ตอนที่ 386  แผนการของเทียนจือ

"นับจากนี้ไปก็จงเป็นศิษย์รับใช้ต่อไปเถอะ

!”

เมื่อได้ยินวาจาเกรี้ยวกราดเปี่ยมโทสะของหลงหยุนเซียว

ไป๋หวู่เชินพลันแข็งค้างอย่างโง่งมในทันที

เดิมทีมันคิดว่า เมื่อแจ้งข่าวต่อเทียนจือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจี้เทียนซิงกับหยุนเหยา

อีกฝ่ายคงต้องพิโรธโกรธกริ้วเป็นการใหญ่

ในฐานะที่เป็นโอรสสวรรค์ที่โดดเด่น

เป็นบุตรแห่งตี้จวินผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า การที่ว่าที่ชายาในอนาคตถูกชิงไปนับว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง

หากคิดจากสามัญสำนึกทั่วไป

เทียนจือสมควรสั่งจับกุมตัวหยุนเหยาที่ทำให้ต้องเสียหน้า จากนั้นใช้วิธีการที่รุนแรงเพื่อลงโทษหรือแม้แต่กำจัดอีกฝ่ายให้พ้นหูพ้นตา

ด้วยวิธีการนี้ถึงจะสาสมแก่ใจของไป๋หวู่เชิน

หลังจากมันถูกปลดจากฐานะศิษย์ฝ่ายใน มันตกเป็นที่หัวเราะเยาะของทุกคนในนิกาย

ชื่อสร้างบารมีที่สั่งสมมาถูกลบล้างหมดสิ้น

ความอัปยศอดสูและความเกลียดชังอย่างสุดแสนทำให้จิตใจของมันบิดเบี้ยว

ต่อให้มันมิได้ครอบครองหยุนเหยา

มันก็ไม่มีวันยอมให้จี้เทียนซิงได้นางไปเช่นกัน !

อย่างไรก็ตาม แทนที่เทียนจือจะพิโรธโกรธแค้น

พระองค์กลับด่าทอมันแทน

คำพูดของจักรพรรดิมีค่าดั่งทอง

พระองค์นับว่ามีอิทธิพลต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นอย่างมาก !

หากเทียนจือกล่าวว่าจะให้มันเป็นศิษย์รับใช้ไปชั่วชีวิต

ดังนั้นมันก็จะต้องเป็นศิษย์รับใช้ชั่วชีวิต !

นับจากบัดนี้ไป

ชีวิตในครึ่งหลังของไป๋หวู่เชินพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ !

มันจ้องมองเทียนจือด้วยสีหน้าตกตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

คนแทบอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธ

มันไม่เข้าใจว่าทำไมเทียนจือถึงมิได้โกรธเคือง

เมื่อได้ยินว่าหยุนเหยาสนิทสนมกับจี้เทียนซิง ?

เมื่อได้เห็นสีหน้าตกตะลึงเหม่อลอยของไป๋หวู่เชิน

หลงหยุนเซียวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาพลางตะคอกเสียงแข็งว่า “เจ้ามัวบื้ออะไรอยู่ ไสหัวไป !”

ไป๋หวู่เชินได้สติกลับมา

คนกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เทียนจืออย่าได้มีโทสะ ! ที่ข้าน้อยพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง

มิได้โป้ปดแม้แต่น้อย”

"เทียนจือ

ข้าน้อยถูกจี้เทียนซิงกลั่นแกล้งรังแก....."

ก่อนที่มันจะพูดจบ หลงหยุนเซียวจ้องมองไปที่นายพลหยูฉิน

ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับทราบในทันที คนเหยียดมือออกไปคว้าจับลำคอของไป๋หวู่เชิน

ลากมันออกจากห้อง

ไป๋หวู่เชินสะบัดตัวดิ้นรนอย่างหนัก

แต่มันก็ไม่สามารถหลุดจากเงื้อมมือนายพลหยูได้แม้แต่น้อย

ต่อหน้าตัวตนระดับนายพลหยูฉินผู้ยิ่งใหญ่

มันดูผอมแห้งและอ่อนแอราวกับไก่ป่วย มิอาจขัดขืนใดๆได้

นายพลหยูฉินลากมันออกจากห้อง

ผ่านลานกว้างและโยนมันออกนอกประตูตำหนัก

ใบหน้าของไป๋หวู่เชินเต็มไปด้วยฝุ่น

สารรูปที่ถูกจับโยนออกไปนั้นช่างดูอดสูน่าเวทนา

โชคดีที่ตอนนี้เป็นยามดึกสงัดจึงไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือได้ยินเสียงร่ำร้องของมัน

มันลุกขึ้นปัดฝุ่นที่เปรอะไปทั่วตัว

มองไปยังตำหนักในด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง

คนกำหมัดและขมกรามแน่นด้วยความโมโห

ความเคียดแค้นเกลียดชังเอ่อล้นไปทั่วหัวใจของมัน จะหันหน้าไปทางไหนก็ไม่มีผู้ใดช่วยมันได้

"บัดซบเอ๊ย !  บัดซบที่สุด ! อย่างเจ้าสมควรแล้วที่ถูกแย่งสตรีไป !”

