ตอนที่ 377 ฟ้องร้องความชั่วร้าย

นอกจากนี้ยังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังของมังกรสองหัว

มันเป็นชายวัยกลางคนผู้งามสง่าในชุดเกราะทองคำ

แต่งกายเหมือนขุนพลทั่วไป,

มันคือนายพลหยูหลิน

อย่างไรก็ตาม ทุกคนในจัตุรัสมิได้แยแสสนใจนายพลหยูหลินแต่อย่างใด

ดวงตาของพวกมันล้วนตกไปอยู่ที่ชายหนุ่มรูปนามเบื้องหน้า

ทุกคนต่างรู้ว่าโอรสแห่งสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานได้มาถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์แล้ว

!

ประมุขแต่ละนิกาย, ผู้อาวุโสทุกคนต่างก็เผยสีหน้ายำเกรง

ดวงตาของพวกมันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

หัวหน้าศิษย์ทุกคนจ้องมองไปที่โอรสสวรรค์บนหลังมังกรทอง

แสดงสีหน้าเคารพออกมาอย่างแรงกล้า

มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

สงบ เยือกเย็นและดูไม่แยแส

คนสองที่ว่านี้ย่อมเป็นจี้เทียนซิงและหยุนเหยา

"วูบ วูบ !"

มังกรทองสองเศียรบินอยู่เหนือศีรษะของทุกคน

ก่อให้เกิดสายลมแรงและรัศมีพลังกดดันที่มองไม่เห็น

ต้นไม้รอบจัตุรัสถูกลมพัดแรงจนเอนเอียงใกล้จะหักโค่น  ชายอาภรณ์ของทุกคนสะบัดพัดพลิ้วไปตามลมแรงเช่นเดียวกัน

มังกรทองบินเวียนเป็นวงกลมอยู่สองรอบ

จากนั้นมันก็ค่อยๆร่อนลง

"ตึง !!"

ทันทีที่กรงเล็บมังกรทั้งห้ากระทบผืนแผ่นดิน  พื้นหินชวนที่แข็งแกร่งพลันเกิดหลุมขนาดใหญ่ห้าหลุมและรอยปริร้าวรอบๆในทันที

รูม่านตาของทุกคนหดวูบลงและตึงแน่น

ในใจลอบตื่นตะหนกและยำเกรงต่อพลานุภาพของโอรสสวรรค์และลานจักรพรรดิในตำนาน

"ตุบ ! ตุบ !"

เทียนจือกระโดดลงจากหลังมังกรทองเป็นคนแรก

ร่อนลงบนกลางจัตุรัสอย่างรวดเร็ว

นายพลหยูหลินเดินตามรอยเท้าของอีกฝ่าย กระโดดลงบนจัตุรัสและยืนเงียบๆด้านหลัง

ห่างไปสามก้าวพอดิบพอดี

วูบ !

จากนั้นเทียนจือยกมือซ้ายขึ้นโบกไปทางมังกรทอง

มันผงกเศียรและร่างกายของมันก็ส่องแสงสีทองออกมา

ขนาดตัวหดลงอย่างรวดเร็วจนเล็กลงเรื่อยๆ

วู้ม  !!

ภายในชั่วกระพริบตา มังกรทองสองเศียรที่ยาวนับพันเมตรก็กลายเป็นลูกปัดมังกรคู่ที่ขนาดเพียงนิ้วโป้ง

ลอยไปตกบนฝ่ามือของเทียนจือ

จากนั้นเทียนจือก็รั้งมือกลับ

เดินสองมือไพล่หลัง ตรงไปยังฝูงชน

มันยืนอยู่ห่างจากฉู่เทียนเซิงไปสิบก้าว

กวาดสายตาคมกล้ามองฝูงชนอย่างสงบเยือกเย็น

ดวงตาที่เฉยเมยของมันจ้องผ่านฉู่เทียนเซิงเป็นอันดับแรก

ตามมาด้วยแถวที่สองและสาม เพ่งมองประมุขทุกนิกาย หัวหน้าศิษย์ทุกคน

ส่วนเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังสุด

มันไม่แยแสและเพิกเฉยไปโดยสิ้นเชิง

แน่นอน ยามที่มันกวาดสายตาผ่านหยุนเหยา

มันหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งและเผยรอยยิ้มบางที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นขึ้น

ในเวลานี้เอง ทุกคนก็กล่าวทักทายและประสานมือโค้งคำนับอย่างเคารพนอบน้อม

"พวกเราเหล่าผู้ฝึกยุทธ์แห่งเทียนเฉิน

ขอน้อมรับโอรสสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง !"

เสียงของทุกคนตะเบ็งออกมาพร้อมกันเป็นคลื่นเสียงที่ดังก้องไปด้วยทั้งจัตุรัส

ชวนให้ผู้ได้ยินต้องรู้สึกขยาดเขลา ขนลุกขนพอง

เทียนจือผงกศีรษะของมันเล็กน้อย

สีหน้าไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ

พลันยกมือขึ้นอย่างถ่อมตนและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจ

“พวกท่านทุกคนมิต้องมากมารยาทไป  เชิญลุกขึ้นทำตัวตามสบายเถิด !”

ทุกคนลุกขึ้นยืนทันทีและจ้องมองโอรสสวรรค์อย่างใกล้ชิด

เพ่งพิศวงหน้าที่แท้จริงของผู้ที่ได้ชื่อว่าบุตรแห่งสวรรค์

ดวงตาของเทียนจือจับจ้องไปที่ฉู่เทียนเซิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ท่านนี้สมควรเป็นประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์, ฉู่เทียนเซิงแล้วกระมัง ?”

ฉู่เทียนเซิงรีบคารวะอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อมว่า

"คาวระเทียนจือ เป็นกระหม่อมเอง !"

เทียนจือพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก

ฉู่เทียนเซิงผายมืออย่างรวดเร็วและกล่าวต่อไปว่า

“ทูลฝ่าบาท

พวกกระหม่อมคอยต้อนรับพระองค์อยู่ที่นี่ ไม่เพียงทำตามบัญชาของลานจักรพรรดิ แต่ยังเพื่อน้อมสนองต่อเจตนาแท้จริงของที่ลานจักรพรรดิมีต่อสถานการณ์โดยรวมด้วยขอรับ"

"กระหม่อมได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้ในห้องโถงแล้ว

ขอให้พระองค์เสด็จไปบอกกล่าวเรื่องราวต่อพวกเราในห้องโถงเถิดขอรับ

ที่นั่นสะดวกสบายกว่า"

หลังจากพูดจบฉู่เทียนเซิงก็โค้งตัวลงและผายมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญอีกฝ่าย

เทียนจือพยักหน้าและเดินนำหน้าไป

ตามมาด้วยนายพลหยูหลิน มุ่งหน้าไปยังห้องโถง

ฉู่เทียนเซิงก้าวเท้าเดินตามติด

และตามหลังมาด้วยเหล่าประมุขนิกายอื่นๆและผู้อาวุโส

หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยลมหายใจ ทุกคนก็เข้าไปในตำหนักฉิงเทียนกันพร้อมหน้า

แน่นอนว่าในช่วงเวลานี้ย่อมมีบรรยากาศอึดอัดเกี่ยวกับเรื่องการจัดแจงตำแหน่งที่นั่ง

เทียนจือย่อมนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดเป็นที่แน่นอน

เคียงข้างด้วยนายพลหยูหลินที่ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้น  ใบหน้าของมันเคร่งขรึมสง่างามตามแบบฉบับทหารกล้าไม่ผิดเพี้ยน

ประมุขนิกายทั้งแปดและผู้อาวุโส

นั่งเป็นสองแถวที่ด้านข้างของห้องโถง

ทางด้านซ้ายมือของเทียนจือนั่งไว้ด้วยฉู่เทียนเซิง

พระแม่สุ่ยเยวี่ย เหยียนจางเหมินและฉีจ้ง

ส่วนอีกสี่คนทางด้านขวา เทียนเจี้ยนจงนั่งอยู่เป็นลำดับแรก

ตามมาด้วยประมุขนิกายเจิ้นหวู่ เฟิงฮั่วและพันใบไม้ร่วง

สำหรับอาวุโสและหัวหน้าศิษย์ของแต่ละนิกายนั้นยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมีที่นั่ง

ทำได้เพียงยืนอยู่ด้านหลังประมุขของแต่ละคน

จี้เทียนซิงและหยุนเหยายืนเคียงข้างกันอยู่หลังฉู่เทียนเซิง

โดยมีเฟิงหมินอยู่หลังพระแม่สุ่ยเยวี่ยและอู่อวี้อยู่หลังเหยียนจางเหมิน

ส่วนผู้ที่อยู่ด้านหลังเทียนเจี้ยนจงมีเพียงหวงฟู่ผู้เดียว

ท้ายที่สุดซื่อเหวินหยูหัวหน้าศิษย์ก็ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว

ซึ่งเทียนเจี้ยนจงก็ยังมิได้เลือกเฟ้นศิษย์สายตรงคนใหม่

จากนั้นเทียนจือกวาดตาผ่านฝูงชนอย่างเคร่งขรึมและกล่าวว่า

“จ้าวสำนักและประมุขทุกท่าน

เรามาเยือนอาณาจักรเทียนเฉินในครั้งนี้ตามพระบัญชาของตี้จวินแห่งลานจักรพรรดิ

เพื่อเป็นคนกลางในสถานการณ์โดยรวม"

"เพื่อรักษาสถานภาพของทุกฝ่ายให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคง

ให้แน่ใจว่าปวงประชาได้อยู่ดีมีสุขและเจริญรุ่งเรือง ไร้ซึ่งไฟสงคราม"

"พวกท่านทุกคนต่างก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่

เป็นประมุขของสำนักนิกาย ปกครองอาณาจักรเทียนเฉินและดินแดนดาราบรรพกาลมาเนิ่นนาน พวกท่านจำเป็นต้องร่วมมือกัน

หันหน้าเข้าหากันและอยู่กันอย่างปรองดอง"

ประมุขทั้งแปดต่างก็พยักหน้าอย่างลับๆและจ้องมองเทียนจือด้วยความคาดหวังในใจ

สำหรับความขัดแย้งระหว่างนิกายกระบี่ฟ้าและนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้น

ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างก็รู้ดี

ทุกคนเริ่มสงสัยและขบคิดในใจอย่างลับๆ พวกมันดูไม่ออกว่าท่าทีเช่นนี้ของเทียนจือสื่อถึงอะไร

แล้วจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร

ในเวลานี้เองเทียนจือได้กล่าวต่อไปว่า

“เราเพิ่งมาเยือนอาณาจักรแห่งนี้ได้ไม่นานและยังไม่ทราบสถานการณ์เท่าใดนัก

พวกท่านเชิญแนะนำตัวให้เรารู้จักก่อนเถิด”

ฉู่เทียนเซิงลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกและประสานมือโค้งคารวะ

แนะนำตัวเอง

ทันทีหลังจากนั้น พระแม่สุ่ยเยวี่ยของนิกายฤทัยจันทรา

เหยียนจางเหมิน ฉีจ้ง ฯลฯก็ลุกขึ้นแนะนำตัวตามลำดับ

หลังจากนั้นไม่นาน

เมื่อประมุขทั้งแปดนิกายใหญ่แนะนำตัวเองเสร็จสิ้น เทียนจือก็จดจำชื่อและลักษณะท่าทางของทุกคนได้หมดสิ้น

เขามองไปที่ฉู่เทียนเซิงและเอ่ยปากถามว่า “ประมุขฉู่

เราทราบข่าวเมื่อเดือนก่อน

ว่าประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเกาอวี่ได้ส่งจดหมายร้องเรียนมาที่ลานจักรพรรดิ

ใจความว่านิกายพันธมิตรสวรรค์บุกขึ้นตำหนักใหญ่ของนิกายกระบี่ฟ้า

จับดาบควงกระบี่ทำลายขุนเขาหลักของนิกายอย่างโหดเหี้ยม”

“ไม่ทราบว่าประมุขฉู่พอจะอธิบายถึงสาเหตุที่มาที่ไปและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นของพวกท่านให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่

?"

ฉู่เทียนเซิงอึ้งไปวูบหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่ามันคาดไม่ถึงว่าเทียนจือผู้นี้จะเป็นคนเด็ดขาด

วิธีการของพระองค์ช่างรวบรัดชัดเจนตรงเข้าประเด็นหลักทันทีที่พบหน้ากัน

มันยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด

ทันใดนั้นเองเทียนเจี้ยนจงก็ลุกขึ้นยืนและเดินกลางห้องโถงอย่างรวดเร็ว

คนโค้งคารวะอย่างนอบน้อมต่อเทียนจือและกล่าวอย่างแค้นเคืองว่า

“กระหม่อมเกาอวี่

ประมุขแห่งนิกายกระบี่ฟ้าขอรับ”

“กราบทูลเทียนจือ

นิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นนิกายใหญ่อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน

พวกมันโหดร้ายป่าเถื่อนและข่มเหงรังแกผู้คนยิ่งนัก !”

"ไม่เพียงแค่สังหารศิษย์สาวก, ทำลายธรณีประตูนิกาย

แต่พวกมันยังทำลายรากฐานก่อตั้งนับร้อยๆปีของนิกายกระบี่ฟ้า......."

"เทียนจือ ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้แก่นิกายกระบี่ฟ้าของกระหม่อมนะขอรับ

!”