ความต่างชั้น
ความเฉยเมยของซวนซวนทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่หมิงหยางแข็งค้าง
เขามองไปที่ด้านหลังที่กำลังลับสายตาไปของนางด้วยสีหน้าที่เย็นชา เมื่อได้นึกถึงภาพที่จี้เทียนซิงและซวนซวนกำลังเดินเคียงคู่และพูดคุยพลางหัวเราะก็ทำให้ในใจเต็มไปด้วยโทสะที่พร้อมจะระเบิด
!
เมื่อเงาหลังอันงดงามของซวนซวนหายไปในเส้นทางที่มีต้นไม้เรียงราย
ลู่หมิงหยางก็หันกลับมาจ้องหน้าของจี้เทียนซิงและเอ่ยเสียงเย็น
“จี้เทียนซิง ! ไอ้หนูอย่างเจ้าไปรู้จักกับซวนซวนได้อย่างไร
? เจ้าสนิทกับนาง ?!”
การแสดงออกและดวงตาของเขามืดมนมาก
น้ำเสียงก็เย็นชาเต็มไปด้วยความโกรธ
จี้เทียนซิงเหลือบมองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างไร้อารมณ์
“แล้วทำไม ? ต่างก็อยู่ใต้ร่มเงาของนิกายเดียวกัน
ศิษย์พี่ศิษย์น้องรู้จักกันมันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ?”
“ผายลม ! ปกติมารดาเจ้าสิ !”
ลู่หมิงหยางสบถออกมา
เขาสลัดคราบชายหนุ่มรูปงามผู้สูงศักดิ์ออกไปอย่างสมบูรณ์ภายใต้ความโกรธกริ้ว
“ข้าเห็นอยู่ตำตาว่าเด็กเหลือขออย่างเจ้าตั้งใจและจงใจใกล้ชิดกับนาง
!”
หลังจากพูดจบ
ลู่หมิงหยางก็วูบไหวร่างไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของจี้เทียนซิงและก้มหน้าลงมองอีกฝ่ายพลางตะโกนออกมาว่า
“จี้เทียนซิง ข้าขอเตือนเจ้า อยู่ให้ห่างซวนซวนเอาไว้
!”
“เจ้ามันเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่าจากเมืองเล็กๆ
เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าใกล้นาง เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะยืนเคียงข้างนาง !”
“หากข้าเห็นว่าเจ้ากล้าเข้าใกล้นางอีก
ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่ !”
น้ำเสียงของลู่หมิงหยางนั้นเต็มไปด้วยการข่มขู่และเหยียดหยาม
มือทั้งสองกำหมัดไว้แน่นและสั่นระริกราวกับว่าแทบไม่สามารถระงับความโกรธในใจเอาไว้ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงเพียงมองด้วยหางตาและวางสีหน้าเฉยชา
หลังจากอีกฝ่ายพูดจบเขาก็กล่าวว่า “ลู่หมิงหยาง ข้าจะมีหรือไม่มีคุณสมบัติคบหากับซวนซวนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า
! ต่อให้เจ้าเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นชางเฟิงแล้วจะยังไง
? นางพูดคุยกับข้ามากกว่าคุยกับเจ้าด้วยซ้ำ !”
“ต่อให้เจ้าพยายามจนตายเพื่อให้ซวนซวนพอใจ
นางก็ไม่ได้ประทับใจในตัวเจ้าแม้แต่น้อยเพราะนางรู้สันดานของเจ้าดี ในสายตาของนาง
เจ้าไม่ต่างอะไรกับหญ้าตามท้องถนน !”
“มีแต่เจ้านั่นแหละที่หน้าตายกล้ามาตามตื๊อนาง
ซวนซวนเกลียดเจ้า เจ้ามองไม่ออกหรือไง ? เจ้ามันโตแต่ตัว หน้าด้านไร้สมอง
เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ตัวอีก ?”
เมื่อลู่หมิงหยางได้ยินคำพูดก้นด่าสาปแช่งของจี้เทียนซิง
ดวงตาของเขาก็แดงก่ำจนแทบคลั่งและคำรามออกมาว่า
“ระยำ ! จี้เทียนซิง
ข้าจะกระทืบเจ้าให้ตาย !”
ลู่หมิงหยางฟิวส์ขาดแล้ว
เขาเหวี่ยงหมัดเข้าหาจี้เทียนซิงเต็มแรง
จี้เทียนซิงหน้าถอดสีและรีบหลบฉากในทันที อย่างไรก็ตาม
ลู่หมิงหยางมีพลังในเขตแดนเชื่อมปราณขั้นแรก หมัดของเขาปะทุพลังปราณสีแดงเพลิงที่หอบหุ้มไว้ด้วยเพลิงโทสะอันรุนแรง
การล่าถอยของจี้เทียนซิงช้าไปเสี้ยววิ
หน้าอกของเขาถูกเพลิงปราณจากพลังหมัดของอีกฝ่ายเฉียดผ่านจนเสื้อคลุมนิกายถูกเผาเป็นรอยไหม้
หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียว เขาย่อมได้รับบาดเจ็บสาหัสในพริบตา !
“จี้เทียนซิง ! วันนี้ศิษย์พี่อย่างข้าจะหักขาเจ้าเป็นการสั่งสอน
!”
ลู่หมิงหยางเชิดหน้าขึ้น
ดวงตาเปล่งประกายเย้ยหยันและเหวี่ยงหมัดเข้าหาจี้เทียนซิงอีกครั้ง
สีหน้าของจี้เทียนซิงเคร่งขรึมลง
ดวงตาฉายแสงเย็นเยือก ถึงแม้ว่าเขาจะตัดผ่านไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 6 แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เขาไม่มีกระบี่มังกรดำอยู่ในมือย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่หมิงหยาง
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
เขาทำได้เพียงใช้ไพ่ตาย ปะทุปราณกระบี่ในร่างออกมา
“เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง !”
เขาปลดปล่อยปราณกระบี่สีทองเข้มออกมา
6 สายและแตกตัวออกเป็น 12 สายในพริบตา มันโบยบินไปทั่วร่างกายของเขาและก่อตัวเป็นสายธารของตาข่ายกระบี่
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว !”
ข่ายปราณกระบี่สีทองหมุนวนและปกคลุมรอบตัวของเขาในรัศมีสามเมตร
ตูม
!
หมัดของลู่หมิงหยางกระแทกเข้าใส่ตาข่ายกระบี่
พลังลมปราณสีแดงเพลิงปะทุซ่านออกจากหมัดพุ่งทะลวงเข้าไปจนเกิดหลุมขนาดใหญ่บนข่ายกระบี่และทำให้ปราณกระบี่หลายสายเริ่มพังทลายและค่อยๆสลายไป
จากนั้นปราณกระบี่สีทองเข้มที่เหลือก็โบยบินมาควบรวมกันและแทงเข้าใส่หมัดของลู่หมิงหยาง
แต่มันกลับไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย !
“เหอะๆๆ.... เดรัจฉานน้อย
ของเล่นเจ้ามีดีแค่นี้หรือ ? ตอนนี้สำนึกถึงความต่างระหว่างเขตแดนเชื่อมปราณกับต้นกำเนิดแท้จริงหรือยังเล่า
!?”
“หากเจ้ารู้ซึ้งแล้วก็จงก้มหัวร้องขอความเมตตาจากข้าซะ
!”
ลู่หมิงหยางคำรามเย้ยหยันในขณะที่เหวี่ยงหมัดเข้ากระแทกใส่ข่ายกระบี่ที่เหลือ
ใบหน้าของจี้เทียนซิงซีดเซียวและมืดมนราวกับน้ำแข็ง
เขากัดฟันกรอดและผลักฝ่ามือแทรกปราณกระบี่เข้าต้านรับการโจมตีอันดุเดือดของลู่หมิงหยาง
“ปัง ปัง
ปัง !”
ชั่วครู่ต่อมาเสียงแตกหักก็ระเบิดออกเป็นระยะ
ข่ายกระบี่ที่โบยบินของจี้เทียนซิงถูกหมัดของลู่หมิงหยางทำลายทิ้งทีละเล่ม
จี้เทียนซิงถูกบีบให้ต้องล่าถอย
ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
ในที่สุดหลังจากลู่หมิงหยางกระแทกหมัดทำลายข่ายกระบี่ถึง
36 ครั้งก็คำรามอย่างดุเดือดเพื่อเตรียมใช้เคล็ดวิชาเผด็จศึก
“หมัดระเบิดเพลิงพิโรธ !” [怒炎爆拳!]
ร่างของเขาปะทุเป็นประกายไฟวูบวาบ
พลังปราณโคจรควบแน่นเต็มพิกัด
หมัดทั้งสองก่อรูปเป็นเปลวเพลิงสองสายและกระแทกเข้าหาจี้เทียนซิง
ปัง !!
สิ้นเสียงแตกหักครั้งสุดท้าย
ข่ายกระบี่ทั้งหมดก็ถูกทำลายด้วยเปลวเพลิงสีแดงจากหมัดทั้งสองจนสลายหายไปหมดสิ้น
เมื่อเห็นว่าจี้เทียนซิงไร้ซึ่งการป้องกันและไม่มีทางหนีรอดไปได้อีกแล้ว
ลู่หมิงหยางก็กระหน่ำเปลวเพลิงสีแดงจากหมัดทั้งสองเข้าใส่ทันที
“ระยำ........!”
จี้เทียนซิงหน้าถอดสี
รูม่านตาหดวูบและสบถอย่างไร้หนทางออกมา
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้
จู่ๆภายในตำหนักไท่อันที่เงียบสงบก็มีรังสีกระบี่สีน้ำเงินเข้มที่มีความเร็วยิ่งยวดพุ่งออกมา
"เปรี้ยง !"
คลื่นรังสีกระบี่สีน้ำเงินที่ยาวเกือบสองเมตรพร้อมพลังอันน่าสะพรึงกลัว
พุ่งออกมาปะทะกับหมัดเพลิงปราณของลู่หมิงหยางในทันที
จี้เทียนซิงรู้สึกแค่เพียงว่ามีลำแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้ามาตัดหน้าตนเอง
และได้ยินเสียงอู้อี้ดัง ‘เป้ง’ จากนั้นก็เห็นลู่หมิงหยางกระเด็นออกไปจากจุดปะทะที่เกิดแผ่นดินไหว
ร่างของมันลอยละลิ่วเป็นเส้นโค้งกลางอากาศและตกลงไปในป่าห่างออกไปห้าเมตร
มันกลิ้งโคโร่ไปหลายตลบกว่าจะหยุดได้
มันชันร่างที่สั่นเทาขึ้นก่อนจะลุกขึ้นมาได้
สารรูปของมันตอนนี้ดูไม่จืด ผมเผ้ารุงรัง เสื้อคลุมสีขาวที่เคยสะอาดสะอ้านกลับเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกเกาะเต็มไปหมด
มันหันไปมองที่ตำหนักไท่อันวูบหนึ่ง
จากนั้นก็หันหลังเตรียมจะหนีไป
อย่างไรก็ตามก่อนจะจากไปมันได้หันไปมองจี้เทียนซิงอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ
แน่นอนว่า มันจะจดจำความเกลียดชังนี้และจะหาโอกาสเหมาะสั่งสอนในภายหลัง !
จี้เทียนซิงมองเงาหลังที่กำลังลับตาไปของลู่หมิงหยางด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม
สองหมัดกำแน่นจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ
เขารู้ดีว่าหากไม่ได้ตาแก่ผู้นั้นสอดมือเข้าช่วยในช่วงวิกฤติ
เขาคงบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ก็ตกตายด้วยน้ำมือของลู่หมิงหยางไปแล้ว
ในขณะนี้ใจของเขาพวยพุ่งด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าในพลังอำนาจ
เขาอยากที่จะแข็งแกร่งขึ้น !
ไม่ว่าจะอย่างไรเขาจะต้องเพิ่มระดับพลังและไปถึงเขตแดนเชื่อมปราณให้ได้โดยเร็วที่สุด
“ฟุ่บ !”
ลำแสงสีฟ้าส่องประกาย
จากนั้นร่างของเซี่ยงหวู่จี้ก็บินออกมาจากตำหนักไท่อันและหยุดลงข้างๆจี้เทียนซิง
จี้เทียนซิงคารวะขอบคุณอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตข้า”
เซี่ยงหวู่จี้ไม่ตอบคำแต่มองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าโกรธเคืองพลางกล่าวอย่างโล่งอกว่า
“เจ้าสารเลวน้อยเอ้ย.... เจ้านี่มันโง่เง่าบัดซบจริงๆ เจ้าเกือบทำให้ตาแก่ผู้นี้ตกใจแทบตายแล้ว
!”
“เจ้ามันลำพองเกินตัว เขตแดนพลังยังเทียบอีกฝ่ายไม่ได้แต่กลับริอาจตีฝีปากกล้าใส่ชาวบ้าน
ถึงแม้เคล็ดวิชากระบี่ของเจ้าจะยอดเยี่ยมแต่มันก็ยังไม่เหมาะกับเจ้าในตอนนี้
พื้นฐานพลังของเจ้ายังต่ำต้อยเกินไปและทำให้พรสวรรค์แต่กำเนิดอันยิ่งใหญ่ของเจ้าต้องสูญเปล่าหากเอาแต่พึ่งพามันในยามคับขัน
!”
“นอกจากนี้
ไอ้เคล็ดวิชากระบี่ที่เจ้าเรียกว่าสิบกระบี่ล้ำลึกห่าเหวอะไรนั่นก็เลิกใช้ไปซะ ขยะ
!”
“เอ่อ......” จี้เทียนซิงพูดไม่ออกและเหม่อมองเซี่ยงหวู่จี้อย่างไร้เดียงสา เขาไม่รู้ว่าทำไมตาแก่คนนี้ถึงได้ดูเหมือนจะเกลียดวิชากระบี่ของเขา
“มองอะไร ?”
เซี่ยงหวู่จี้มองหน้าชายหนุ่มอีกครั้งและตะโกนว่า
“คืนนี้เจ้าไม่ต้องกลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋นแล้ว มากับข้า
ข้าจะชี้แนะเพลงกระบี่ให้เจ้าสักสองสามท่า!”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved