เมื่อมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยกำลังจะสังหารจี้เทียนซิง
ในช่วงวิกฤตนั้น
ลำแสงสีดำพลันปรากฏขึ้นในร่างกายของเขาทันที
แสงสีดำเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตายอันลี้ลับและก่อตัวเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วร่างมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ย
การโจมตีอันเกรี้ยวกราดของเผ่าปีศาจทั้งสองถูกขวางไว้ด้วยหลุมดำลึกลับ
จากนั้นมันปะทุพลังอันแข็งกร้าวออกมาดูดกลืนพลังยุทธ์ของพวกเขาทันที
มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยดวงตาเบิกถลนอย่างตกตะลึงเมื่อได้หลุมดำลึกลับที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
สีหน้าของพวกมันฉายแววสยดสยองและหวาดกลัว
“บ้าเอ๊ย เป็นหลุมดำนี่บัดซบนี่อีกแล้ว !”
องค์หญิงเสวี่ยสบถออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ดูเหมือนนางจะไม่ลืมเลือนความน่ากลัวที่พลังถูกกลืนหายไปกว่าหกส่วน
“กลิ่นอายเก่าแก่โบราณสายนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
มันคล้ายคลึงกับกลิ่นอายของลูกประคำดาราอย่างไม่ผิดเพี้ยน !”
ถึงแม้ว่ามหาปุโรหิตจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคร่ำครึโบราณของหลุมดำนี้ เขาก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
พลังขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยและมหาปุโรหิตก็ถูกกลืนกินไปเป็นจำนวนมาก
ทั้งสองพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงตัวเองให้หลุดจากรัศมีการดูดกลืนของหลุมดำ
จี้เทียนซิงเหม่อมองไปที่หลุมดำเบื้องหน้าสลับกับมองไปที่มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยที่ราวกับอยู่ในหลุมโคลนที่เคลื่อนไหวได้ยาก เขาเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างเหลือเชื่อออกมา
ทุกครั้งที่หลุมดำลึกลับปรากฏขึ้นก็มักจะเป็นช่วงที่เขาอยู่ในอาการไม่ได้สติ
เขาไม่เคยเห็นมันตรงๆมาก่อน
เขาได้ฟังแค่เพียงคำบอกเล่าของเฉียนเยวี่ยว่าหลุมดำลึกลับน่ากลัวมาก
มันกลืนกินพลังชั่วชีวิตของเฉียนเยวี่ยไปจนร่างกายหดเล็กเหลือเท่าลูกแมวจากเดิมที่ใหญ่โตดั่งภูเขาขนาดย่อมๆ
ในขณะนี้จี้เทียนชิงได้เห็นหลุมดำลึกลับด้วยตาของเขาเองแล้ว
เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร ?
ในที่สุดเขาก็รอดพ้นจากความตาย
หัวใจที่จมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวังเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง
ผ่านไปอีกสามลมหายใจมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ถูกดูดพลังไปอีกห้าส่วน
หากกระบวนการนี้ยังคงดำเนินต่อไปเกรงว่าขอบเขตพลังยุทธ์ของพวกเขาที่บ่มเพาะมาร่วมครึ่งปีจะเสียเปล่า
ในเวลานี้เองเพื่อที่จะหลบหนีจากการดูดกลืนของหลุมดำ
มหาปุโรหิตก็ร่ายมนต์คาถาออกมา
“อสูรมลาย !”
มันคำรามก้องและโบกแส้งูทมิฬเข้าไปในหลุมดำพลางโบกมือร่ายรำเป็นมนต์คาถาชนิดหนึ่ง
ก่อเกิดเป็นแสงสีดำอันมืดมิด
ภายใต้การควบคุมของมัน
แส้งูทมิฬระเบิดกึกก้องในหลุมดำด้วยเสียงดัง ตูม !
เสียงกัมปนาทราวกับปฐพีสลายดังขึ้น
แส้งูทมิฬเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจโลหิตและเปล่งประกายระยิบระยับ
“ตูม ตูม ตูม !”
ผลกระทบจากการจุดชนวนระเบิดของแส้งูทมิฬปิดกั้นการกลืนกินของหลุมดำเอาไว้ได้ชั่วคราว
ในขณะนั้นเองมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยก็ขยับร่างกายได้
พวกเขาคว้าโอกาสในชั่วเสี้ยววินาทีนี้ทะยานร่างหนีออกจากหลุมดำทันทีและถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองถอยกรูดไปไกลร่วมสามสิบเมตรโดยจับจ้องไปที่หลุมดำลึกลับอย่างไม่ละสายตา
มหาปุโรหิตที่ต้องยอมสังเวยแส้งูทมิฬนั้นใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
"ระยำเอ้ย
! อาวุธชิ้นนั้นข้าต้องใช้โลหิตหลอมสร้างมันมานานกว่าสามสิบปี
!”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็แค่นเสียงลอดไรฟันออกมาเช่นกัน
“เจ้าเดรัจฉานนั่น
กลืนกินพลังที่ข้าเพิ่งฟื้นฟูมาได้ไปเกือบห้าส่วน !”
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางถูกหลุมดำลึกลับกลืนกิน
นางตระหนักได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของหลุมดำลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวจนแม้กระทั่งนางกับมหาปุโรหิตก็ยังไม่สามารถต่อต้านได้
ในเวลาเดียวกัน
หลุมดำลึกลับก็หายวับไปในทันที
จี้เทียนซิงมีปฏิกิริยาทันที
เขารีบหลบไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ฟุ่บ
! ฟุ่บ !
มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยสีหน้าดำทะมึนและกลายเป็นหมอกสีดำไล่กวดจี้เทียนซิงด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
ความเร็วของทั้งสองนั้นเร็วมากจนสามารถตามติดจี้เทียนซิงจากด้านหลังได้ในพริบตา
และห่างไปเพียงสิบเมตรเท่านั้น
ในเวลานี้เอง
หยุนเหยาก็ข่มอาการบาดเจ็บและดีดร่างขึ้นจากพงหญ้าพุ่งไปหาจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว
นางหยิบเจดีย์ซวนจี๋ออกมาและร่ายอาคมลับจนมันปลดปล่อยแสงสีทองอันน่าตื่นตา
จากนั้นก็ก่อรูปเป็นโล่ทองคำที่ห่อหุ้มร่างของนางและจี้เทียนซิง
“ศิษย์น้องเทียนซิง ไป !”
หยุนเหยาตะโกนลั่นและควบคุมเจดีย์ซวนจี๋เพื่อปะทุพลังลึกลับบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับจี้เทียนซิง
“วูบ !”
โล่ทองคำของเจดีย์ซวนจี๋หอบพัดรอบร่างของนางและจี้เทียนซิงบินออกจากป่าและพุ่งหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า
ภายในเวลาไม่กี่วินาทีเจดีย์ซวนจี๋ก็พาพวกเขาข้ามภูเขาและหายเข้าสู่ท้องฟ้าอันมืดมิด
มหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยไม่ยินยอม
ทั้งสองไล่กวดอย่างสุดกำลังแต่ก็มิอาจตามติดได้ทัน อีกทั้งพลังยุทธ์ก็ถดถอยไปมาก
พวกเขาทำได้เพียงยอมแพ้
ปีศาจทั้งสองสบถออกมาอย่างโกรธแค้น
จากนั้นก็หมุนร่างกลับไปยังถ้ำปีศาจ
......
“ตุบ !”
โล่ทองคำของเจดีย์ซวนจี๋เป็นดั่งดาวตกที่ตัดผ่านน่านฟ้ายามค่ำคืน หลังจากพวกเขาทั้งสองลงสู่พื้นดิน โล่ทองคำก็หายไป ส่วนเจดีย์ซวนจี๋ก็หดเล็กลงจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือ
อาการบาดเจ็บของหยุนเหยาสาหัสมาก
หลังจากใช้พลังขุมสุดท้ายควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ ในที่สุดพลังปราณของนางก็หมดสิ้นลง
เมื่อเท้าถึงพื้น
ร่างอันบอบบางของนางก็เอนลงบนพื้นหญ้าอย่างอ่อนแรงและหมดสติไป
“ศิษย์พี่ ! ท่านเป็นไรแล้ว ?!"
จี้เทียนซิงหมุนตัวไปกอดนางอย่างรวดเร็วพลางตะโกนด้วยความกังวลมากมาย
หยุนเหยาไม่ตอบคำ
ดวงตาปิดสนิท นางอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส พลังปราณถูกใช้จนหมดสิ้นและหมดสติไปโดยสมบูรณ์
จี้เทียนซิงรีบหยิบโอสถออกจากถุงมิติและค่อยๆป้อนใส่ปากนาง เขาทาบฝ่ามือตนเองเข้ากับฝ่ามือนางเพื่อถ่ายพลังลมปราณเข้าสู่ร่างช่วยให้นางคืนสติ
ระหว่างกระบวนการนี้เขาทำได้เพียงสวดภาวนาอย่างเงียบงันว่านางต้องไม่เป็นอะไร
และหวังว่านางจะฟื้นโดยเร็วที่สุด
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและเห็นว่ามันเป็นเวลาเช้ามืดใกล้จะรุ่งสางแล้ว
“ใกล้จะสว่างแล้ว ข้าต้องรีบพาศิษย์พี่ออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
มิฉะนั้นหากเผ่าปีศาจตามติดได้ทันพวกเราคงไม่รอดแน่ !”
เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงแบกร่างของหยุนเหยาไว้กลางหลังและเดินเข้าไปในป่าเพื่อค้นหากระเรียนวิญญาณที่นางทิ้งไว้
เขาจำได้อย่างชัดเจนว่าหยุนเหยาและไป๋หวู่เชินทิ้งกระเรียนวิญญาณกับหมาป่าจันทราเงินไว้ที่บริเวณเชิงเขา
ไป๋หวู่เชินที่ไม่ได้มาด้วยอาจจะพาหมาป่าจันทราเงินกลับไปแล้ว
แต่กระเรียนวิญญาณต้องอยู่ไม่ไกลแน่
อย่างไรก็ตาม
จี้เทียนซิงเดินวนเวียนในเชิงเขาอยู่นานก็ยังไม่พบกระเรียนวิญญาณของนาง
“รีบว่ามันจะบินหนีไปก่อนแล้ว ?”
“เอาเถอะ... แม้ว่าจะต้องเดินเท้าเปล่า
ข้าก็จะต้องพาศิษย์พี่กลับนิกายให้ได้อย่างปลอดภัย !”
จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและหอบร่างของหยุนเหยาไว้กลางหลัง
เขาวิ่งเข้าไปในภูเขาและกลับไปยังทิศทางที่ตั้งของนิกายพันธมิตรสวรรค์
หลังจากนั้นไม่นาน
ความมืดมิดที่ปกคลุมฟ้าดินก็สลายไป ขอบฟ้าเผยให้เห็นแสงสีขาวขึ้นรำไร
รุ่งสางแห่งวันใหม่กำลังมาถึงและดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นสู่ท้องฟ้า
ถึงแม้ว่าเรือนร่างน้อยๆของหยุนเหยาจะไม่ได้หนักสำหรับชายหนุ่มอย่างเขา
แต่จี้เทียนซิงก็เหนื่อยล้ามากมายเพราะพลังปราณที่เขาหลงเหลือนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด
เขาอุ้มหยุนเหยาข้ามเขาและวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
เขาทั้งเหนื่อยล้าและดวงตาเริ่มพร่ามัว
แต่ทว่าเขาก็ยังยืนหยัดกัดฟันสู้
แม้เหงื่อไคลจะไหลย้อยเพียงใดเขาก็ไม่หยุดวิ่ง
จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง
หลังจากข้ามภูเขามาหลายลูก เขาก็อยู่ห่างจากถ้ำของเผ่าปีศาจได้พอสมควรจึงหยุดพัก
จี้เทียนซิงหยิบเนื้อตากแห้งจากถุงมิติไปสองชิ้นและผลไม้วิญญาณเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณและพลังกาย จากนั้นเขาก็อุ้มนางเดินทางต่อไป
จากความทรงจำที่เขามีต่อหยุนเหยา จนถึงปัจจุบันเขาก็ไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับนางขนาดนี้มาก่อน
หยุนเหยาหมดสติและแอบอิงอยู่บนหลังของเขา
เรือนกายของทั้งสองแนบชิดติดกันผ่านอาภรณ์บางๆที่เปื้อนไปด้วยคราบโลหิตแห้งกรัง
ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ถึงเรือนร่างอันเต่งตึงสมวัยของนางได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังได้กลิ่นกายหอมของอิสตรีเปล่งออกมาตามธรรมชาติ
เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกแปลกๆและคิดฟุ่งซ่านในใจ
“เกรงว่าคงไม่มีบุรุษใดที่ได้ใกล้ชิดกับนางมากขนาดนี้อีกแล้ว”
จากนั้นไม่นาน
เวลาก็ผ่านไปและดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า
จี้เทียนซิงเดินทางผ่านแนวเทือกเขาสลับกับภูเขายาวหลายพันฟุต
เมื่อพวกเขามาถึงเชิงเขาที่รวมตัวกับไป๋หวู่เชินครั้งแรก
เขาก็พบกับชายหนุ่มสองคนที่สวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาด
ชายหนุ่มทั้งสองต่างก็มีท่วงท่างามสง่า
ทั้งสองสวมอาภรณ์สีขาวเหมือนกันและสะพายกระบี่ไว้กลางหลัง สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความมั่นใจและความหยิ่งผยองที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนเป็นของศิษย์สำคัญในนิกายใดนิกายหนึ่ง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved