ตอนที่ 162 ร่วมเป็นร่วมตาย

เมื่อมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยกำลังจะสังหารจี้เทียนซิง

ในช่วงวิกฤตนั้น

ลำแสงสีดำพลันปรากฏขึ้นในร่างกายของเขาทันที

แสงสีดำเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายอันลี้ลับและก่อตัวเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วร่างมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย

การโจมตีอันเกรี้ยวกราดของเผ่าปีศาจทั้งสองถูกขวางไว้ด้วยหลุมดำลึกลับ

จากนั้นมันปะทุพลังอันแข็งกร้าวออกมาดูดกลืนพลังยุทธ์ของพวกเขาทันที

มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยดวงตาเบิกถลนอย่างตกตะลึงเมื่อได้หลุมดำลึกลับที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

สีหน้าของพวกมันฉายแววสยดสยองและหวาดกลัว

“บ้าเอ๊ย เป็นหลุมดำนี่บัดซบนี่อีกแล้ว !”

องค์หญิงเสวี่ยสบถออกมาด้วยความตื่นตระหนก

ดูเหมือนนางจะไม่ลืมเลือนความน่ากลัวที่พลังถูกกลืนหายไปกว่าหกส่วน

“กลิ่นอายเก่าแก่โบราณสายนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

มันคล้ายคลึงกับกลิ่นอายของลูกประคำดาราอย่างไม่ผิดเพี้ยน !”

ถึงแม้ว่ามหาปุโรหิตจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคร่ำครึโบราณของหลุมดำนี้ เขาก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

พลังขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตก็ถูกกลืนกินไปเป็นจำนวนมาก

ทั้งสองพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงตัวเองให้หลุดจากรัศมีการดูดกลืนของหลุมดำ

จี้เทียนซิงเหม่อมองไปที่หลุมดำเบื้องหน้าสลับกับมองไปที่มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยที่ราวกับอยู่ในหลุมโคลนที่เคลื่อนไหวได้ยาก  เขาเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างเหลือเชื่อออกมา

ทุกครั้งที่หลุมดำลึกลับปรากฏขึ้นก็มักจะเป็นช่วงที่เขาอยู่ในอาการไม่ได้สติ

เขาไม่เคยเห็นมันตรงๆมาก่อน

เขาได้ฟังแค่เพียงคำบอกเล่าของเฉียนเยวี่ยว่าหลุมดำลึกลับน่ากลัวมาก

มันกลืนกินพลังชั่วชีวิตของเฉียนเยวี่ยไปจนร่างกายหดเล็กเหลือเท่าลูกแมวจากเดิมที่ใหญ่โตดั่งภูเขาขนาดย่อมๆ

ในขณะนี้จี้เทียนชิงได้เห็นหลุมดำลึกลับด้วยตาของเขาเองแล้ว

เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร ?

ในที่สุดเขาก็รอดพ้นจากความตาย

หัวใจที่จมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวังเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง

ผ่านไปอีกสามลมหายใจมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ถูกดูดพลังไปอีกห้าส่วน

หากกระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อไปเกรงว่าขอบเขตพลังยุทธ์ของพวกเขาที่บ่มเพาะมาร่วมครึ่งปีจะเสียเปล่า

ในเวลานี้เองเพื่อที่จะหลบหนีจากการดูดกลืนของหลุมดำ

มหาปุโรหิตก็ร่ายมนต์คาถาออกมา

“อสูรมลาย !”

มันคำรามก้องและโบกแส้งูทมิฬเข้าไปในหลุมดำพลางโบกมือร่ายรำเป็นมนต์คาถาชนิดหนึ่ง

ก่อเกิดเป็นแสงสีดำอันมืดมิด

ภายใต้การควบคุมของมัน

แส้งูทมิฬระเบิดกึกก้องในหลุมดำด้วยเสียงดัง ตูม !

เสียงกัมปนาทราวกับปฐพีสลายดังขึ้น

แส้งูทมิฬเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจโลหิตและเปล่งประกายระยิบระยับ

“ตูม ตูม ตูม !”

ผลกระทบจากการจุดชนวนระเบิดของแส้งูทมิฬปิดกั้นการกลืนกินของหลุมดำเอาไว้ได้ชั่วคราว

ในขณะนั้นเองมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยก็ขยับร่างกายได้

พวกเขาคว้าโอกาสในชั่วเสี้ยววินาทีนี้ทะยานร่างหนีออกจากหลุมดำทันทีและถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองถอยกรูดไปไกลร่วมสามสิบเมตรโดยจับจ้องไปที่หลุมดำลึกลับอย่างไม่ละสายตา

มหาปุโรหิตที่ต้องยอมสังเวยแส้งูทมิฬนั้นใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น

"ระยำเอ้ย

!  อาวุธชิ้นนั้นข้าต้องใช้โลหิตหลอมสร้างมันมานานกว่าสามสิบปี

!”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็แค่นเสียงลอดไรฟันออกมาเช่นกัน

“เจ้าเดรัจฉานนั่น

กลืนกินพลังที่ข้าเพิ่งฟื้นฟูมาได้ไปเกือบห้าส่วน !”

นี่เป็นครั้งที่สองที่นางถูกหลุมดำลึกลับกลืนกิน

นางตระหนักได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของหลุมดำลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวจนแม้กระทั่งนางกับมหาปุโรหิตก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้

ในเวลาเดียวกัน

หลุมดำลึกลับก็หายวับไปในทันที

จี้เทียนซิงมีปฏิกิริยาทันที

เขารีบหลบไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ฟุ่บ

! ฟุ่บ !

มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยสีหน้าดำทะมึนและกลายเป็นหมอกสีดำไล่กวดจี้เทียนซิงด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า

ความเร็วของทั้งสองนั้นเร็วมากจนสามารถตามติดจี้เทียนซิงจากด้านหลังได้ในพริบตา

และห่างไปเพียงสิบเมตรเท่านั้น

ในเวลานี้เอง

หยุนเหยาก็ข่มอาการบาดเจ็บและดีดร่างขึ้นจากพงหญ้าพุ่งไปหาจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว

นางหยิบเจดีย์ซวนจี๋ออกมาและร่ายอาคมลับจนมันปลดปล่อยแสงสีทองอันน่าตื่นตา

จากนั้นก็ก่อรูปเป็นโล่ทองคำที่ห่อหุ้มร่างของนางและจี้เทียนซิง

“ศิษย์น้องเทียนซิง  ไป !”

หยุนเหยาตะโกนลั่นและควบคุมเจดีย์ซวนจี๋เพื่อปะทุพลังลึกลับบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับจี้เทียนซิง

“วูบ !”

โล่ทองคำของเจดีย์ซวนจี๋หอบพัดรอบร่างของนางและจี้เทียนซิงบินออกจากป่าและพุ่งหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า

ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเจดีย์ซวนจี๋ก็พาพวกเขาข้ามภูเขาและหายเข้าสู่ท้องฟ้าอันมืดมิด

มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยไม่ยินยอม

ทั้งสองไล่กวดอย่างสุดกำลังแต่ก็มิอาจตามติดได้ทัน อีกทั้งพลังยุทธ์ก็ถดถอยไปมาก

พวกเขาทำได้เพียงยอมแพ้

ปีศาจทั้งสองสบถออกมาอย่างโกรธแค้น

จากนั้นก็หมุนร่างกลับไปยังถ้ำปีศาจ

......

“ตุบ !”

โล่ทองคำของเจดีย์ซวนจี๋เป็นดั่งดาวตกที่ตัดผ่านน่านฟ้ายามค่ำคืน หลังจากพวกเขาทั้งสองลงสู่พื้นดิน โล่ทองคำก็หายไป ส่วนเจดีย์ซวนจี๋ก็หดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ

อาการบาดเจ็บของหยุนเหยาสาหัสมาก

หลังจากใช้พลังขุมสุดท้ายควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ ในที่สุดพลังปราณของนางก็หมดสิ้นลง

เมื่อเท้าถึงพื้น

ร่างอันบอบบางของนางก็เอนลงบนพื้นหญ้าอย่างอ่อนแรงและหมดสติไป

“ศิษย์พี่ !  ท่านเป็นไรแล้ว ?!"

จี้เทียนซิงหมุนตัวไปกอดนางอย่างรวดเร็วพลางตะโกนด้วยความกังวลมากมาย

หยุนเหยาไม่ตอบคำ

ดวงตาปิดสนิท นางอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส พลังปราณถูกใช้จนหมดสิ้นและหมดสติไปโดยสมบูรณ์

จี้เทียนซิงรีบหยิบโอสถออกจากถุงมิติและค่อยๆป้อนใส่ปากนาง เขาทาบฝ่ามือตนเองเข้ากับฝ่ามือนางเพื่อถ่ายพลังลมปราณเข้าสู่ร่างช่วยให้นางคืนสติ

ระหว่างกระบวนการนี้เขาทำได้เพียงสวดภาวนาอย่างเงียบงันว่านางต้องไม่เป็นอะไร

และหวังว่านางจะฟื้นโดยเร็วที่สุด

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเห็นว่ามันเป็นเวลาเช้ามืดใกล้จะรุ่งสางแล้ว

“ใกล้จะสว่างแล้ว ข้าต้องรีบพาศิษย์พี่ออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

มิฉะนั้นหากเผ่าปีศาจตามติดได้ทันพวกเราคงไม่รอดแน่ !”

เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงแบกร่างของหยุนเหยาไว้กลางหลังและเดินเข้าไปในป่าเพื่อค้นหากระเรียนวิญญาณที่นางทิ้งไว้

เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าหยุนเหยาและไป๋หวู่เชินทิ้งกระเรียนวิญญาณกับหมาป่าจันทราเงินไว้ที่บริเวณเชิงเขา

ไป๋หวู่เชินที่ไม่ได้มาด้วยอาจจะพาหมาป่าจันทราเงินกลับไปแล้ว

แต่กระเรียนวิญญาณต้องอยู่ไม่ไกลแน่

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงเดินวนเวียนในเชิงเขาอยู่นานก็ยังไม่พบกระเรียนวิญญาณของนาง

“รีบว่ามันจะบินหนีไปก่อนแล้ว ?”

“เอาเถอะ... แม้ว่าจะต้องเดินเท้าเปล่า

ข้าก็จะต้องพาศิษย์พี่กลับนิกายให้ได้อย่างปลอดภัย !”

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและหอบร่างของหยุนเหยาไว้กลางหลัง

เขาวิ่งเข้าไปในภูเขาและกลับไปยังทิศทางที่ตั้งของนิกายพันธมิตรสวรรค์

หลังจากนั้นไม่นาน

ความมืดมิดที่ปกคลุมฟ้าดินก็สลายไป ขอบฟ้าเผยให้เห็นแสงสีขาวขึ้นรำไร

รุ่งสางแห่งวันใหม่กำลังมาถึงและดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นสู่ท้องฟ้า

ถึงแม้ว่าเรือนร่างน้อยๆของหยุนเหยาจะไม่ได้หนักสำหรับชายหนุ่มอย่างเขา

แต่จี้เทียนซิงก็เหนื่อยล้ามากมายเพราะพลังปราณที่เขาหลงเหลือนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด

เขาอุ้มหยุนเหยาข้ามเขาและวิ่งอย่างบ้าคลั่ง

เขาทั้งเหนื่อยล้าและดวงตาเริ่มพร่ามัว

แต่ทว่าเขาก็ยังยืนหยัดกัดฟันสู้

แม้เหงื่อไคลจะไหลย้อยเพียงใดเขาก็ไม่หยุดวิ่ง

จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง

หลังจากข้ามภูเขามาหลายลูก เขาก็อยู่ห่างจากถ้ำของเผ่าปีศาจได้พอสมควรจึงหยุดพัก

จี้เทียนซิงหยิบเนื้อตากแห้งจากถุงมิติไปสองชิ้นและผลไม้วิญญาณเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณและพลังกาย  จากนั้นเขาก็อุ้มนางเดินทางต่อไป

จากความทรงจำที่เขามีต่อหยุนเหยา  จนถึงปัจจุบันเขาก็ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับนางขนาดนี้มาก่อน

หยุนเหยาหมดสติและแอบอิงอยู่บนหลังของเขา

เรือนกายของทั้งสองแนบชิดติดกันผ่านอาภรณ์บางๆที่เปื้อนไปด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง

ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงเรือนร่างอันเต่งตึงสมวัยของนางได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังได้กลิ่นกายหอมของอิสตรีเปล่งออกมาตามธรรมชาติ

เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลกๆและคิดฟุ่งซ่านในใจ

“เกรงว่าคงไม่มีบุรุษใดที่ได้ใกล้ชิดกับนางมากขนาดนี้อีกแล้ว”

จากนั้นไม่นาน

เวลาก็ผ่านไปและดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า

จี้เทียนซิงเดินทางผ่านแนวเทือกเขาสลับกับภูเขายาวหลายพันฟุต

เมื่อพวกเขามาถึงเชิงเขาที่รวมตัวกับไป๋หวู่เชินครั้งแรก

เขาก็พบกับชายหนุ่มสองคนที่สวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาด

ชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีท่วงท่างามสง่า

ทั้งสองสวมอาภรณ์สีขาวเหมือนกันและสะพายกระบี่ไว้กลางหลัง  สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความมั่นใจและความหยิ่งผยองที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนเป็นของศิษย์สำคัญในนิกายใดนิกายหนึ่ง