ตอนที่ 112

ความต่างชั้น

ความเฉยเมยของซวนซวนทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่หมิงหยางแข็งค้าง

เขามองไปที่ด้านหลังที่กำลังลับสายตาไปของนางด้วยสีหน้าที่เย็นชา  เมื่อได้นึกถึงภาพที่จี้เทียนซิงและซวนซวนกำลังเดินเคียงคู่และพูดคุยพลางหัวเราะก็ทำให้ในใจเต็มไปด้วยโทสะที่พร้อมจะระเบิด

!

เมื่อเงาหลังอันงดงามของซวนซวนหายไปในเส้นทางที่มีต้นไม้เรียงราย

ลู่หมิงหยางก็หันกลับมาจ้องหน้าของจี้เทียนซิงและเอ่ยเสียงเย็น

“จี้เทียนซิง ! ไอ้หนูอย่างเจ้าไปรู้จักกับซวนซวนได้อย่างไร

? เจ้าสนิทกับนาง ?!”

การแสดงออกและดวงตาของเขามืดมนมาก

น้ำเสียงก็เย็นชาเต็มไปด้วยความโกรธ

จี้เทียนซิงเหลือบมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างไร้อารมณ์

“แล้วทำไม ? ต่างก็อยู่ใต้ร่มเงาของนิกายเดียวกัน

ศิษย์พี่ศิษย์น้องรู้จักกันมันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ?”

“ผายลม !  ปกติมารดาเจ้าสิ !”

ลู่หมิงหยางสบถออกมา

เขาสลัดคราบชายหนุ่มรูปงามผู้สูงศักดิ์ออกไปอย่างสมบูรณ์ภายใต้ความโกรธกริ้ว

“ข้าเห็นอยู่ตำตาว่าเด็กเหลือขออย่างเจ้าตั้งใจและจงใจใกล้ชิดกับนาง

!”

หลังจากพูดจบ

ลู่หมิงหยางก็วูบไหวร่างไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของจี้เทียนซิงและก้มหน้าลงมองอีกฝ่ายพลางตะโกนออกมาว่า

“จี้เทียนซิง ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างซวนซวนเอาไว้

!”

“เจ้ามันเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่าจากเมืองเล็กๆ

เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าใกล้นาง เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะยืนเคียงข้างนาง !”

“หากข้าเห็นว่าเจ้ากล้าเข้าใกล้นางอีก

ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่ !”

น้ำเสียงของลู่หมิงหยางนั้นเต็มไปด้วยการข่มขู่และเหยียดหยาม

มือทั้งสองกำหมัดไว้แน่นและสั่นระริกราวกับว่าแทบไม่สามารถระงับความโกรธในใจเอาไว้ได้อีกแล้ว

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงเพียงมองด้วยหางตาและวางสีหน้าเฉยชา

หลังจากอีกฝ่ายพูดจบเขาก็กล่าวว่า “ลู่หมิงหยาง ข้าจะมีหรือไม่มีคุณสมบัติคบหากับซวนซวนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า

! ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นชางเฟิงแล้วจะยังไง

?  นางพูดคุยกับข้ามากกว่าคุยกับเจ้าด้วยซ้ำ !”

“ต่อให้เจ้าพยายามจนตายเพื่อให้ซวนซวนพอใจ

นางก็ไม่ได้ประทับใจในตัวเจ้าแม้แต่น้อยเพราะนางรู้สันดานของเจ้าดี  ในสายตาของนาง

เจ้าไม่ต่างอะไรกับหญ้าตามท้องถนน !”

“มีแต่เจ้านั่นแหละที่หน้าตายกล้ามาตามตื๊อนาง

ซวนซวนเกลียดเจ้า เจ้ามองไม่ออกหรือไง ?  เจ้ามันโตแต่ตัว หน้าด้านไร้สมอง

เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ตัวอีก ?”

เมื่อลู่หมิงหยางได้ยินคำพูดก้นด่าสาปแช่งของจี้เทียนซิง

ดวงตาของเขาก็แดงก่ำจนแทบคลั่งและคำรามออกมาว่า

“ระยำ ! จี้เทียนซิง

ข้าจะกระทืบเจ้าให้ตาย !”

ลู่หมิงหยางฟิวส์ขาดแล้ว

เขาเหวี่ยงหมัดเข้าหาจี้เทียนซิงเต็มแรง

จี้เทียนซิงหน้าถอดสีและรีบหลบฉากในทันที  อย่างไรก็ตาม

ลู่หมิงหยางมีพลังในเขตแดนเชื่อมปราณขั้นแรก หมัดของเขาปะทุพลังปราณสีแดงเพลิงที่หอบหุ้มไว้ด้วยเพลิงโทสะอันรุนแรง

การล่าถอยของจี้เทียนซิงช้าไปเสี้ยววิ

หน้าอกของเขาถูกเพลิงปราณจากพลังหมัดของอีกฝ่ายเฉียดผ่านจนเสื้อคลุมนิกายถูกเผาเป็นรอยไหม้

หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสในพริบตา !

“จี้เทียนซิง ! วันนี้ศิษย์พี่อย่างข้าจะหักขาเจ้าเป็นการสั่งสอน

!”

ลู่หมิงหยางเชิดหน้าขึ้น

ดวงตาเปล่งประกายเย้ยหยันและเหวี่ยงหมัดเข้าหาจี้เทียนซิงอีกครั้ง

สีหน้าของจี้เทียนซิงเคร่งขรึมลง

ดวงตาฉายแสงเย็นเยือก ถึงแม้ว่าเขาจะตัดผ่านไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 6 แล้วก็ตาม  แต่ตอนนี้เขาไม่มีกระบี่มังกรดำอยู่ในมือย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่หมิงหยาง

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

เขาทำได้เพียงใช้ไพ่ตาย ปะทุปราณกระบี่ในร่างออกมา

“เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง !”

เขาปลดปล่อยปราณกระบี่สีทองเข้มออกมา

6 สายและแตกตัวออกเป็น 12 สายในพริบตา มันโบยบินไปทั่วร่างกายของเขาและก่อตัวเป็นสายธารของตาข่ายกระบี่

“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว !”

ข่ายปราณกระบี่สีทองหมุนวนและปกคลุมรอบตัวของเขาในรัศมีสามเมตร

ตูม

!

หมัดของลู่หมิงหยางกระแทกเข้าใส่ตาข่ายกระบี่

พลังลมปราณสีแดงเพลิงปะทุซ่านออกจากหมัดพุ่งทะลวงเข้าไปจนเกิดหลุมขนาดใหญ่บนข่ายกระบี่และทำให้ปราณกระบี่หลายสายเริ่มพังทลายและค่อยๆสลายไป

จากนั้นปราณกระบี่สีทองเข้มที่เหลือก็โบยบินมาควบรวมกันและแทงเข้าใส่หมัดของลู่หมิงหยาง

แต่มันกลับไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย !

“เหอะๆๆ.... เดรัจฉานน้อย

ของเล่นเจ้ามีดีแค่นี้หรือ ? ตอนนี้สำนึกถึงความต่างระหว่างเขตแดนเชื่อมปราณกับต้นกำเนิดแท้จริงหรือยังเล่า

!?”

“หากเจ้ารู้ซึ้งแล้วก็จงก้มหัวร้องขอความเมตตาจากข้าซะ

!”

ลู่หมิงหยางคำรามเย้ยหยันในขณะที่เหวี่ยงหมัดเข้ากระแทกใส่ข่ายกระบี่ที่เหลือ

ใบหน้าของจี้เทียนซิงซีดเซียวและมืดมนราวกับน้ำแข็ง

เขากัดฟันกรอดและผลักฝ่ามือแทรกปราณกระบี่เข้าต้านรับการโจมตีอันดุเดือดของลู่หมิงหยาง

“ปัง ปัง

ปัง !”

ชั่วครู่ต่อมาเสียงแตกหักก็ระเบิดออกเป็นระยะ

ข่ายกระบี่ที่โบยบินของจี้เทียนซิงถูกหมัดของลู่หมิงหยางทำลายทิ้งทีละเล่ม

จี้เทียนซิงถูกบีบให้ต้องล่าถอย

ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ

ในที่สุดหลังจากลู่หมิงหยางกระแทกหมัดทำลายข่ายกระบี่ถึง

36 ครั้งก็คำรามอย่างดุเดือดเพื่อเตรียมใช้เคล็ดวิชาเผด็จศึก

“หมัดระเบิดเพลิงพิโรธ !”  [怒炎爆拳!]

ร่างของเขาปะทุเป็นประกายไฟวูบวาบ

พลังปราณโคจรควบแน่นเต็มพิกัด

หมัดทั้งสองก่อรูปเป็นเปลวเพลิงสองสายและกระแทกเข้าหาจี้เทียนซิง

ปัง !!

สิ้นเสียงแตกหักครั้งสุดท้าย

ข่ายกระบี่ทั้งหมดก็ถูกทำลายด้วยเปลวเพลิงสีแดงจากหมัดทั้งสองจนสลายหายไปหมดสิ้น

เมื่อเห็นว่าจี้เทียนซิงไร้ซึ่งการป้องกันและไม่มีทางหนีรอดไปได้อีกแล้ว

ลู่หมิงหยางก็กระหน่ำเปลวเพลิงสีแดงจากหมัดทั้งสองเข้าใส่ทันที

“ระยำ........!”

จี้เทียนซิงหน้าถอดสี

รูม่านตาหดวูบและสบถอย่างไร้หนทางออกมา

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้

จู่ๆภายในตำหนักไท่อันที่เงียบสงบก็มีรังสีกระบี่สีน้ำเงินเข้มที่มีความเร็วยิ่งยวดพุ่งออกมา

"เปรี้ยง !"

คลื่นรังสีกระบี่สีน้ำเงินที่ยาวเกือบสองเมตรพร้อมพลังอันน่าสะพรึงกลัว

พุ่งออกมาปะทะกับหมัดเพลิงปราณของลู่หมิงหยางในทันที

จี้เทียนซิงรู้สึกแค่เพียงว่ามีลำแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาตัดหน้าตนเอง

และได้ยินเสียงอู้อี้ดัง ‘เป้ง’  จากนั้นก็เห็นลู่หมิงหยางกระเด็นออกไปจากจุดปะทะที่เกิดแผ่นดินไหว

ร่างของมันลอยละลิ่วเป็นเส้นโค้งกลางอากาศและตกลงไปในป่าห่างออกไปห้าเมตร

มันกลิ้งโคโร่ไปหลายตลบกว่าจะหยุดได้

มันชันร่างที่สั่นเทาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นมาได้

สารรูปของมันตอนนี้ดูไม่จืด ผมเผ้ารุงรัง เสื้อคลุมสีขาวที่เคยสะอาดสะอ้านกลับเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกเกาะเต็มไปหมด

มันหันไปมองที่ตำหนักไท่อันวูบหนึ่ง

จากนั้นก็หันหลังเตรียมจะหนีไป

อย่างไรก็ตามก่อนจะจากไปมันได้หันไปมองจี้เทียนซิงอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ

แน่นอนว่า มันจะจดจำความเกลียดชังนี้และจะหาโอกาสเหมาะสั่งสอนในภายหลัง !

จี้เทียนซิงมองเงาหลังที่กำลังลับตาไปของลู่หมิงหยางด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม

สองหมัดกำแน่นจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ

เขารู้ดีว่าหากไม่ได้ตาแก่ผู้นั้นสอดมือเข้าช่วยในช่วงวิกฤติ

เขาคงบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตกตายด้วยน้ำมือของลู่หมิงหยางไปแล้ว

ในขณะนี้ใจของเขาพวยพุ่งด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในพลังอำนาจ

เขาอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น !

ไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะต้องเพิ่มระดับพลังและไปถึงเขตแดนเชื่อมปราณให้ได้โดยเร็วที่สุด

“ฟุ่บ !”

ลำแสงสีฟ้าส่องประกาย

จากนั้นร่างของเซี่ยงหวู่จี้ก็บินออกมาจากตำหนักไท่อันและหยุดลงข้างๆจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงคารวะขอบคุณอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตข้า”

เซี่ยงหวู่จี้ไม่ตอบคำแต่มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าโกรธเคืองพลางกล่าวอย่างโล่งอกว่า

“เจ้าสารเลวน้อยเอ้ย....  เจ้านี่มันโง่เง่าบัดซบจริงๆ เจ้าเกือบทำให้ตาแก่ผู้นี้ตกใจแทบตายแล้ว

!”

“เจ้ามันลำพองเกินตัว เขตแดนพลังยังเทียบอีกฝ่ายไม่ได้แต่กลับริอาจตีฝีปากกล้าใส่ชาวบ้าน

ถึงแม้เคล็ดวิชากระบี่ของเจ้าจะยอดเยี่ยมแต่มันก็ยังไม่เหมาะกับเจ้าในตอนนี้

พื้นฐานพลังของเจ้ายังต่ำต้อยเกินไปและทำให้พรสวรรค์แต่กำเนิดอันยิ่งใหญ่ของเจ้าต้องสูญเปล่าหากเอาแต่พึ่งพามันในยามคับขัน

!”

“นอกจากนี้

ไอ้เคล็ดวิชากระบี่ที่เจ้าเรียกว่าสิบกระบี่ล้ำลึกห่าเหวอะไรนั่นก็เลิกใช้ไปซะ ขยะ

!”

“เอ่อ......” จี้เทียนซิงพูดไม่ออกและเหม่อมองเซี่ยงหวู่จี้อย่างไร้เดียงสา เขาไม่รู้ว่าทำไมตาแก่คนนี้ถึงได้ดูเหมือนจะเกลียดวิชากระบี่ของเขา

“มองอะไร ?”

เซี่ยงหวู่จี้มองหน้าชายหนุ่มอีกครั้งและตะโกนว่า

“คืนนี้เจ้าไม่ต้องกลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋นแล้ว  มากับข้า

ข้าจะชี้แนะเพลงกระบี่ให้เจ้าสักสองสามท่า!”