหลังนาง ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือห่าวเมิ่งนั่นเอง
หยุนเหยามิได้หันหลังกลับไป
นางจับสัมผัสได้แต่แรกแล้วว่าห่าวเมิ่งกำลังมา นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า “ศิษย์น้องห่าว ผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ห่าวเมิ่งพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คารวะศิษย์พี่หญิง งานที่ท่านขอให้ข้าตรวจสอบวิถีชีวิตและสายเลือดของจี้เทียนซิงเมื่อสามวันก่อนนั้น
ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบทันทีจนทราบผลลัพธ์แล้ว”
ห่าวเมิ่งสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึมว่า
“จริงอย่างที่ศิษย์พี่พูดไม่ผิดเพี้ยน
จี้เทียนซิงเป็นผู้ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับที่สืบทอดโดยตรงจากบรรพบุรุษตระกูลจี้
เรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่ยากนัก”
จากนั้นห่าวเมิ่งก็ยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้นาง
หยุนเหยากวาดสายตาอ่านจดหมายอยู่พักหนึ่งและพบว่าผลลัพธ์ที่บันทึกไว้ในนั้นตรงตามที่จี้เทียนซิงเล่าให้นางฟังเมื่อหลายวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน
นางถอนหายใจและนำจดหมายใส่ไว้ในแหวนนิลที่นิ้วทันที
ห่าวเมิ่งเดินไปเคียงคู่นาง
สองมือตะปบลงบนราวกั้น ทอดสายตามองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่น
“ศิษย์พี่หญิง
ต้องโทษที่ข้าและศิษย์พี่ไป๋มีตาหามีแววไม่
พวกข้ามองจี้หลิงผิดไปที่คิดว่ามันคือผู้ที่นิกายกำลังตามหา ผลที่ออกมาจึงล้มเหลวใหญ่หลวงและทำให้ท่านประมุขต้องผิดหวัง"
หยุนเหยาส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างราบเรียบ
“เรื่องนี้ตำหนิพวกเจ้าก็ไม่ถูก
เพราะท้ายที่สุดแล้วท่านอาจารย์กล่าวแค่เพียงว่า
ให้มองหาผู้ที่มีชะตาชีวิตผกผันอย่างใหญ่หลวง แต่ท่านมิได้กล่าวให้เจาะจงกว่านี้ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นลิขิตของสวรรค์”
เมื่อได้ยินคำพูดปลอบใจของหยุนเหยา
ภาระความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในใจของห่าวเมิ่งก็ลดลงไปหลายส่วน
เขาเกาหัวแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ตอนอยู่ที่รัฐนภากระจ่าง
ข้ากับศิษย์พี่ไป๋ยังเคยเถียงกันอยู่เลยว่าทำไมท่านถึงได้ดีกับเจ้าหนูจี้เทียนซิงนัก
ที่แท้ท่านคงมองออกแต่แรก
ช่างสมเป็นศิษย์พี่หญิงของข้าจริงๆ
ท่านเฉลียวฉลาดและวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีเสมอ !”
“แต่ว่า... ข้าก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อศิษย์พี่หญิงรู้แต่แรกแล้วว่าจี้เทียนซิงเป็นคนที่ท่านประมุขกำลังตามหา ทำไมท่านไม่บอกท่านประมุขไปเลยเล่า ? ให้ข้าเสียเวลาไปตรวจสอบทำไมกัน ?”
เมื่อห่าวเมิ่งพูดถึงปัญหานี้
หยุนเหยาก็ขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย
หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
นางก็อธิบายว่า “ข้ามั่นใจและเชื่อในคำพูดของจี้เทียนซิง
แต่ข้ามิอาจด่วนสรุปและไปแจ้งต่อท่านอาจารย์ได้ในทันที
ข้าจำเป็นต้องหาหลักฐานที่สอดคล้องเพื่อยืนยันให้แน่ชัด
เพื่อที่ท่านอาจารย์จะได้เชื่อ”
“นอกจากนี้ ข้ารู้นิสัยท่านอาจารย์ดี หลังจากเกิดเรื่องจี้หลิงขึ้น
ท่านคงไม่เชื่อแค่คำพูดปากเปล่าง่ายๆอีกต่อไป”
ถึงแม้ว่าห่าวเมิ่งจะดูกำยำแข็งแรง
แต่เขาก็ฉลาดและมีไหวพริบไม่น้อย เมื่อได้ฟังที่หยุนเหยาอธิบายเขาก็เข้าใจ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่หญิง
งั้นข้าขอตัวก่อน หากท่านมีอะไรให้เรียกใช้ก็ขอให้บอกได้ทันที”
“อืม” หยุนเหยาตอบรับสั้นและไม่พูดอะไรอีก
ห่าวเมิ่งกำหมัดคารวะและอำลาจากไป
หยุนเหยายืนอยู่ใต้เฉลียงเป็นเวลานานจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
นางจึงหันหลังเดินจากไป
ต่อมานางก็ออกจากตำหนักเมฆขาวมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียนที่อยู่ไม่ไกลเพื่อขอพบฉู่เทียนเซิง
นางยืนรอที่หน้าประตูห้องคัมภีร์อยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์คะ ศิษย์มีเรื่องต้องรายงาน”
ฉู่เทียนเซิงวางมือแล้วนวดขมับพลางหันไปมองหยุนเหยาที่หน้าประตูและกล่าวว่า
“หยุนเหยา เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ ? เข้ามาคุยกันข้างใน”
หยุนเหยาเดินเข้าไปในห้องคัมภีร์และหยิบจดหมาบจากแหวนนิลวางไว้บนโต๊ะหน้าฉู่เทียนเซิง
“เรียนท่านอาจารย์ จากคำทำนายของแผนที่ดวงดาว, บุคลที่ท่านกำลังตามหาของรัฐนภากระจ่างที่ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับนั้น หลังจากศิษย์ตรวจสอบและพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว
คนผู้นั้นก็คือจี้เทียนซิง”
“จดหมายลับฉบับนี้เป็นผลมาจากการสืบของสายลับในนิกายเราที่แฝงตัวอยู่ในรัฐนภากระจ่าง ขอท่านอาจารย์โปรดตรวจสอบดู”
ฉู่เทียนเซิงเลิกคิ้วขึ้นในทันที
ดวงตาเปล่งสีสันแปลกๆและกล่าวว่า “ว่าไงนะ
!? จี้เทียนซิง ? เป็นเขางั้นหรือ
?”
เขาสะบัดมือคว้าจดหมายลับมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็วและเพ่งดูอย่างละเอียดแทบทุกตัวอักษร
............
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
ฉู่เทียนเซิงก็สูดหายใจลึกและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...
คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะสลับซับซ้อนเพียงนี้
ไม่แปลกที่จี้เทียนซิงจะแค้นจี้หลิงถึงขั้นนั้น
วันนั้นยามที่ข้ามองตาเขา
ข้าสัมผัสได้ทันทีว่าจี้เทียนซิงไม่คิดจะอยู่ร่วมโลกกับจี้หลิงอีกแล้ว”
หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวว่า
“สายเลือดกระบี่ลี้ลับเป็นสายเลือดที่จี้เทียนซิงสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลจี้โดยตรง
จี้หลิงวางแผนชั่วมานับปีเพื่อใช้หลิงหยุนเฟยเป็นเหยื่อล่อ
ลอบฝังลูกปัดครองวิญญาณไว้ในร่างจี้เทียนซิง
จนกระทั่งเวลาสุกงอมก็ช่วงชิงมันมาเป็นของตนเอง
นี่คือเหตุผลว่าทำไมจี้หลิงถึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดินขนาดนี้”
ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า
“อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงเคยเป็นเจ้าของสายเลือดกระบี่ลี้ลับ
แต่พลังสายเลือดของเขาถูกจี้หลิงช่วงชิงไปแล้ว
ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สามารถเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้อีกแล้วในตอนนี้”
“เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง ถ้ำใต้ดินเป็นความลับระดับสูงสุดของนิกาย ตอนจี้หลิงข้าก็พลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว
ข้าไม่อาจผิดพลาดได้อีก หยุนเหยา แม้ว่าเจ้าจะช่วยข้าสืบหาความจริงทั้งหมด
แต่เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะยอมให้จี้เทียนซิงรู้ความลับของนิกายเพิ่มอีกคนในตอนนี้"
“เขาเพิ่งเข้านิกายได้แค่เดือนเดียว
ลึกๆแล้วเขาอาจจะมิได้มีความภักดีต่อนิกายก็เป็นได้ ข้าควรลอบสังเกตพฤติกรรมของเขาอย่างช้าๆไปก่อน”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved