ตอนที่ 226

ศิษย์สายตรงคนที่สาม

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของประมุขนิกายกระบี่ฟ้า

หวงฟู่ก็ตระหนักได้ในทันที

เขาชื่นชมออกมาอย่างจริงใจ

“สมแล้วที่เป็นท่านประมุข !”

“ไม่ว่าเทียนจี้เจิ้นเหรินจะเป็นใครก็ตาม, ไม่ว่ามันจะมีแรงจูงใจอะไร แต่การใช้หินวิญญาณเพียงแค่หกสิบก้อนแลกกับแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรที่เป็นรากฐานทั้งหมดของนิกายใหญ่อันดับหนึ่งก็นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

!”

“ด้วยแผนผังนี้

นิกายเราก็สามารถทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของนิกายพันธมิตรสวรรค์และดับสิ้นรากฐานก่อตั้งนับพันปีของพวกมันได้แล้ว

!”

อดพูดไม่ได้ว่าหลังจากพูดจบหวงฟู่ก็แทบจะเต้นแร้งเต้นกา

น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“เมื่อถึงเวลานั้นนิกายเราก็จะสามารถเข้าไปแทนที่นิกายพันธมิตรสวรรค์และควบคุมทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

ส่วนท่านประมุขก็จะขึ้นเป็นจ้าวอาณาจักรในที่สุด !”

คำพูดเยินยอเหล่านี้ทำให้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าอิ่มอกอิ่มใจจนอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มออกมา

"ใช่แล้ว

เจ้าพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์สารเลวที่ตะครุบภูเขามังกรและสุสานพันปีไป ข้าต้องฉกฉวยโชคชะตาที่แต่เดิมเป็นของนิกายกระบี่ฟ้ากลับคืนมา

บัดนี้ลมเปลี่ยนทิศแล้ว โชคกำลังเข้าข้างนิกายกระบี่ฟ้าเรา

ส่วนนิกายพันธมิตรสวรรค์มีแต่จะรอวันตาย !”

“นอกจากนี้มหาข่ายปราณที่ปกปักษ์สุสานพันปีนั่นก็ลึกลับมาก

นิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมไม่อาจทำลายมันได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน หลังจากที่นิกายเราบุกทำลายเส้นชีพจรวิญญาณ

มันไม่เพียงแค่ทำลายล้างนิกายพันธมิตรสวรรค์เท่านั้น

แต่สุสานพันปีก็จะกลับมาเป็นของเราอีกด้วย !”

หวงฟู่พยักหน้ารัวถี่และถามว่า

“ท่านประมุข

ในเมื่อตอนนี้แผนผังเส้นชีพจรวิญญาณอยู่ในมือพวกเราแล้ว

เช่นนั้นท่านคิดลงมือเมื่อใด ?"

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าสองมือไพล่หลังและเผยรอยยิ้มที่มั่นใจ

เขากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน มาดูแผนผังและตรวจสอบความถูกต้องโดยละเอียดกันก่อนดีกว่า”

“นอกจากนี้ ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมายดั่งเมฆบนท้องฟ้า

อีกทั้งยังมีการป้องกันแน่นหนา มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะทำลายเส้นชีพจรวิญญาณได้ในเวลาอันสั้น

สมควรเป็นภารกิจที่กินเวลานานพอดู”

“ข้าน้อยทราบแล้ว”

หวงฟู่พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่และมุ่งหน้าไปที่ห้องลับเพื่อศึกษาหอรือเกี่ยวกับแผนผังชีพจรวิญญาณ

......

แนวเทือกเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากนิกายกระบี่ฟ้าออกไปร้อยไมล์

เทียนจี้เจิ้นเหรินในชุดเสื้อคลุมสีขาวกำลังวิ่งไปตามเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขานั้นเร็วมาก

ตลอดทางที่เขาวิ่งผ่านนั้นก่อเกิดเป็นภาพติดตาสีขาวที่อยู่ด้านหลัง

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เข้าไปในส่วนลึกของป่า

เมื่อเห็นว่าไม่มีการลอบติดตามและไม่มีใครอยู่รอบๆ

เขาก็เผยร่างที่แท้จริงออกมา

“วูบ วูบ วูบ

!!”

ร่างของเขาบิดเบี้ยวและเปลี่ยนแปลงไป

กลุ่มหมอกสีดำกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น เสื้อคลุมสีขาวและแส้หางม้าก็หายไป

ภายในพริบตาเขาก็กลายร่างมาเป็นชายชรากำยำที่มีความสูงกว่าสองเมตรและมีผิวสีม่วง

เส้นผมของเขาเป็นสีม่วงและมัดไว้เป็นเปียเล็กๆนับสิบจุด

เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำที่น่ากลัวและมีเท้าคู่ใหญ่เหมือนใบพัด

ลำคอและท่อนแขนที่กำยำของเขารวมไปถึงส่วนอื่นๆเต็มไปด้วยลวดลายรอยสักมากมาย

มันดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก

ไม่ต้องสงสัย

คนผู้นี้ก็คือมหาปุโรหิตแห่งเผ่าปีศาจนั่นเอง

เขาบิดคอและเหยียดแขนเหยียดขาพลางแสยะยิ้มและตะโกนออกมาว่า

“เหอๆ ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า  เจ้าสารเลวน้อยตัวนี้ช่างตระหนี่ได้บัดซบนัก !"

“มารดามัน ! ข้าอุตส่าห์มอบแผนผังชีพจรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่งให้แก่มัน

แต่มันกลับตอบแทนข้าด้วยหินวิญญาณเพียงหกสิบก้อน ระยำเอ้ย !”

ต้องพูดว่าเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังพลางตะโกนเสียงต่ำด้วยเสียงเย็นว่า

“เผ่าพันธุ์มนุษย์เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ และเจ้าตัวประมุขนิกายกระบี่ฟ้าผู้นี้ก็ตระหนี่ถี่ถ้วนเกินไป

คนประเภทนี้ไม่มีทางทำการใหญ่สำเร็จได้แน่นอน

ต่อให้มันทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้สำเร็จ

มันก็ไม่มีทางควบคุมอาณาจักรเทียนเฉินได้”

“เมื่อเวลานั้นมาถึง องค์จักรพรรดิปีศาจจะทลายผนึกมหาข่ายปราณออกมาแล้วทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินจะนองไปด้วยเลือด

!”

สิ้นเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม

มหาปุโรหิตก็บิดร่างกายตนเองจนกลายเป็นมนต์หมอกสีดำทมิฬและพุ่งทะยานเป็นเส้นรุ้งสีดำกลับไปยังถ้ำปีศาจ

…….......

ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

ตำหนักฉิงเทียน ฉู่เทียนเซิงนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักของประมุขนิกายด้วยกลิ่นไอที่น่าเกรงขาม

ในห้องโถงหลักมีผู้อาวุโสหลายคนยืนอยู่และหยุนเหยากับจี้เทียนซิงก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

ทุกคนกำลังอยู่ในการประชุม

จู่ๆฉู่เทียนเซิงก็ประกาศขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า

“พวกท่านทุกคน

วันนี้ที่ข้าเรียกพวกท่านมาประชุมกันก็เพราะมีบางเรื่องคิดหารือ นอกจากนี้ยังมีเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากซึ่งข้าคิดจะใช้โอกาสนี้ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้

ผู้อาวุโสหลายคนก็หันไปมองหน้ากันและสบตากันอมยิ้มออกมา  เห็นได้ชัดว่าทุกคนคาดเดาเรื่องสำคัญที่ฉู่เทียนเซิงคิดจะประกาศออกมาได้แล้ว

ทั้งหมดทั้งมวลก็สืบเนื่องมาจาก

ภาพมายาเก้ามังกรที่สะกดข่มฟ้าดินเหนือเวหาในคืนนั้น

ซึ่งมันเป็นภาพที่พวกเขาทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในรัศมีพันไมล์

ฉู่เทียนเซิงเผยรอยยิ้มที่น่ายินดีและประกาศเสียงดังว่า

“การเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจในช่วงที่ผ่านนี้เต็มไปด้วยความโอหังคึกคะนอง

พวกมันพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าในการทำลายมหาข่ายปราณเพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิปีศาจไร้พ่ายของพวกมัน”

“เมื่อห้าวันก่อนข้าประมุข

ท่านอาจารย์อาเซี่ยงและจี้เทียนซิงได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังถ้ำอาคม  พวกเราประสบความสำเร็จในการวางอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจ

!”

“หลังจากเสริมพลังและวางมหาข่ายปราณสำเร็จแล้ว

ปีศาจไร้พ่ายจะถูกสะกดไว้อย่างสมบูรณ์และไม่มีทางทำลายผนึกออกมาสร้างความวุ่นวายได้อย่างน้อยๆก็หนึ่งร้อยปี

!”

“ถึงแม้จะมียอดฝีมือเผ่าปีศาจลอบเข้ามาถึงหน้าผนึกก็ไม่มีวันทำลายมหาข่ายปราณได้อีกแล้ว

!”

กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

ความหมายของฉู่เทียนเซิงก็คือนิกายพันธมิตรสวรรค์จะสงบสุขและมั่นคงสืบไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี

พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปีศาจไร้พ่ายและไม่ต้องพะวงเหล่ายอดฝีมือเหล่าปีศาจที่ลอบเข้ามาหมายจะทำลายผนึกอีกต่อไป

ผู้อาวุโสหลายคนแสดงสีหน้าโล่งอกและเผยรอยยิ้มพร้อมกับกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ

แน่นอนว่าสายตาของผู้อาวุโสหลายคนที่มองไปยังจี้เทียนซิงนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและพึงพอใจ

ทุกคนรู้ว่าจี้เทียนซิงได้ทำผลงานที่สุดยอดแก่นิกาย

จากนี้ไปชายหนุ่มผู้นี้จะเต็มไปด้วยอนาคตที่สดใส

ในเวลานี้เองฉู่เทียนเซิงก็กล่าวต่อไปว่า

“แน่นอนว่านิกายเราปลอดภัย

แต่ก็มิใช่ชั่วนิรันดร์ นอกจากนี้พวกเรายังมีงานอื่นต้องทำ

สุสานพันปีในภูเขามังกรจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบและหาทางทำลายข่ายปราณให้ได้โดยเร็ว”

“นอกจากนี้ ผู้อาวุโสที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องนิกายก็จะต้องเพิ่มมาตรการป้องกันและอย่าให้เผ่าปีศาจบุกเข้ามาเผ่นผ่านได้

!”

“เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ชั่วร้าย

ตราบใดที่ข้าฉู่เทียนเซิงยังไม่ตาย นิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ไม่มีวันสิ้น

อีกไม่ช้านิกายเราจะทำลายล้างและถอนรากถอนโคนพวกมันให้หมดสิ้น !”

ผู้อาวุโสหลายคนในห้องโถงใหญ่พยักหน้าและเห็นด้วยกับคำพูดของฉู่เทียนเซิง

ต่อจากนั้นฉู่เทียนเซิงก็หันไปมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาร้อนรุ่ม

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจังว่า “นอกเหนือจากที่ประกาศไปทั้งหมดยังมีอีกเรื่องหนึ่ง

การวางมหาข่ายปราณครั้งนี้ความดีความชอบทั้งหมดเป็นของศิษย์ฝ่ายนอกจี้เทียนซิง

เขามีส่วนร่วมและทำคุณประโยชน์ต่อนิกายเป็นอย่างมาก สมควรได้รับรางวัลใหญ่ !”

“ข้าประมุขขอประกาศไว้ที่นี่ตอนนี้

นับแต่บัดนี้ไปจี้เทียนซิงเข้าสู่นิกายฝ่ายในและมีตำแหน่งเป็นศิษย์สายตรงคนที่สามของข้า

ฉู่เทียนเซิง !”

“อีกสามวันจะมีพิธีคารวะอาจารย์ในวิหารแห่งนี้ !”

เหล่าผู้อาวุโสในกลุ่มคนต่างคาดไม่ถึงว่าเรื่องที่สองที่ฉู่เทียนเซิงต้องการประกาศต่อสาธารณะชนก็คือการรับจี้เทียนซิงเป็นศิษย์สายตรง

!

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเข้าใจดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้หมายถึงอะไรและฐานะศิษย์สายตรงสำคัญเพียงใด

ทุกคนแสดงสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อนและจ้องมองไปยังจี้เทียนซิงด้วยแววตาเป็นประกาย

ถึงแม้ว่าจะมีผู้อาวุโสหกคนที่ไม่คัดค้านในเรื่องนี้แต่พวกเขาก็ยังลอบแปลกใจไม่น้อยเพราะพวกเขารู้ว่าศิษย์สายตรงก็คือหนึ่งในว่าที่ประมุขนิกายคนต่อไป

นอกจากนี้มีผู้อาวุโสอีกสามคนที่หันไปกระซิบกระซาบกัน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างและไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้

หนึ่งในผู้อาวุโสเหล่านั้นมีสตรีอาวุโสนางหนึ่งที่ดูเจ้าอารมณ์

นางมีสีหน้าท่าทางซับซ้อนและครุ่นคิด

นางโค้งคารวะฉู่เทียนเซิงพลางกล่าวออกมาว่า

“เรียนท่านประมุข

ท่านเป็นดั่งเหนือหัวของนิกายเรา

เรื่องการรับศิษย์สายตรงของท่านเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

มันเกี่ยวพันถึงรากฐานก่อตั้งนับพันปีของนิกายพันธมิตรสวรรค์

ขอท่านประมุขโปรดไตร่ตรองอีกรอบก่อนเถอะเจ้าค่ะ !”