ตอนที่ 142

ข้อเท็จจริง

เวลาผ่านไปสองวันอย่างไม่รู้ตัว

จี้เทียนซิงดูดซับพลังจากเม็ดยาปราณทองคำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสองวันอยู่ในห้องลับ

จนทำให้ในขณะนี้เขาดูดซับพลังของเม็ดยาไปได้ถึงหกส่วนแล้ว

และระดับพลังยุทธ์ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจนถึงขอบเขตปราณแท้ขั้นที่ 7 !

ส่วนฤทธิ์ยาที่เหลืออีกสี่ส่วนนั้นยังของกระจายตกค้างอยู่ตามร่างกายของเขาและยังจะช่วยเพิ่มพลังให้อีกในอนาคต

พลังปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขากลายเป็นทองคำบริสุทธิ์และเฉียบคมมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้เขายังใช้พลังของเม็ดยาปราณทองคำบรรเทาไปยังเส้นโลหิตกระบี่อีกด้วย

ทำให้ทุกวันนี้เส้นชีพจรทั้งเก้าของเขา มีสามเส้นที่ถูกบรรเทาเป็นเส้นโลหิตกระบี่ไปเรียบร้อยแล้ว

จี้เทียนซิงมีลางสังหรณ์ว่า

เมื่อยามที่เขานำเส้นชีพจรทั้งเก้ามาบรรจบกันเป็นเส้นโลหิตกระบี่ ความแข็งแกร่งของเขาสมควรไปถึงขอบเขตปราณจิตได้แล้ว

เขาเชื่อว่าวันนั้นอยู่อีกไม่ไกล

!

หลังจากหยุดพักการบ่มเพาะ

เขาก็หยิบเคล็ดวิชาย่างก้าวไร้เงาออกมาอ่านอย่างละเอียดโดยอาศัยแสงที่ลอดผ่านกำแพงห้องลับ

คัมภีร์เล่มนี้มีเพียงสิบแปดหน้าเท่านั้น

แต่ละหน้ามีเพียงหนึ่งร้อยคำและภาพหนึ่งคู่ ภาพเหล่านั้นเป็นรูปคนตัวเล็กที่ตั้งกระบวนแปลกๆพิสดาร

เมื่อนำรูปภาพแต่ละหน้าและคำอธิบายมารวมกันก็ทำให้จี้เทียนซิงเข้าถึงขั้นตอนในการบ่มเพาะย่างก้าวไร้เงาโดยง่าย

เขาอ่านคัมภีร์ทั้งหมดและทำความเข้าใจคุณสมบัติพิเศษ

ตลอดจนความสามารถลึกลับของมันได้แล้ว

“กุญแจสำคัญของวิชาตัวเบา(ท่าร่าง)ทั่วไปก็คือใช้ความแข็งแกร่งของเอวและขา  แต่ทว่าย่างก้าวไร้เงานี้ลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งกว่า

เพราะมันไม่เพียงต้องใช้พลังที่ข้อต่อกระดูกและความแข็งแกร่งทั้งหมด แต่ยังต้องฝึกจังหวะในการหายใจอีกด้วย..”

“แม้กระทั่งสามารถหยิบยืมสภาพอากาศและภูมิประเทศมาใช้ให้สอดคล้องกับวิชาได้  อีกทั้งในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันย่างก้าวไร้เงาก็จะทำงานแตกต่างกัน”

“วิเศษ นี่มันยอดมาก !”

จี้เทียนซิงวางคัมภีร์ลง

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

จากนั้นเขาเริ่มทดลองเคล็ดวิชาในทันที

......

ยามพลบค่ำ  พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน

เหนือยอดเขาเมฆาสีชาดนั้นมีตำหนักหลังหนึ่งเรียกว่าตำหนักเมฆขาว

หยุนเหยาสวมเสื้อคลุมสีขาวยืนอยู่บนชั้นสามของตำหนัก  นางกำลังทอดสายตาคู่งามมองดูพระอาทิตย์ตกดินอย่างสงบ

หลังจากนั้นไม่นานก็มีชายหนุ่มรูปร่างแข็งแรงกำยำดุจหอคอยเหล็กเดินมาข้างหลังนาง  ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือห่าวเมิ่งนั่นเอง

หยุนเหยามิได้หันหลังกลับไป

นางจับสัมผัสได้แต่แรกแล้วว่าห่าวเมิ่งกำลังมา นางกล่าวน้ำเสียงราบเรียบว่า “ศิษย์น้องห่าว ผลออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ?”

ห่าวเมิ่งพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คารวะศิษย์พี่หญิง งานที่ท่านขอให้ข้าตรวจสอบวิถีชีวิตและสายเลือดของจี้เทียนซิงเมื่อสามวันก่อนนั้น

ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบทันทีจนทราบผลลัพธ์แล้ว”

ห่าวเมิ่งสูดลมหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึมว่า

“จริงอย่างที่ศิษย์พี่พูดไม่ผิดเพี้ยน

จี้เทียนซิงเป็นผู้ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับที่สืบทอดโดยตรงจากบรรพบุรุษตระกูลจี้

เรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่ยากนัก”

จากนั้นห่าวเมิ่งก็ยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้นาง

หยุนเหยากวาดสายตาอ่านจดหมายอยู่พักหนึ่งและพบว่าผลลัพธ์ที่บันทึกไว้ในนั้นตรงตามที่จี้เทียนซิงเล่าให้นางฟังเมื่อหลายวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน

นางถอนหายใจและนำจดหมายใส่ไว้ในแหวนนิลที่นิ้วทันที

ห่าวเมิ่งเดินไปเคียงคู่นาง

สองมือตะปบลงบนราวกั้น ทอดสายตามองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า  ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่น

“ศิษย์พี่หญิง

ต้องโทษที่ข้าและศิษย์พี่ไป๋มีตาหามีแววไม่

พวกข้ามองจี้หลิงผิดไปที่คิดว่ามันคือผู้ที่นิกายกำลังตามหา ผลที่ออกมาจึงล้มเหลวใหญ่หลวงและทำให้ท่านประมุขต้องผิดหวัง"

หยุนเหยาส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างราบเรียบ

“เรื่องนี้ตำหนิพวกเจ้าก็ไม่ถูก

เพราะท้ายที่สุดแล้วท่านอาจารย์กล่าวแค่เพียงว่า

ให้มองหาผู้ที่มีชะตาชีวิตผกผันอย่างใหญ่หลวง แต่ท่านมิได้กล่าวให้เจาะจงกว่านี้ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นลิขิตของสวรรค์”

เมื่อได้ยินคำพูดปลอบใจของหยุนเหยา

ภาระความรับผิดชอบอันหนักอึ้งในใจของห่าวเมิ่งก็ลดลงไปหลายส่วน

เขาเกาหัวแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิง ตอนอยู่ที่รัฐนภากระจ่าง

ข้ากับศิษย์พี่ไป๋ยังเคยเถียงกันอยู่เลยว่าทำไมท่านถึงได้ดีกับเจ้าหนูจี้เทียนซิงนัก

ที่แท้ท่านคงมองออกแต่แรก

ช่างสมเป็นศิษย์พี่หญิงของข้าจริงๆ

ท่านเฉลียวฉลาดและวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีเสมอ !”

“แต่ว่า... ข้าก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อศิษย์พี่หญิงรู้แต่แรกแล้วว่าจี้เทียนซิงเป็นคนที่ท่านประมุขกำลังตามหา  ทำไมท่านไม่บอกท่านประมุขไปเลยเล่า ?  ให้ข้าเสียเวลาไปตรวจสอบทำไมกัน ?”

เมื่อห่าวเมิ่งพูดถึงปัญหานี้

หยุนเหยาก็ขมวดคิ้วเรียวงามเล็กน้อย

หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง

นางก็อธิบายว่า “ข้ามั่นใจและเชื่อในคำพูดของจี้เทียนซิง

แต่ข้ามิอาจด่วนสรุปและไปแจ้งต่อท่านอาจารย์ได้ในทันที

ข้าจำเป็นต้องหาหลักฐานที่สอดคล้องเพื่อยืนยันให้แน่ชัด

เพื่อที่ท่านอาจารย์จะได้เชื่อ”

“นอกจากนี้ ข้ารู้นิสัยท่านอาจารย์ดี หลังจากเกิดเรื่องจี้หลิงขึ้น

ท่านคงไม่เชื่อแค่คำพูดปากเปล่าง่ายๆอีกต่อไป”

ถึงแม้ว่าห่าวเมิ่งจะดูกำยำแข็งแรง

แต่เขาก็ฉลาดและมีไหวพริบไม่น้อย เมื่อได้ฟังที่หยุนเหยาอธิบายเขาก็เข้าใจ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าเข้าใจแล้วศิษย์พี่หญิง

งั้นข้าขอตัวก่อน หากท่านมีอะไรให้เรียกใช้ก็ขอให้บอกได้ทันที”

“อืม” หยุนเหยาตอบรับสั้นและไม่พูดอะไรอีก

ห่าวเมิ่งกำหมัดคารวะและอำลาจากไป

หยุนเหยายืนอยู่ใต้เฉลียงเป็นเวลานานจนกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

นางจึงหันหลังเดินจากไป

ต่อมานางก็ออกจากตำหนักเมฆขาวมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียนที่อยู่ไม่ไกลเพื่อขอพบฉู่เทียนเซิง

นางยืนรอที่หน้าประตูห้องคัมภีร์อยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์คะ ศิษย์มีเรื่องต้องรายงาน”

ฉู่เทียนเซิงวางมือแล้วนวดขมับพลางหันไปมองหยุนเหยาที่หน้าประตูและกล่าวว่า

“หยุนเหยา เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ ? เข้ามาคุยกันข้างใน”

หยุนเหยาเดินเข้าไปในห้องคัมภีร์และหยิบจดหมาบจากแหวนนิลวางไว้บนโต๊ะหน้าฉู่เทียนเซิง

“เรียนท่านอาจารย์ จากคำทำนายของแผนที่ดวงดาว, บุคลที่ท่านกำลังตามหาของรัฐนภากระจ่างที่ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับนั้น  หลังจากศิษย์ตรวจสอบและพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว

คนผู้นั้นก็คือจี้เทียนซิง”

“จดหมายลับฉบับนี้เป็นผลมาจากการสืบของสายลับในนิกายเราที่แฝงตัวอยู่ในรัฐนภากระจ่าง  ขอท่านอาจารย์โปรดตรวจสอบดู”

ฉู่เทียนเซิงเลิกคิ้วขึ้นในทันที

ดวงตาเปล่งสีสันแปลกๆและกล่าวว่า “ว่าไงนะ

!? จี้เทียนซิง ? เป็นเขางั้นหรือ

?”

เขาสะบัดมือคว้าจดหมายลับมาเปิดอ่านอย่างรวดเร็วและเพ่งดูอย่างละเอียดแทบทุกตัวอักษร

............

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

ฉู่เทียนเซิงก็สูดหายใจลึกและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง...

คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะสลับซับซ้อนเพียงนี้

ไม่แปลกที่จี้เทียนซิงจะแค้นจี้หลิงถึงขั้นนั้น

วันนั้นยามที่ข้ามองตาเขา

ข้าสัมผัสได้ทันทีว่าจี้เทียนซิงไม่คิดจะอยู่ร่วมโลกกับจี้หลิงอีกแล้ว”

หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวว่า

“สายเลือดกระบี่ลี้ลับเป็นสายเลือดที่จี้เทียนซิงสืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลจี้โดยตรง

จี้หลิงวางแผนชั่วมานับปีเพื่อใช้หลิงหยุนเฟยเป็นเหยื่อล่อ

ลอบฝังลูกปัดครองวิญญาณไว้ในร่างจี้เทียนซิง

จนกระทั่งเวลาสุกงอมก็ช่วงชิงมันมาเป็นของตนเอง

นี่คือเหตุผลว่าทำไมจี้หลิงถึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดินขนาดนี้”

ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“อย่างไรก็ตาม จี้เทียนซิงเคยเป็นเจ้าของสายเลือดกระบี่ลี้ลับ

แต่พลังสายเลือดของเขาถูกจี้หลิงช่วงชิงไปแล้ว

ข้าเกรงว่าเขาจะไม่สามารถเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้อีกแล้วในตอนนี้”

“เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง ถ้ำใต้ดินเป็นความลับระดับสูงสุดของนิกาย ตอนจี้หลิงข้าก็พลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว

ข้าไม่อาจผิดพลาดได้อีก หยุนเหยา แม้ว่าเจ้าจะช่วยข้าสืบหาความจริงทั้งหมด

แต่เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะยอมให้จี้เทียนซิงรู้ความลับของนิกายเพิ่มอีกคนในตอนนี้"

“เขาเพิ่งเข้านิกายได้แค่เดือนเดียว

ลึกๆแล้วเขาอาจจะมิได้มีความภักดีต่อนิกายก็เป็นได้  ข้าควรลอบสังเกตพฤติกรรมของเขาอย่างช้าๆไปก่อน”