มันคำรามอย่างลับๆ ก้นด่าสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง

"ข้าอุตส่าห์บอกเจ้าด้วยเจตนาที่ดี

เจ้าไม่เพียงไม่ขอบคุณข้าแต่ยังสั่งให้ข้าเป็นศิษย์รับใช้ เจ้าทำลายชีวิตข้า !”

"เดรัจฉาน ! เดรัจฉานจี้เทียนซิง เจ้าก็ด้วย

พวกเจ้าทุกคนไปตายกันให้หมดเลย !!”

ไป๋หวูเชินยืนอยู่ด้านนอกประตูตำหนักเทียนเหอและเห่าหอนอยู่นาน

ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อเดินจากไป”

อีกด้านหนึ่ง นายพลหยูฉินก็ได้กลับไปที่ห้องของหลงหยุนเซียวแล้ว

เมื่อได้เห็นสีหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจังของอีกฝ่าย

นายพลหยูฉินกำหมัดโค้งคำนับแล้วถามว่า “เทียนจือ

ฟังจากคำพูดและการตอบสนองของไป๋หวู่เชิน

บางช่วงบางตอนสิ่งที่มันพูดมามิคล้ายจะเป็นเรื่องโกหก

ไฉนพระองค์ถึงได้จัดการกับมันเช่นนี้เล่าขอรับ ?"

หลงหยุนเซียวแสยะยิ้มมุมปาก

ใบหน้าเผยอาการดูถูกเหยียดหยามกล่าวว่า “เราเทียนจือย่อมทราบดีว่าบางเรื่องที่ไป๋หวู่เชินพูดมาเป็นความจริง

เหยาเหยาสนิทสนมกับจี้เทียนซิงมาก"

"อย่างไรก็ตาม

สำหรับเรื่องนี้เรามีความคิดอ่านของเราเอง

จำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องเต้นไปตามเกมของคนชั่วช้าอย่างมัน ?"

"มันกลับดำเป็นขาวปกปิดข้อเท็จจริงต่อหน้าเรา

ใส่ร้ายป้ายสีจี้เทียนซิงก็เพราะมันถูกความโกรธเกลียดเข้าครอบงำ  มันไม่มีความสามารถพอจะล้างแค้นได้ด้วยตัวเอง

ดังนั้นมันจึงต้องการยืมมือเราจัดการกับจี้เทียนซิง !”

"เฮอะ   คนชั่วช้าเจ้าเล่ห์คิดว่าตนเองฉลาด

หวังจะหลอกใช้เราเทียนจืองั้นหรือ ? น่าขันนัก !”

หลังจากฟังคำอธิบายของหลงหยุนเซียว

นายพลหยูฉินก็ตระหนักได้ในทันทีและกล่าวว่า “เทียนจือช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก

ความคิดอ่านของผู้ที่มีจิตใจสกปรกมิอาจเล็ดรอดสายตาพระองค์ไปได้เลย"

หลงหยุนเซียวโบกมืออย่างสง่างาม

คนกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า

“ไม่ต้องพูดถึงบุคลผู้นั้นแล้ว

เข้าเรื่องภารกิจกันเลยดีกว่า”

นายพลหยูฉินโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและถามว่า “เทียนจือ

พระองค์คิดแก้ปัญหาเรื่องความบาดหมางระหว่างพันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้าอย่างไรขอรับ

?"

หลงหยุนเซียวกล่าวช้าๆว่า

“ก่อนหน้านี้ฉู่เทียนเซิงรายงานเหตุผลอย่างละเอียดต่อเราอย่างลับๆมาบ้างแล้ว”

“ประมุขฉู่สงสัยว่ามีพวกเผ่าพันธุ์มารปีศาจแฝงตัวอยู่ในนิกายกระบี่ฟ้า

วางแผนเป่าหูเทียนเจี้ยนจงและยั่วยุให้สองนิกายประจัญหน้ากัน"

นายพลหยูฉินพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ย่อมเป็นไปได้ขอรับ

ก่อนหน้านี้ตี้ซื่อเคยพูดว่าอาณาจักรเทียนเฉินมีไอมารปะทุซ่าน

มีมารปีศาจหลบซ่อนอยู่ในดินแดนนี้”

“อืม” หลงหยุนเซียวพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวเสียงราบเรียบว่า

“เราได้รับบัญชาจากพระบิดาให้มาตรวจสอบสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรเทียนเฉิน

และเป้าหมายหลักก็คือการกำจัดพวกมารที่หลงเหลือ !”

“ตราบเท่าที่พวกมารชั่วได้ถูกกำจัด

ความเกลียดชังระหว่างพันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้าย่อมได้รับการแก้ไขในแนวทางที่ดี"

นายพลหยูฉินขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นถามไปว่า “เทียนจือ

เช่นนั้นพวกเราควรดำเนินการอย่างไรต่อไปขอรับ ? เริ่มจากตรวจสอบการเคลื่อนไหวของพวกมารดีหรือไม่

?”

หลงหยุนเซียวผงกศีรษะและสั่งการด้วยท่าทางองอาจผ่าเผย

“นายพลหยูฉิน

ตอนนี้ท่านนำแผ่นมังกรเทียนซวนออกมา เราจะตรวจจับรัศมีพลังปราณของพวกมาร”

"เราอยากดูว่ามีพวกมารหลงเหลืออีกจำนวนมากน้อยเท่าใดในดินแดนดาราบรรพกาล

ดูว่าพวกมันกล้าดียังไงถึงได้มาอาละวาดในอาณาเขตของเรา !”

"รับบัญชาขอรับ !”

นายพลหยูฉินป้องมือรับคำสั่ง

จากนั้นหยิบกล่องอาคมสีทองออกมาจากแหวนมิติอย่างรวดเร็ว

อาคมทองคำกล่องนี้ทำจากวัสดุไม่ทราบที่มา

ทั่วทั้งกล่องเป็นสีทองเข้ม ขอบแกะสลักด้วยลวดลายมังกรและเส้นสายอาคมจำนวนมาก

วู้ม  !

ในขณะที่นายพลหยูฉินปลดปล่อยปราณยุทธ์มหาศาลให้ถ่ายเทเข้าไปในนั้น

ทั่วทั้งอาคมขยายออกเป็นข่ายอาคมขนาดใหญ่ที่กว้างห้าเมตร ยาวห้าเมตรในพริบตา

ภายในข่ายอาคมมีเพียงความมืดมิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อนายพลหยูฉินร่ายเคล็ดอาคมด้วยสองมือ

ลำแสงสีทองเข้มพลันส่องสว่างเจิดจ้าในข่ายอาคม ควบแน่นก่อตัวขึ้นเป็นม่านแสง

เส้นสายอักขระเส้นแล้วเส้นเล่าปรากฏขึ้นบนม่านแสง

มันลากเป็นภูเขา แม่น้ำและป่าอันกว้างใหญ่จนไปถึงทุ่งหญ้าอาณาเขตไพศาล

ภายในครึ่งชั่วยาม ภาพมายาที่สมบูรณ์แบบได้ปรากฏขึ้นในม่านแสง

มันเป็นแผนที่ที่สมบูรณ์ยิ่งของดินแดนดาราบรรพกาลทั้งหมด

นายพลหยูฉินยังคงร่ายอาคมลับในการสำรวจไอมารโดยอาศัยพลังของแผ่นมังกรเทียนซวน

หลงหยุนเซียวกอดอกและจ้องมองไปในแผนที่ รอคอยอย่างสงบและอดทน

หลังจากผ่านไปราวๆหนึ่งร้อยลมหายใจ

เมื่อนายพลหยูฉินหยุดร่ายอาคม

แผนที่ของแผ่นมังกรเทียนซวนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที

พื้นที่สองจุดในแผนที่พลันส่องสว่างไปด้วยแสงสีดำและกลั่นตัวเป็นหมอกทมิฬ

หนึ่งในกลุ่มหมอกทมิฬนี้มีความมืดมิดที่หนาแน่นมาก

มันตั้งอยู่ใจกลางของแผนที่เยื้องไปทางทิศใต้ ส่วนหมอกทมิฬอีกจุดหนึ่งดูเบาบางกว่า, อยู่ทางทิศตะวันตก

หมอกสีดำที่ดูเบาบางบ่งชี้ว่าไอมารนั้นอ่อนแอ

ความแข็งแกร่งของพวกมาร ณ สถานที่แห่งนั้นอ่อนแอ

และจุดที่หมอกทมิฬหนาแน่นเป็นสีดำมิดก็ย่อมหมายความว่าไอมารในสถานที่นั้นรุนแรง

เหล่ามารก็ต้องแข็งแกร่งทรงพลังมาก