ความมั่นใจของผู้เป็นอัจฉริยะ
ในเวลานั้นลู่หมิงหยางก็ก้าวออกมาจากฝูงชนเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของเหล่าศิษย์
เขาเดินไปหยุดเบื้องหน้าฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวว่า
“ครูฝึกฮั่น
ศิษย์ก็ประสงค์จะเป็นตัวแทนของนิกายเช่นเดียวกันขอรับ !”
ฮั่นเฉียวเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและไม่พูดอะไรออกมา
นี่คือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้แต่แรก
หอยุทธ์ฟงอวิ๋นเป็นสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาฝ่ายนอกและลู่หมิงหยางก็เป็นผู้ที่มีระดับพลังยุทธ์สูงที่สุด
หากเขาไม่ลงประลองก็ไม่มีใครที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
ลู่หมิงหยางจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงที่ยืนอยู่เคียงข้างด้วยสีหน้าดูแคลนพลางกล่าวว่า
“จี้เทียนซิง มีเพียงข้าเท่านั้นที่รับมือกับยอดฝีมือของนิกายกระบี่ฟ้าได้ เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณแท้
อย่าได้ข้ามหน้าข้ามตากันนักซี่”
ก่อนหน้านี้ในข่ายปราณแม่ลูก
เขาพ่ายแพ้และถูกทำลายด้วยน้ำมือจี้เทียนซิง
เขารู้ดีที่สุดว่าแม้จี้เทียนซิงจะมีพลังในขอบเขตปราณแท้
แต่คนผู้นี้ก็สามารถต่อสู้ข้ามขั้นกับยอดฝีมือระดับปราณจิตได้อย่างสบายๆ
อย่างไรก็ตาม
เรื่องนี้มีเพียงพวกเขาสองคนที่รับรู้กันเอง
ต่อหน้าครูฝึกทั้งสองคน
ลู่หมิงหยางจำเป็นต้องฉวยโอกาสกู้หน้าและกดดันให้จี้เทียนซิงดูด้อยกว่าในสายตาคนอื่น
เมื่อศิษย์ทั้งหลายได้ยินคำพูดของลู่หมิงหยาง
พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวสนับสนุนว่า
“ใช่ๆ
ลู่หมิงหยางมีพลังในขอบเขตปราณจิตและแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเรา มีเพียงเขาเท่านั้นที่พอจะมีโอกาสเอาชนะศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าได้”
“จี้เทียนซิง เจ้ากล้าหาญถือเป็นเรื่องดี
แต่ควรจะรู้จักประมาณตน”
“นี่เป็นเรื่องสำคัญของฝ่ายนอกและนิกายเรา
จี้เทียนซิง เจ้าอย่าได้ทำให้เสียเรื่อง”
จี้เทียนซิงเพิกเฉยต่อการถกเถียงของเหล่าศิษย์
เขาเหลือบมองลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าราบเรียบ มุมยกโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มอันตรายพลางกล่าวว่า
“ลู่หมิงหยาง
ลืมเรื่องที่เจ็บตัวไปเมื่อวันก่อนแล้วหรือ ?”
ลู่หมิงหยางหน้าถอดสีและสะดุ้งเฮือก
มุมปากของมันกระตุกสองสามที ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นแค้นและคิดที่จะพุ่งเข้าไปชกปากจี้เทียนซิงสักรอบหนึ่ง
แต่สุดท้ายก็ข่มใจไว้ได้
จี้เทียนซิงหันไปมองฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวว่า
“ครูฝึกฮั่น เมื่อคืนก่อนข้าได้ปิดด่านบ่มเพาะจนตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณจิตได้สำเร็จแล้วขอรับ”
ฮั่นเฉียวเซิงกำลังใช้ความคิดและยังไม่อาจตัดสินใจอะไรได้
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง
สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายลง ดวงตาทอประกายไปด้วยความยินดี
"เจ้าตัดผ่านแล้ว ? วิเศษ !"
ทันใดนั้นเหล่าศิษย์ก็รู้สึกประหลาดใจ
พวกมันตกใจต่อความก้าวหน้าของรวดเร็วของจี้เทียนซิงและอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
"อะไรนะ ? จี้เทียนซิงเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตแล้ว
?!”
“เป็นไปได้อย่างไร ? เมื่อตอนที่มันเข้านิกายมาเพิ่งจะอยู่ในระดับปราณแท้ขั้นที่ห้าเองมิใช่หรือ
!”
“ในเวลาไม่ถึงสองเดือนมันเลื่อนระดับจากปราณแท้ขั้นห้าไปสู่ปราณจิต... เหลือเชื่อมาก !”
“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่านี่เป็นเรื่องจริง มีอัจฉริยะที่ก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้ด้วยหรือ ??”
“จี้เทียนซิง เจ้าไม่ได้โกหกคำโตใช่ไหม ?”
ศิษย์คนอื่นๆต่างก็ตกใจและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ
บ้างก็เต็มไปด้วยความสงสัย
จี้เทียนซิงถอนหายใจ
เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบาย จากนั้นก็หันไปที่เสาหินเกลียวที่มุมห้องโถงใหญ่และเหยียดฝ่ามือออกไปทาบ
วูบ
!
เมื่อฝ่ามือของเขาแผ่พุ่งพลังปราณออกมา
เส้นสายสีดำของเสาหินก็เปล่งประกายสีทองในทันที
ทุกคนหันศีรษะไปมองที่เสาหินเกลียวในทันที
เมื่อได้เห็นแสงสีทอง
ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลง
“ขอบเขตปราณจิตขั้นแรก !”
“เหลือเชื่อ ! จี้เทียนซิงผู้นี้ผิดปกติเกินไปแล้ว
!”
“ทั้งเต๋าปรุงยาและเต๋าแห่งข่ายปราณของมันก็เป็นที่หนึ่ง
แม้กระทั่งความเร็วในการบ่มเพาะพลังของมันก็ยังน่าเหลือเชื่อเช่นกัน ชายคนนี้สุดยอดจริงๆ !”
“ฮึ่ย ! บัดซบ พวกข้าพยายามอย่างหนักในการทะลวงด่านปราณจิตเพื่อการประเมินในอีกสี่เดือนข้างหน้า
คิดไม่ถึงเลยว่าจี้เทียนซิงจะนำหน้าไปก่อนแล้ว”
ผลทดสอบจากเสาหินเกลียวไม่มีทางผิดพลาด
ปรากฏว่าจี้เทียนซิงเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตแล้วจริงๆ
บัดนี้เขาคือหนึ่งในสองผู้แข็งแกร่งที่สุดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น !
ใบหน้าของลู่หมิงหยางบิดเบี้ยวอัปลักษณ์
มันกำหมัดจนกระดูกลั่นเอี๊ยดอ๊าดและขบริมฝีปากแน่น มันไม่กล้าพูดอะไรอีก
ศิษย์คนอื่นๆก็เลิกพูดมากอีกต่อไป
พวกมันเต็มไปด้วยสีหน้าอิจฉาเลื่อมใส
ไม่ว่าจะมองมุมไหน
พรสวรรค์โดยกำเนิดของจี้เทียนซิงก็เหนือล้ำเกินกว่าพวกมันทั้งสิ้น
เหล่าศิษย์หันไปพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะสงบคำลง
ฮั่นเฉียวเซิงหันไปมองจี้เทียนซิงและลู่หมิงหยางพลางพยักหน้าให้ จากนั้นก็เบนสายตาไปยังศิษย์ที่เหลืออีกแปดคนและถามอย่างเคร่งขรึมว่า “สรุปว่ามีเพียงจี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยางเท่านั้นที่เข้าร่วมการประลองงั้นหรือ
?”
“การประลองหลงซานต้องมีสมาชิกทั้งหมดสามคน มีศิษย์คนใดเต็มใจจะเป็นตัวแทนหรือไม่
?”
ศิษย์ที่เหลือหันไปมองหน้ากันเลิกลั่ก
พวกมันเผยสีหน้าที่ไม่มั่นใจออกมา
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีใครก้าวออกมา
ฮั่นเฉียวเซิงขมวดคิ้วและกล่าวแดกดันว่า
“เฮอะ !
ขายขี้หน้านัก เจ้าพวกใจตุ๊ด กลายเป็นว่าหอยุทธ์อันดับหนึ่งของฝ่ายนอกมีตัวแทนแค่สองคน
เรื่องนี้คงกลายเป็นที่หัวร่อของนิกายกระบี่ฟ้าแน่แล้ว”
เหล่าศิษย์เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อนิกายกระบี่ฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
จากนั้นเนี่ยห่าวก็เดินออกไปคารวะฮั่นเฉียวเซิงและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“เรียนครูฝึกฮั่น มิใช่พวกเราขลาดเขลาและเกรงกลัวต่อการประลอง
พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ การต่อสู้ย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องนั้นพวกเราทราบดี แต่ความไร้ยางอายของนิกายกระบี่ฟ้าต่างหากที่ทำให้พวกเราเหลืออดและไม่ทันได้ตั้งตัว”
“นอกจากนี้ การประลองหลงซานก็มีความสำคัญมาก
มันไม่เพียงเกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกร
แต่มันยังเป็นหน้าตาของนิกายและฝ่ายนอกอีกด้วย”
“ข้าเชื่อว่าพวกเราจะต้องพ่ายให้แก่ยอดฝีมือระดับปราณจิตของฝ่ายนั้นแน่นอน
ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเสนอหน้าออกไปสู้ เพราะมันไม่เพียงแค่ทำให้นิกายเราพ่ายแพ้ ไม่เพียงทำให้สูญเสียกรรมสิทธิ์ครองภูเขามังกร
แต่มันยังทำให้นิกายต้องขายหน้าอีกด้วย นี่ต่างหากคือเหตุผลที่ข้าลังเลที่จะออกไป”
คำพูดของเนี่ยห่าวคือหัวใจหลักของสถานการณ์ที่อึมครึมในตอนนี้และเป็นคำพูดที่ติดอยู่ในใจของศิษย์ทุกคน
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเนี่ยห่าว
ตู้หวู่ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง
จากนั้นก็หันไปหาฮั่นเฉียวเซิงพลางกล่าวว่า
“ท่านพี่ฮั่น
ในเมื่อนิกายกระบี่ฟ้าชั่วช้าไร้ยางอาย
เช่นนั้นพวกเราก็ไปปรึกษาท่านประมุขนิกายกันเถอะ
ขอให้ท่านเสนอตัวศิษย์ฝ่ายในสักคนสองคนให้ปลอมตัวเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเราและออกไปเป็นตัวแทนในการประลองหลงซาน
ความคิดนี้ท่านเห็นว่าเป็นไง ?”
ข้อเสนอของตู้หวู่ได้รับการเห็นชอบจากเหล่าศิษย์ทั้งหลายในทันที
ฮั่นเฉียวเซิงหลับตานวดหว่างคิ้วและครุ่นคิดข้อเสนอของตู้หวู่
แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหัวปฏิเสธ “ถึงแม้นิกายกระบี่ฟ้าจะชั่วช้าและดูเหมือนจะคดโกงนิกายเรา
แต่ทว่าศิษย์ทั้งสามที่เป็นตัวแทนของพวกมันก็เป็นศิษย์ใหม่จริงๆ
เรื่องนี้ทุกคนต่างรับรู้และเถียงไม่ได้”
“แต่การจะให้ข้าร้องขอต่อท่านประมุขให้ลอบนำศิษย์ฝ่ายในมาปลอมตัวเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเพื่อเข้าประลอง หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะยิ่งถูกหัวเราะเยาะจากนิกายกระบี่ฟ้าและคนทั่วหล้า.....
เรื่องนี้ข้าไม่มีวันทำได้หรอก !”
ตู้หวู่ถอนหายใจ
เขารู้นิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาของฮั่นเฉียวเซิงเป็นอย่างดีและถามต่อไปว่า “แล้วท่านจะทำอย่างไร ? ให้จี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยางสองคนออกไปสู้กับสามศิษย์อัจฉริยะของนิกายกระบี่ฟ้าเช่นนั้นหรือ ?”
“สามคนนั้นมีพลังในขอบเขตปราณจิต คนแรกขั้นสอง
คนที่สองขั้นสาม ส่วนคนสุดท้ายฮั่งเชิน
ว่ากันว่ามันผู้นี้มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นห้าเข้าไปแล้ว !”
ก่อนหน้านี้ฮั่นเฉียวเซิงมิได้อธิบายถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของสามศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายกระบี่ฟ้า
แต่ตอนนี้ศิษย์ทุกคนได้ยินจากปากของตู้หวู่แล้วว่าหนึ่งในนั้นมีพลังระดับปราณจิตขั้นห้า พวกมันสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความตกตะลึงและตะโกนออกมาทันที
“ว่าไงนะ ? มียอดฝีมือระดับปราณจิตขั้นห้าอยู่ในสามคนนั่นอีกด้วย
?!”
“มารดามันเถอะ ! ล้อเล่นกันหรือไร
?!”
“บัดซบ ระดับต่างกันเกินไปแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงกับลู่หมิงหยาง
ต่อให้ร่วมมือกันกรุ้มรุมก็ไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่”
“ซู้ด........
ศิษย์ฝ่ายนอกที่มีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ห้า...
นิกายกระบี่ฟ้าช่างล้ำลึกไร้ที่ตินัก !”
“ลู่หมิงหยางกับจี้เทียนซิงมีพลังเพียงขอบเขตปราณจิตขั้นแรก การประลองครั้งนี้ไม่มีหวังเลย
พวกเราพ่ายแพ้แน่นอน!”
ไม่เพียงแค่เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่ตะโกนโหวกเหวกด้วยความท้อแท้สิ้นหวังเท่านั้น
แม้กระทั่งลู่หมิงหยางเองก็ยังมีสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เช่นกัน
ในใจของมันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
มีเพียงจี้เทียนซิงเท่านั้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป
ท่วงท่าและการแสดงออกของเขาสงบนิ่งมั่นคง
เขากำหมัดให้ฮั่นเฉียวเซิงและร่ำร้องออกมาว่า “ครูฝึกฮั่น
นิกายกระบี่ฟ้าชั่วช้าไร้ยางอาย แต่นิกายเราก็ใช่ว่าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมคดโกงกับพวกมันได้ พวกเราเป็นฝ่ายธรรมะที่เปิดเผยซื่อสัตย์มาโดยตลอด ดังนั้นข้าขอให้ครูฝึกฮั่นวางใจ
ถึงแม้พวกมันทั้งสามจะแข็งแกร่งแค่ไหนข้าก็ไม่หวั่น
ต่อให้มีข้าลงประลองเพียงผู้เดียวก็จะคว้าชัยชนะมาสู่นิกายได้อย่างแน่นอน !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved