ศิษย์สายตรงคนที่สาม
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของประมุขนิกายกระบี่ฟ้า
หวงฟู่ก็ตระหนักได้ในทันที
เขาชื่นชมออกมาอย่างจริงใจ
“สมแล้วที่เป็นท่านประมุข !”
“ไม่ว่าเทียนจี้เจิ้นเหรินจะเป็นใครก็ตาม, ไม่ว่ามันจะมีแรงจูงใจอะไร แต่การใช้หินวิญญาณเพียงแค่หกสิบก้อนแลกกับแผนผังเส้นชีพจรวิญญาณเก้ามังกรที่เป็นรากฐานทั้งหมดของนิกายใหญ่อันดับหนึ่งก็นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
!”
“ด้วยแผนผังนี้
นิกายเราก็สามารถทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของนิกายพันธมิตรสวรรค์และดับสิ้นรากฐานก่อตั้งนับพันปีของพวกมันได้แล้ว
!”
อดพูดไม่ได้ว่าหลังจากพูดจบหวงฟู่ก็แทบจะเต้นแร้งเต้นกา
น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“เมื่อถึงเวลานั้นนิกายเราก็จะสามารถเข้าไปแทนที่นิกายพันธมิตรสวรรค์และควบคุมทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน
ส่วนท่านประมุขก็จะขึ้นเป็นจ้าวอาณาจักรในที่สุด !”
คำพูดเยินยอเหล่านี้ทำให้ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าอิ่มอกอิ่มใจจนอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มออกมา
"ใช่แล้ว
เจ้าพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์สารเลวที่ตะครุบภูเขามังกรและสุสานพันปีไป ข้าต้องฉกฉวยโชคชะตาที่แต่เดิมเป็นของนิกายกระบี่ฟ้ากลับคืนมา
บัดนี้ลมเปลี่ยนทิศแล้ว โชคกำลังเข้าข้างนิกายกระบี่ฟ้าเรา
ส่วนนิกายพันธมิตรสวรรค์มีแต่จะรอวันตาย !”
“นอกจากนี้มหาข่ายปราณที่ปกปักษ์สุสานพันปีนั่นก็ลึกลับมาก
นิกายพันธมิตรสวรรค์ย่อมไม่อาจทำลายมันได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน หลังจากที่นิกายเราบุกทำลายเส้นชีพจรวิญญาณ
มันไม่เพียงแค่ทำลายล้างนิกายพันธมิตรสวรรค์เท่านั้น
แต่สุสานพันปีก็จะกลับมาเป็นของเราอีกด้วย !”
หวงฟู่พยักหน้ารัวถี่และถามว่า
“ท่านประมุข
ในเมื่อตอนนี้แผนผังเส้นชีพจรวิญญาณอยู่ในมือพวกเราแล้ว
เช่นนั้นท่านคิดลงมือเมื่อใด ?"
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าสองมือไพล่หลังและเผยรอยยิ้มที่มั่นใจ
เขากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่รีบร้อน มาดูแผนผังและตรวจสอบความถูกต้องโดยละเอียดกันก่อนดีกว่า”
“นอกจากนี้ ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือมากมายดั่งเมฆบนท้องฟ้า
อีกทั้งยังมีการป้องกันแน่นหนา มันไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะทำลายเส้นชีพจรวิญญาณได้ในเวลาอันสั้น
สมควรเป็นภารกิจที่กินเวลานานพอดู”
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
หวงฟู่พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
จากนั้นทั้งสองก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่และมุ่งหน้าไปที่ห้องลับเพื่อศึกษาหอรือเกี่ยวกับแผนผังชีพจรวิญญาณ
......
ณ
แนวเทือกเขาแห่งหนึ่งที่ห่างจากนิกายกระบี่ฟ้าออกไปร้อยไมล์
เทียนจี้เจิ้นเหรินในชุดเสื้อคลุมสีขาวกำลังวิ่งไปตามเทือกเขาอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขานั้นเร็วมาก
ตลอดทางที่เขาวิ่งผ่านนั้นก่อเกิดเป็นภาพติดตาสีขาวที่อยู่ด้านหลัง
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เข้าไปในส่วนลึกของป่า
เมื่อเห็นว่าไม่มีการลอบติดตามและไม่มีใครอยู่รอบๆ
เขาก็เผยร่างที่แท้จริงออกมา
“วูบ วูบ วูบ
!!”
ร่างของเขาบิดเบี้ยวและเปลี่ยนแปลงไป
กลุ่มหมอกสีดำกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น เสื้อคลุมสีขาวและแส้หางม้าก็หายไป
ภายในพริบตาเขาก็กลายร่างมาเป็นชายชรากำยำที่มีความสูงกว่าสองเมตรและมีผิวสีม่วง
เส้นผมของเขาเป็นสีม่วงและมัดไว้เป็นเปียเล็กๆนับสิบจุด
เขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำที่น่ากลัวและมีเท้าคู่ใหญ่เหมือนใบพัด
ลำคอและท่อนแขนที่กำยำของเขารวมไปถึงส่วนอื่นๆเต็มไปด้วยลวดลายรอยสักมากมาย
มันดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างมาก
ไม่ต้องสงสัย
คนผู้นี้ก็คือมหาปุโรหิตแห่งเผ่าปีศาจนั่นเอง
เขาบิดคอและเหยียดแขนเหยียดขาพลางแสยะยิ้มและตะโกนออกมาว่า
“เหอๆ ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า เจ้าสารเลวน้อยตัวนี้ช่างตระหนี่ได้บัดซบนัก !"
“มารดามัน ! ข้าอุตส่าห์มอบแผนผังชีพจรวิญญาณที่ล้ำค่ายิ่งให้แก่มัน
แต่มันกลับตอบแทนข้าด้วยหินวิญญาณเพียงหกสิบก้อน ระยำเอ้ย !”
ต้องพูดว่าเขาเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังพลางตะโกนเสียงต่ำด้วยเสียงเย็นว่า
“เผ่าพันธุ์มนุษย์เจ้าเล่ห์ร้ายกาจ และเจ้าตัวประมุขนิกายกระบี่ฟ้าผู้นี้ก็ตระหนี่ถี่ถ้วนเกินไป
คนประเภทนี้ไม่มีทางทำการใหญ่สำเร็จได้แน่นอน
ต่อให้มันทำลายเส้นชีพจรวิญญาณของนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้สำเร็จ
มันก็ไม่มีทางควบคุมอาณาจักรเทียนเฉินได้”
“เมื่อเวลานั้นมาถึง องค์จักรพรรดิปีศาจจะทลายผนึกมหาข่ายปราณออกมาแล้วทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินจะนองไปด้วยเลือด
!”
สิ้นเสียงคำรามอย่างฮึกเหิม
มหาปุโรหิตก็บิดร่างกายตนเองจนกลายเป็นมนต์หมอกสีดำทมิฬและพุ่งทะยานเป็นเส้นรุ้งสีดำกลับไปยังถ้ำปีศาจ
…….......
ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์
ณ
ตำหนักฉิงเทียน ฉู่เทียนเซิงนั่งอยู่บนบัลลังก์หลักของประมุขนิกายด้วยกลิ่นไอที่น่าเกรงขาม
ในห้องโถงหลักมีผู้อาวุโสหลายคนยืนอยู่และหยุนเหยากับจี้เทียนซิงก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ทุกคนกำลังอยู่ในการประชุม
จู่ๆฉู่เทียนเซิงก็ประกาศขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า
“พวกท่านทุกคน
วันนี้ที่ข้าเรียกพวกท่านมาประชุมกันก็เพราะมีบางเรื่องคิดหารือ นอกจากนี้ยังมีเรื่องใหญ่ที่สำคัญมากซึ่งข้าคิดจะใช้โอกาสนี้ประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน”
เมื่อได้ยินประโยคนี้
ผู้อาวุโสหลายคนก็หันไปมองหน้ากันและสบตากันอมยิ้มออกมา เห็นได้ชัดว่าทุกคนคาดเดาเรื่องสำคัญที่ฉู่เทียนเซิงคิดจะประกาศออกมาได้แล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลก็สืบเนื่องมาจาก
ภาพมายาเก้ามังกรที่สะกดข่มฟ้าดินเหนือเวหาในคืนนั้น
ซึ่งมันเป็นภาพที่พวกเขาทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในรัศมีพันไมล์
ฉู่เทียนเซิงเผยรอยยิ้มที่น่ายินดีและประกาศเสียงดังว่า
“การเคลื่อนไหวของเผ่าปีศาจในช่วงที่ผ่านนี้เต็มไปด้วยความโอหังคึกคะนอง
พวกมันพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าในการทำลายมหาข่ายปราณเพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิปีศาจไร้พ่ายของพวกมัน”
“เมื่อห้าวันก่อนข้าประมุข
ท่านอาจารย์อาเซี่ยงและจี้เทียนซิงได้ตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังถ้ำอาคม พวกเราประสบความสำเร็จในการวางอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจ
!”
“หลังจากเสริมพลังและวางมหาข่ายปราณสำเร็จแล้ว
ปีศาจไร้พ่ายจะถูกสะกดไว้อย่างสมบูรณ์และไม่มีทางทำลายผนึกออกมาสร้างความวุ่นวายได้อย่างน้อยๆก็หนึ่งร้อยปี
!”
“ถึงแม้จะมียอดฝีมือเผ่าปีศาจลอบเข้ามาถึงหน้าผนึกก็ไม่มีวันทำลายมหาข่ายปราณได้อีกแล้ว
!”
กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ความหมายของฉู่เทียนเซิงก็คือนิกายพันธมิตรสวรรค์จะสงบสุขและมั่นคงสืบไปอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี
พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปีศาจไร้พ่ายและไม่ต้องพะวงเหล่ายอดฝีมือเหล่าปีศาจที่ลอบเข้ามาหมายจะทำลายผนึกอีกต่อไป
ผู้อาวุโสหลายคนแสดงสีหน้าโล่งอกและเผยรอยยิ้มพร้อมกับกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ
แน่นอนว่าสายตาของผู้อาวุโสหลายคนที่มองไปยังจี้เทียนซิงนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและพึงพอใจ
ทุกคนรู้ว่าจี้เทียนซิงได้ทำผลงานที่สุดยอดแก่นิกาย
จากนี้ไปชายหนุ่มผู้นี้จะเต็มไปด้วยอนาคตที่สดใส
ในเวลานี้เองฉู่เทียนเซิงก็กล่าวต่อไปว่า
“แน่นอนว่านิกายเราปลอดภัย
แต่ก็มิใช่ชั่วนิรันดร์ นอกจากนี้พวกเรายังมีงานอื่นต้องทำ
สุสานพันปีในภูเขามังกรจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบและหาทางทำลายข่ายปราณให้ได้โดยเร็ว”
“นอกจากนี้ ผู้อาวุโสที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องนิกายก็จะต้องเพิ่มมาตรการป้องกันและอย่าให้เผ่าปีศาจบุกเข้ามาเผ่นผ่านได้
!”
“เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ชั่วร้าย
ตราบใดที่ข้าฉู่เทียนเซิงยังไม่ตาย นิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ไม่มีวันสิ้น
อีกไม่ช้านิกายเราจะทำลายล้างและถอนรากถอนโคนพวกมันให้หมดสิ้น !”
ผู้อาวุโสหลายคนในห้องโถงใหญ่พยักหน้าและเห็นด้วยกับคำพูดของฉู่เทียนเซิง
ต่อจากนั้นฉู่เทียนเซิงก็หันไปมองจี้เทียนซิงด้วยแววตาร้อนรุ่ม
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจังว่า “นอกเหนือจากที่ประกาศไปทั้งหมดยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
การวางมหาข่ายปราณครั้งนี้ความดีความชอบทั้งหมดเป็นของศิษย์ฝ่ายนอกจี้เทียนซิง
เขามีส่วนร่วมและทำคุณประโยชน์ต่อนิกายเป็นอย่างมาก สมควรได้รับรางวัลใหญ่ !”
“ข้าประมุขขอประกาศไว้ที่นี่ตอนนี้
นับแต่บัดนี้ไปจี้เทียนซิงเข้าสู่นิกายฝ่ายในและมีตำแหน่งเป็นศิษย์สายตรงคนที่สามของข้า
ฉู่เทียนเซิง !”
“อีกสามวันจะมีพิธีคารวะอาจารย์ในวิหารแห่งนี้ !”
เหล่าผู้อาวุโสในกลุ่มคนต่างคาดไม่ถึงว่าเรื่องที่สองที่ฉู่เทียนเซิงต้องการประกาศต่อสาธารณะชนก็คือการรับจี้เทียนซิงเป็นศิษย์สายตรง
!
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างเข้าใจดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้หมายถึงอะไรและฐานะศิษย์สายตรงสำคัญเพียงใด
ทุกคนแสดงสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อนและจ้องมองไปยังจี้เทียนซิงด้วยแววตาเป็นประกาย
ถึงแม้ว่าจะมีผู้อาวุโสหกคนที่ไม่คัดค้านในเรื่องนี้แต่พวกเขาก็ยังลอบแปลกใจไม่น้อยเพราะพวกเขารู้ว่าศิษย์สายตรงก็คือหนึ่งในว่าที่ประมุขนิกายคนต่อไป
นอกจากนี้มีผู้อาวุโสอีกสามคนที่หันไปกระซิบกระซาบกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่แตกต่างและไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
หนึ่งในผู้อาวุโสเหล่านั้นมีสตรีอาวุโสนางหนึ่งที่ดูเจ้าอารมณ์
นางมีสีหน้าท่าทางซับซ้อนและครุ่นคิด
นางโค้งคารวะฉู่เทียนเซิงพลางกล่าวออกมาว่า
“เรียนท่านประมุข
ท่านเป็นดั่งเหนือหัวของนิกายเรา
เรื่องการรับศิษย์สายตรงของท่านเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
มันเกี่ยวพันถึงรากฐานก่อตั้งนับพันปีของนิกายพันธมิตรสวรรค์
ขอท่านประมุขโปรดไตร่ตรองอีกรอบก่อนเถอะเจ้าค่ะ !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved