ตอนที่ 181

ความมั่นใจของผู้เป็นอัจฉริยะ

ในเวลานั้นลู่หมิงหยางก็ก้าวออกมาจากฝูงชนเช่นกัน

ท่ามกลางเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของเหล่าศิษย์

เขาเดินไปหยุดเบื้องหน้าฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวว่า

“ครูฝึกฮั่น

ศิษย์ก็ประสงค์จะเป็นตัวแทนของนิกายเช่นเดียวกันขอรับ !”

ฮั่นเฉียวเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและไม่พูดอะไรออกมา

นี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้แต่แรก

หอยุทธ์ฟงอวิ๋นเป็นสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฝ่ายนอกและลู่หมิงหยางก็เป็นผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์สูงที่สุด

หากเขาไม่ลงประลองก็ไม่มีใครที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว

ลู่หมิงหยางจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงที่ยืนอยู่เคียงข้างด้วยสีหน้าดูแคลนพลางกล่าวว่า

“จี้เทียนซิง มีเพียงข้าเท่านั้นที่รับมือกับยอดฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้าได้ เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้

อย่าได้ข้ามหน้าข้ามตากันนักซี่”

ก่อนหน้านี้ในข่ายปราณแม่ลูก

เขาพ่ายแพ้และถูกทำลายด้วยน้ำมือจี้เทียนซิง

เขารู้ดีที่สุดว่าแม้จี้เทียนซิงจะมีพลังในขอบเขตปราณแท้

แต่คนผู้นี้ก็สามารถต่อสู้ข้ามขั้นกับยอดฝีมือระดับปราณจิตได้อย่างสบายๆ

อย่างไรก็ตาม

เรื่องนี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่รับรู้กันเอง

ต่อหน้าครูฝึกทั้งสองคน

ลู่หมิงหยางจำเป็นต้องฉวยโอกาสกู้หน้าและกดดันให้จี้เทียนซิงดูด้อยกว่าในสายตาคนอื่น

เมื่อศิษย์ทั้งหลายได้ยินคำพูดของลู่หมิงหยาง

พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวสนับสนุนว่า

“ใช่ๆ

ลู่หมิงหยางมีพลังในขอบเขตปราณจิตและแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา มีเพียงเขาเท่านั้นที่พอจะมีโอกาสเอาชนะศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าได้”

“จี้เทียนซิง เจ้ากล้าหาญถือเป็นเรื่องดี

แต่ควรจะรู้จักประมาณตน”

“นี่เป็นเรื่องสำคัญของฝ่ายนอกและนิกายเรา

จี้เทียนซิง เจ้าอย่าได้ทำให้เสียเรื่อง”

จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อการถกเถียงของเหล่าศิษย์

เขาเหลือบมองลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าราบเรียบ มุมยกโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มอันตรายพลางกล่าวว่า

“ลู่หมิงหยาง

ลืมเรื่องที่เจ็บตัวไปเมื่อวันก่อนแล้วหรือ ?”

ลู่หมิงหยางหน้าถอดสีและสะดุ้งเฮือก

มุมปากของมันกระตุกสองสามที ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นแค้นและคิดที่จะพุ่งเข้าไปชกปากจี้เทียนซิงสักรอบหนึ่ง

แต่สุดท้ายก็ข่มใจไว้ได้

จี้เทียนซิงหันไปมองฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวว่า

“ครูฝึกฮั่น เมื่อคืนก่อนข้าได้ปิดด่านบ่มเพาะจนตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณจิตได้สำเร็จแล้วขอรับ”

ฮั่นเฉียวเซิงกำลังใช้ความคิดและยังไม่อาจตัดสินใจอะไรได้

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง

สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลง ดวงตาทอประกายไปด้วยความยินดี

"เจ้าตัดผ่านแล้ว ?  วิเศษ !"

ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ก็รู้สึกประหลาดใจ

พวกมันตกใจต่อความก้าวหน้าของรวดเร็วของจี้เทียนซิงและอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ

"อะไรนะ ? จี้เทียนซิงเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตแล้ว

?!”

“เป็นไปได้อย่างไร ? เมื่อตอนที่มันเข้านิกายมาเพิ่งจะอยู่ในระดับปราณแท้ขั้นที่ห้าเองมิใช่หรือ

!”

“ในเวลาไม่ถึงสองเดือนมันเลื่อนระดับจากปราณแท้ขั้นห้าไปสู่ปราณจิต...  เหลือเชื่อมาก !”

“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง มีอัจฉริยะที่ก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ด้วยหรือ ??”

“จี้เทียนซิง เจ้าไม่ได้โกหกคำโตใช่ไหม ?”

ศิษย์คนอื่นๆต่างก็ตกใจและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ

บ้างก็เต็มไปด้วยความสงสัย

จี้เทียนซิงถอนหายใจ

เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบาย  จากนั้นก็หันไปที่เสาหินเกลียวที่มุมห้องโถงใหญ่และเหยียดฝ่ามือออกไปทาบ

วูบ

!

เมื่อฝ่ามือของเขาแผ่พุ่งพลังปราณออกมา

เส้นสายสีดำของเสาหินก็เปล่งประกายสีทองในทันที

ทุกคนหันศีรษะไปมองที่เสาหินเกลียวในทันที

เมื่อได้เห็นแสงสีทอง

ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลง

“ขอบเขตปราณจิตขั้นแรก !”

“เหลือเชื่อ ! จี้เทียนซิงผู้นี้ผิดปกติเกินไปแล้ว

!”

“ทั้งเต๋าปรุงยาและเต๋าแห่งข่ายปราณของมันก็เป็นที่หนึ่ง

แม้กระทั่งความเร็วในการบ่มเพาะพลังของมันก็ยังน่าเหลือเชื่อเช่นกัน  ชายคนนี้สุดยอดจริงๆ !”

“ฮึ่ย ! บัดซบ  พวกข้าพยายามอย่างหนักในการทะลวงด่านปราณจิตเพื่อการประเมินในอีกสี่เดือนข้างหน้า

คิดไม่ถึงเลยว่าจี้เทียนซิงจะนำหน้าไปก่อนแล้ว”

ผลทดสอบจากเสาหินเกลียวไม่มีทางผิดพลาด

ปรากฏว่าจี้เทียนซิงเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตแล้วจริงๆ

บัดนี้เขาคือหนึ่งในสองผู้แข็งแกร่งที่สุดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น !

ใบหน้าของลู่หมิงหยางบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

มันกำหมัดจนกระดูกลั่นเอี๊ยดอ๊าดและขบริมฝีปากแน่น  มันไม่กล้าพูดอะไรอีก

ศิษย์คนอื่นๆก็เลิกพูดมากอีกต่อไป

พวกมันเต็มไปด้วยสีหน้าอิจฉาเลื่อมใส

ไม่ว่าจะมองมุมไหน

พรสวรรค์โดยกำเนิดของจี้เทียนซิงก็เหนือล้ำเกินกว่าพวกมันทั้งสิ้น

เหล่าศิษย์หันไปพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะสงบคำลง

ฮั่นเฉียวเซิงหันไปมองจี้เทียนซิงและลู่หมิงหยางพลางพยักหน้าให้  จากนั้นก็เบนสายตาไปยังศิษย์ที่เหลืออีกแปดคนและถามอย่างเคร่งขรึมว่า “สรุปว่ามีเพียงจี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยางเท่านั้นที่เข้าร่วมการประลองงั้นหรือ

?”

“การประลองหลงซานต้องมีสมาชิกทั้งหมดสามคน มีศิษย์คนใดเต็มใจจะเป็นตัวแทนหรือไม่

?”

ศิษย์ที่เหลือหันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก

พวกมันเผยสีหน้าที่ไม่มั่นใจออกมา

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีใครก้าวออกมา

ฮั่นเฉียวเซิงขมวดคิ้วและกล่าวแดกดันว่า

“เฮอะ !

ขายขี้หน้านัก เจ้าพวกใจตุ๊ด  กลายเป็นว่าหอยุทธ์อันดับหนึ่งของฝ่ายนอกมีตัวแทนแค่สองคน

เรื่องนี้คงกลายเป็นที่หัวร่อของนิกายกระบี่ฟ้าแน่แล้ว”

เหล่าศิษย์เต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อนิกายกระบี่ฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้นเนี่ยห่าวก็เดินออกไปคารวะฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“เรียนครูฝึกฮั่น มิใช่พวกเราขลาดเขลาและเกรงกลัวต่อการประลอง

พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์  การต่อสู้ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องนั้นพวกเราทราบดี แต่ความไร้ยางอายของนิกายกระบี่ฟ้าต่างหากที่ทำให้พวกเราเหลืออดและไม่ทันได้ตั้งตัว”

“นอกจากนี้ การประลองหลงซานก็มีความสำคัญมาก

มันไม่เพียงเกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกร

แต่มันยังเป็นหน้าตาของนิกายและฝ่ายนอกอีกด้วย”

“ข้าเชื่อว่าพวกเราจะต้องพ่ายให้แก่ยอดฝีมือระดับปราณจิตของฝ่ายนั้นแน่นอน

ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเสนอหน้าออกไปสู้ เพราะมันไม่เพียงแค่ทำให้นิกายเราพ่ายแพ้  ไม่เพียงทำให้สูญเสียกรรมสิทธิ์ครองภูเขามังกร

แต่มันยังทำให้นิกายต้องขายหน้าอีกด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่ข้าลังเลที่จะออกไป”

คำพูดของเนี่ยห่าวคือหัวใจหลักของสถานการณ์ที่อึมครึมในตอนนี้และเป็นคำพูดที่ติดอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเนี่ยห่าว

ตู้หวู่ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง

จากนั้นก็หันไปหาฮั่นเฉียวเซิงพลางกล่าวว่า

“ท่านพี่ฮั่น

ในเมื่อนิกายกระบี่ฟ้าชั่วช้าไร้ยางอาย

เช่นนั้นพวกเราก็ไปปรึกษาท่านประมุขนิกายกันเถอะ

ขอให้ท่านเสนอตัวศิษย์ฝ่ายในสักคนสองคนให้ปลอมตัวเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเราและออกไปเป็นตัวแทนในการประลองหลงซาน

ความคิดนี้ท่านเห็นว่าเป็นไง ?”

ข้อเสนอของตู้หวู่ได้รับการเห็นชอบจากเหล่าศิษย์ทั้งหลายในทันที

ฮั่นเฉียวเซิงหลับตานวดหว่างคิ้วและครุ่นคิดข้อเสนอของตู้หวู่

แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธ “ถึงแม้นิกายกระบี่ฟ้าจะชั่วช้าและดูเหมือนจะคดโกงนิกายเรา

แต่ทว่าศิษย์ทั้งสามที่เป็นตัวแทนของพวกมันก็เป็นศิษย์ใหม่จริงๆ

เรื่องนี้ทุกคนต่างรับรู้และเถียงไม่ได้”

“แต่การจะให้ข้าร้องขอต่อท่านประมุขให้ลอบนำศิษย์ฝ่ายในมาปลอมตัวเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเพื่อเข้าประลอง  หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะยิ่งถูกหัวเราะเยาะจากนิกายกระบี่ฟ้าและคนทั่วหล้า.....

เรื่องนี้ข้าไม่มีวันทำได้หรอก !”

ตู้หวู่ถอนหายใจ

เขารู้นิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของฮั่นเฉียวเซิงเป็นอย่างดีและถามต่อไปว่า “แล้วท่านจะทำอย่างไร ?  ให้จี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยางสองคนออกไปสู้กับสามศิษย์อัจฉริยะของนิกายกระบี่ฟ้าเช่นนั้นหรือ ?”

“สามคนนั้นมีพลังในขอบเขตปราณจิต คนแรกขั้นสอง

คนที่สองขั้นสาม ส่วนคนสุดท้ายฮั่งเชิน

ว่ากันว่ามันผู้นี้มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นห้าเข้าไปแล้ว !”

ก่อนหน้านี้ฮั่นเฉียวเซิงมิได้อธิบายถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสามศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ฟ้า

แต่ตอนนี้ศิษย์ทุกคนได้ยินจากปากของตู้หวู่แล้วว่าหนึ่งในนั้นมีพลังระดับปราณจิตขั้นห้า  พวกมันสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความตกตะลึงและตะโกนออกมาทันที

“ว่าไงนะ ? มียอดฝีมือระดับปราณจิตขั้นห้าอยู่ในสามคนนั่นอีกด้วย

?!”

“มารดามันเถอะ ! ล้อเล่นกันหรือไร

?!”

“บัดซบ ระดับต่างกันเกินไปแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยาง

ต่อให้ร่วมมือกันกรุ้มรุมก็ไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่”

“ซู้ด........

ศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้า...

นิกายกระบี่ฟ้าช่างล้ำลึกไร้ที่ตินัก !”

“ลู่หมิงหยางกับจี้เทียนซิงมีพลังเพียงขอบเขตปราณจิตขั้นแรก  การประลองครั้งนี้ไม่มีหวังเลย

พวกเราพ่ายแพ้แน่นอน!”

ไม่เพียงแค่เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ตะโกนโหวกเหวกด้วยความท้อแท้สิ้นหวังเท่านั้น

แม้กระทั่งลู่หมิงหยางเองก็ยังมีสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เช่นกัน

ในใจของมันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

มีเพียงจี้เทียนซิงเท่านั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป

ท่วงท่าและการแสดงออกของเขาสงบนิ่งมั่นคง

เขากำหมัดให้ฮั่นเฉียวเซิงและร่ำร้องออกมาว่า “ครูฝึกฮั่น

นิกายกระบี่ฟ้าชั่วช้าไร้ยางอาย แต่นิกายเราก็ใช่ว่าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมคดโกงกับพวกมันได้  พวกเราเป็นฝ่ายธรรมะที่เปิดเผยซื่อสัตย์มาโดยตลอด  ดังนั้นข้าขอให้ครูฝึกฮั่นวางใจ

ถึงแม้พวกมันทั้งสามจะแข็งแกร่งแค่ไหนข้าก็ไม่หวั่น

ต่อให้มีข้าลงประลองเพียงผู้เดียวก็จะคว้าชัยชนะมาสู่นิกายได้อย่างแน่นอน !”