ตอนที่ 21

แผนของหยุนเหยา

จนกระทั่งเสียงอันไพเราะของสตรีบนชั้น

2 เงียบลง เหล่าผู้มีพรสวรรค์ในห้องโถงใหญ่ถึงจะคืนสติ

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองห้องบนชั้นสอง

เผยให้เห็นถึงความเกรงกลัว ทุกคนสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า

บุคคลที่สามารถใช้คลื่นกระบี่ปัดป้องเงากระบี่ของฮวาหยุนเฟยและระเบิดทะลุพื้นหินอ่อนจนเป็นรอยแตกได้นั้นย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นสูง

!

น้ำเสียงของสตรีนางนี้ฟังดูยังเยาว์วัยนัก

นางน่าจะมีอายุราวๆ 17-18 ปีเท่านั้น

เหล่ารุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ที่ชาญฉลาดบางคนสามารถคาดเดาตัวตนของนางได้ทันทีว่า

แม่นางผู้ซัดคลื่นกระบี่ออกมานั้นย่อมเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายหนุนสวรรค์ !

ทุกคนต่างก็หันไปมองหน้ากันด้วยสายตางุนงง

เพราะก่อนหน้านี้องค์ชายจี้หลิงไม่ได้เอ่ยปากแม้แต่คำเดียวเลยว่านิกายหนุนสวรรค์จะมาในคืนนี้

ในเวลานี้เอง

ทุกคนรับรู้ได้ในที่สุด

ที่แท้นิกายหนุนสวรค์มาได้เนิ่นนานแล้ว

เพียงแต่พวกเขาคร้านที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขาทุกคนในห้องโถงใหญ่นั่นเอง

บรรยากาศทั่วทั้งห้องโถงหลักกลายเป็นเงียบสงัดจนกระทั่งเข็มตกสักเล่มก็ยังได้ยิน

ทุกคนมองไปที่ชั้นสองด้วยความกลัวและไม่กล้าทำเสียงดัง

เนื่องจากตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่านิกายหนุนสวรรค์อยู่ที่ชั้นสอง

ฮวาหยุนเฟยผู้ซึ่งตกตะลึงและอาเจียนโลหิตออกมาค่อยๆชันกายลุกขึ้นอย่างสั่นสะท้าน

จากนั้นก็มองไปที่จี้เทียนซิงและไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

ในใจของเขาสะสมความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าเอาไว้เต็มเปี่ยม

แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงระงับอารมณ์ไว้

เพราะแม่นางบนชั้นสองผู้นั้นได้แสดงเจตนาเตือนเขาไว้แล้ว หากเขายังกล้าที่จะลงมืออีกครั้ง

รับรองว่าคลื่นกระบี่ระลอกต่อไปต้องกระทบเข้าที่ร่างเขาอย่างแน่นอน

ใบหน้าของหลิงหยุนเฟยกลายเป็นน่าเกลียด

ดวงตาของนางกระพริบถี่ด้วยประกายแสงอันเย็นชา

นางจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชั้นสอง

“บัดซบ ! เห็นอยู่โทนโท่ว่าจี้เทียนซิงกำลังจะชะตาขาดภายใต้เงากระบี่ของฮวาหยุนเฟยอยู่แล้วเชียว

จู่ๆมันก็ได้รับการช่วยเหลือจากนิกายหนุนสวรรค์ไปเสียได้ !”

“หมอนั่นมีเรื่องอะไรกับคนของนิกายหนุนสวรรค์ ? ทำไมแม่นางผู้นั้นถึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ?”

หลิงหยุนเฟยไม่เข้าใจและนางก็ไม่เห็นว่าจี้เทียนซิงจะมีอะไรพิเศษมากจนต้องทำให้นิกายหนุนสวรรค์สอดมือปกป้อง

อย่างไรก็ตาม

เมื่อนางกลับไปขบคิดเครื่องนี้ นางก็พยายามระงับโทสะเอาไว้ชั่วคราว  “ในงานเลี้ยงมีคนเยอะเกินไป

หากปล่อยให้ฮวาหยุนเฟยตามสังหารมันย่อมเป็นเรื่องไม่ดีแน่  แต่จากที่ดูการประมือเมื่อครู่

อย่างมากมันก็มีพลังในระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 เท่านั้น   เช่นนี้...

เมื่อใดก็ตามที่มันออกไปจากวังวิญญาณเพลิง ข้าจะไม่ให้มันได้กลับถึงตระกูลจี้ !”

รุ่นเยาว์มากพรสวรรค์หลายสิบคนในห้องโถงใหญ่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากพูด

รวมไปถึงในห้องบนชั้น 2 ก็ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นเช่นกัน

บรรยากาศกลายเป็นมาคุจนดูเหมือนอากาศแข็งตัว

ในเวลานี้เององค์ชายน้อยจี้หลิงก็เดินลงมาจากชั้น

2

ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเบาบาง

เขากล่าวเล็กน้อยเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด

จากนั้นเหล่ารุ่นเยาว์ก็เริ่มมีสีหน้าดีขึ้นและแลกเปลี่ยนความรู้ตลอดจนแสดงพลังฝีมือกันต่อไป

แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้การข้อกินแหนงแคลงใจหรือลงมือเกิดกว่าเหตุ

องค์ชายจี้หลิงก็นั่งปักหลักอยู่ที่โต๊ะเจ้าภาพและไม่ได้กลับขึ้นไปรับรองศิษย์นิกายหนุนสวรรค์บนห้องชั้น

2 อีก

สุดท้ายบรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็ผ่อนคลายลงรวมไปถึงอารมณ์ของรุ่นเยาว์โดยรอบ

ฮวาหยุนเฟยระงับโทสะและกล้ำกลืนความอัปยศที่ถูกฉีกหน้า

จากนั้นก็อำลาองค์ชายจี้หลิงกลับไปอย่างเงียบๆ

ในเมื่อศิษย์นิกายหนุนสวรรค์ไม่เผยโฉม

จี้เทียนซิงก็ไม่คิดรั้งอยู่สืบไป ชายหนุ่มโค้งคำนับไปที่ห้องชั้น 2 อย่างเงียบงัน  จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่

อย่างไรก็ตาม

จุดประสงค์ของการมาร่วมงานเลี้ยงหลงเหมินในคืนนี้ของเขาก็เหมือนรอพบศิษย์นิกายหนุนสวรรค์

เมื่อตรองดูแล้วพบว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่น่าจะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะชน

เขาก็ต้องกลับอย่างแน่นอน

จี้ห่าวไม่ได้กลับพร้อมจี้เทียนซิง

มันยังคงรั้งอยู่ในห้วงโถงใหญ่เพื่อกินดื่มและพูดคุยกับรุ่นเยาว์คนอื่นๆภายในงาน

......

ภายในห้องๆหนึ่งที่งดงามประณีตบนชั้นสอง

มันได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราเป็นพิเศษและมีอากาศมีหอมอลอวลไปด้วยกลิ่นอายของไม้จันทน์

ที่โต๊ะไม้ใกล้ริมหน้าต่าง

มีชายหนุ่ม 2 คนกับสตรีสวมชุดกระโปรงขาวนางหนึ่งนั่งอยู่

หนึ่งในชายหนุ่มเป็นชายที่แข็งแรงหยาบกร้านดั่งหอคอย

ผิวของมันเป็นสีน้ำตาล

แขนและหน้าอกเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ รอบๆตัวแสดงออกถึงบรรยากาศอันดุเดือด

ชายหนุ่มผู้นี้คือห่าวเมิ่ง

มันเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับ 9 ของนิกายหนุนสวรรค์

ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งร่างสูงและมีใบหน้าซีดเซียวราวกับคนป่วย

ท่าทางของมันดูอ่อนแอนัก

แต่แท้จริงแล้วมันเป็นถึงอัจฉริยะรุ่นเยาว์ลำดับที่

6 ของนิกายหนุนสวรรค์ นามสกุลของมันคือไป๋ (ขาว) แต่มีไม่กี่คนที่ทราบชื่อแท้จริงของมัน

ในหลายๆประเทศของดินแดนดาราสวรรค์ต่างรู้จักแค่เพียงฉายาของมัน, ไป๋หวู่เชิน (ขาวไร้สมบูรณ์)

ส่วนสตรีเพียงหนึ่งเดียวนั้นสวมชุดสีขาวบริสุทธ์

เรือนกายเพรียวบางราวกับต้นหลิว วงหน้าผุดผ่องขาวนวลและงดงาม

ดวงตาคู่นั้นของนางให้ความรู้สึกถึงความเฉลียวฉลาดและลึกล้ำ ผมสีดำยาวสยายจรดเอวคอดกิ่วราวกับน้ำตกสีดำ

ทั้งหมดทั้งมวลของนางนั้นทำให้นางดูราวกับนางฟ้า

นางเป็นศิษย์หลักของนิกายหนุนสวรรค์

อัจฉริยะไร้คู่เปรียบและวีรสตรีอายุน้อยที่สุดของ 10

อาณาจักร, หยุนเหยา

ทั้งสามคนนี้นั่งร่วมโต๊ะกัน

ดวงตาของพวกเขามองผ่านหน้าต่างไม้และมองลงไปที่ห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง  สีหน้ายังคงสงบนิ่งและดูไม่แยแส

ดวงตาของห่าวเมิ่งตกไปที่จี้เทียนซิง

มองดูมันที่กำลังหันหลังเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่

จนกระทั่งเงาหลังของมันเลือนหายไปในความมืด

เขาเบนสายตาหันไปมองที่หยุนเหยาพลางถามด้วยรอยยิ้มว่า

“ศิษย์พี่หญิง

เจ้าหนูนั่นเห็นได้ชัดว่าล้มมือกระบี่ผู้นั้นได้แน่นอน

มันเพียงแค่เก็บงำพลังฝีมือเอาไว้ เหตุใดท่านต้องลงมือช่วยมันด้วยเล่า ?”

ไป๋หวู่เชินก็หันไปมองดวงหน้างดงามของหยุนเหยารอคำตอบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม

หยุนเหยายังคงเงียบและมองลงไปที่ห้องโถงใหญ่ด้านล่างโดยไร้ซึ่งคำอธิบายใดๆ

อาการของนางราวกับบอกศิษย์น้องทั้งสองเปรยๆว่า

ศิษย์เอกนิกายหนุนสวรรค์, อัจฉริยะอันดับหนึ่งของ 10 อาณาจักรผู้เย่อหยิ่ง

จำเป็นหรือที่ต้องอธิบายเหตุผลเรื่องราวให้ผู้อื่นฟัง ?

ห่าวเมิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายกับท่าทีเย็นชาเป็นน้ำแข็งของหยุนเหยา

มันยกยิ้มและเกาหัวแกร่กๆ

เพื่อเลี่ยงบรรยากาศอึดอัด

ไป๋หวู่เชินจึงพยายามเอ่ยปากเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว  เขามองลงไปที่ผู้คนบนชั้นล่างอย่างเฉยเมยและพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ

“หากนี่ไม่ใช่เพราะงานที่ได้รับมอบหมาย

ศิษย์พี่จะลดตัวลงมาเข้าร่วมเลี้ยงชั้นต่ำเช่นนี้ได้อย่างไร”

เห็นได้ชัดว่าไป๋หวู่เชินดูถูกเหยียดหยามเหล่ารุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในห้องโถงใหญ่

ในสายตาของเขา

รุ่นเยาว์พวกนี้ก็เหมือนพวกเด็กที่ยังไม่โตเล่นโดดหนังยางกัน

ห่าวเมิ่งยิ้มกว้างและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไป๋ ข้าว่าองค์ชายน้อยผู้นี้หน้าใหญ่ไปนิด พวกเราเพียงบอกให้มันรวบรวมเหล่าอัจฉริยะในรัฐนภากระจ่าง

แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะเรียกคนมามากมายเช่นนี้”

ไป๋หวู่เชินยิ้มเบาบาง

เขาไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ในสายตาของเขาและนิกายหนุนสวรรค์

รัฐนภากระจ่างเป็นเพียงประเทศเล็กๆในเขตทุรกันดารที่ห่างไกล  ต่อให้เป็นระดับสุดยอดอัจฉริยะของรัฐนี้ก็ยังไม่ควรค่าให้กล่าวถึง

หยุนเหยามุ่นคิ้วเรียวงามขึ้นเล็กน้อย

นางกล่าวด้วยความสงบเยือกเย็นว่า “ดูเหมือนพวกเราจะไม่พบคนที่ตามหาในคืนนี้"

นางมองไปที่ห่าวเมิ่งและถามว่า

“ศิษย์น้องห่าว ผู้ที่ผ่านการทดสอบระดับพลังของนิกายได้เข้ามาในคืนนี้หรือไม่ ?”

ห่าวเมิ่งพยักหน้าและตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่หญิง ข้าถามองค์ชายน้อยมาแล้ว  มันบอกว่าเกือบทั้งหมดที่อยู่ในงานเลี้ยงคืนนี้คือผู้ที่ผ่านการทดสอบเบื้องต้น  มีส่วนน้อยที่ไม่ผ่านการทดสอล แต่ก็นับว่ามีคุณสมบัติที่ดี”

หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวกับศิษย์น้องทั้งสองว่า

“ศิษย์น้องไป๋ ศิษย์น้องห่าว  พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งสองจงเป็นผู้รับผิดชอบในการรับสมัครศิษย์ใหม่เพื่อไปทดสอบขั้นสุดท้ายในเดือนหน้า

จะให้ดีพวกเจ้าจงติดตามดูรายชื่อผู้ที่ทดสอบผ่านทั้งหมดแล้วดูว่ามีผู้ใดเข้าตาบ้าง”

ห่าวเมิงอึ้งไปพักหนึ่งและถามด้วยความสับสนว่า

“ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่ไปกับพวกเราหรือ ?”

หยุนเหยาส่ายหัวและกล่าวว่า

“ข้าต้องไปเทือกเขาเย่ อาจจะใช้เวลาสัก 2-3 วัน”

ไป๋หวู่เชินยกคิ้วขึ้นและถามว่า

“ศิษย์พี่ ท่านจะไปทำอะไรที่ภูเขาเย่ ?”

หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ

“เทือกเขาเย่มีเรื่องเล่าว่ามีโอสถวิญญาณนามว่าดอกไม้ดาราแดง ดอกไม้ชนิดนี้เกิดขึ้นจากเปลวไฟของดวงดาว มันจะเบ่งบานทุกๆ 60 ปีภายในเวลาไม่กี่วันก็จะร่วงหล่น  หากข้าได้ดอกไม้ชนิดนี้ไป

ข้าจะสามารถรักษาอาการป่วยให้ศิษย์น้องหญิงได้”

เมื่อเอ่ยถึงศิษย์น้องหญิง

ใบหน้าของห่าวเมิ่งและไป๋หวู่เชินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาของพวกมันแสดงออกถึงความสงสารและเห็นใจอย่างชัดเจน

ไป๋หวู่เชินกล่าวกับหยุนเหยาอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่หญิง ข้าจะไปกับท่าน !”

หยุนเหยาส่ายหัวและกล่าวอย่างสงบว่า

“ไม่จำเป็น ดอกไม้ดาราแดงเป็นโอสถวิญญาณที่คุณภาพดีที่สุด มันมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง ไม่สามารถหาพบได้ง่ายๆ

คนเยอะก็มิใช่ว่าจะเจอ มันแล้วแต่วาสนา ข้าเพียงไปเสี่ยงโชคดูเท่านั้น”

“พวกเจ้าเพียงทำหน้าที่ให้ดีก็พอ”