ตอนที่ 378 ไม่มีใครยอมใคร

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเกาอวี่ยืนอยู่ในตำหนักฉิงเทียน

ปากพร่ำบ่นอย่างมีโทสะเกี่ยวกับความผิดบาปที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ทำเอาไว้

มันพูดน้ำไหลไฟดับ เริ่มตั้งแต่เรื่องเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนและพูดถึงงานวันเกิดของมันเมื่อเดือนที่แล้ว

จากคำอธิบายของมัน

นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้กลายเป็นพวกเย่อหยิ่งจองหองบ้าอำนาจและกดขี่ผู้คนไปโดยสมบูรณ์

บางครั้งมันก็จะเผยสีหน้าเศร้าสร้อยหดหู่

เมื่อพูดถึงตอนที่ซื่อเหวินหยูตกตาย

ตัวมันได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือฉู่เทียนเซิง

ตลอดจนเหตุการณ์ที่ยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายจนพินาศ

มันก็ร่ำไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลเป็นสายน้ำ

น้ำเสียงและเสียงร้องไห้อันเศร้าสลดของมันทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นใจ

บ้างก็น้ำตาซึม

เหล่าประมุขและอาวุโสของนิกายต่างๆที่อยู่ในห้องโถงล้วนแต่เผยสีหน้าซับซ้อนเมื่อได้เห็นอากัปกิริยาของเกาอวี่  ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในหัวของทุกคน

พระแม่สุ่ยเยวี่ยเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น

ลอบเย้ยหยันในใจ

“เกาอวี่  บุรุษผู้นี้หน้าด้านไร้ยางอายสิ้นดี !"

"ต่อหน้าพวกเราประมุขและเทียนจือ

มันกล้าแสร้งทำตัวน่าสังเวชจนดูสมจริง ดูเหมือนว่ามันคิดกล่าวโทษนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่อเทียนจืออย่างหน้าด้านๆ"

เหยียนจางเหมินและฉีจ้งจูต่างก็มองเกาอวี่ด้วยส้ำหน้าแปลกๆ  เต็มไปด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

"เกาอวี่

ชายผู้นี้หน้าด้านไร้ยางอายนัก !  มันไม่คำนึงถึงใบหน้าและศักดิ์ฐานะ

เพียงคิดแต่จะแก้แค้นเท่านั้น !"

"เฮอะ

เจ้าหมอนี่เสแสร้งได้เหมือนจริงนัก มันกลับขาวเป็นดำได้อย่างหน้าไม่อาย

ข้าหวังว่าเทียนจือจะไม่ตาบอดต่อการแสดงของมัน"

ส่วนทางด้านขวาของห้องโถง บรรดาประมุขนิกายพันใบไม้ร่วง

นิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็ลอบหัวเราะชอบใจ พวกมันเห็นด้วยและถูกใจต่อการแสดงของเกาอวี่เป็นอย่างมาก

ในใจของผู้นำทั้งสามนิกายล้วนเกิดความคิดต่างๆขึ้น

"เหอๆฉู่เทียนเซิงอึ้งจนโง่งมไปเลยสิท่า

มันย่อมคิดไม่ถึงแน่ว่าเกาอวี่จะกล้าลดศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อแสดงละครต่อหน้าเช่นนี้”

“ฉู่เทียนเซิงเอ๋ยฉู่เทียนเซิง  ต่อหน้าเทียนจือ ต่อหน้าตัวแทนของลานจักรพรรดิ

ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะอธิบายยังไง !”

"เทียนจือไม่เข้าเรื่องราวบุญคุณความแค้นภายในของพวกเรา

เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ย่อมเห็นใจ หรือไม่ก็ปลอบใจเกาอวี่เป็นแน่  พระองค์จะต้องคาดโทษและตำหนินิกายพันธมิตรสวรรค์แน่นอน

!”

ฉู่เทียนเซิงสีหน้ามืดมนและเย็นชา

จ้องมองเกาอวี่ผู้ไร้ยางอายจนตาขวาง มือทั้งสองข้างกำหมัดไว้แน่นและสั่นระริก

อย่างไรก็ตามเทียนจือผู้นั่งอย่างสงบอยู่บนบัลลังก์แรก

ฟังรายงานของเกาอวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ  ถึงมันจะอายุยังน้อยแต่ก็มิได้โง่เขลาเบาปัญญา

ในกรณีนี้

หากมันเปิดโปงและโต้เถียงกับเกาอวี่ต่อหน้าทุกคน

ไม่เพียงแค่มันจะไม่สามารถคลายเรื่องกินแหนงแคลงใจของทั้งสองฝ่ายได้

แต่อาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ดังนั้นมันจึงรับฟังอย่างเฉยชา

เทียนจือพยายามอย่างมากในการข่มใจมิให้เกิดโทสะ

คนผุดยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากในขณะที่มือท้าวคางจ้องมองการแสดงละครของเกาอวี่

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ในที่สุดเกาอวี่ก็หยุดพูด

มันยกแขนเสื้อยาวขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า

โค้งคำนับเทียนจือ ปากพร่ำขอร้องว่า

"เทียนจือ  พระองค์ต้องจัดการเรื่องให้กระหม่อมนะขอรับ !”

ในเวลานั้นประมุขแนวร่วมทั้งสาม พันใบไม้ร่วง

เจิ้นหวู่และเฟิงฮั่ว ต่างก็ลอบส่งสายตาให้กัน พวกมันผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

โค้งคารวะเทียนจือและกล่าวเสริมว่า

“เทียนจือ  สิ่งที่ประมุขเกากล่าวมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น

พวกเราเป็นพยานให้มันได้ขอรับ !”

โอรสสวรรค์รับฟังการสาธยายยืดยาวของเกาอวี่อย่างเงียบงัน

ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรของมันไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหรือแสดงออกใดๆ

เมื่อได้เห็นประมุขทั้งสามก้าวไปข้างหน้าเพื่อเป็นสักขีพยานให้เกาอวี่

ดวงตาของเทียนจือพลันเปล่งประกายวูบในทันที

คนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวเสียงราบเรียบว่า

“ท่านประมุขทั้งหลายโปรดนั่งลงก่อน”

"ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ท่านประมุขเกาเล่ามาจะฟังดูน่าใจหาย

แต่เราก็เพิ่งมาถึงอาณาจักรนี้เป็นครั้งแรก

เรื่องราวบุญคุณความแค้นของพวกท่านเราก็ยังทราบไม่กระจ่างชัด"

"เช่นนี้เราเทียนจือจึงมิอาจด่วนสรุปตัดสินจากคำพูดของท่านเพียงฝ่ายเดียวได้”

"อย่างไรก็ตาม ขอให้ประมุขเกาโปรดวางใจ

เราจะสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดและให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ท่าน"

คำพูดและท่าทีของโอรสสวรรค์มิได้เอนเอียงไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

มันอยู่ตรงกลางพอดิบพอดี

เหมือนเชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่งต่อคำพูดของเกาอวี่

ซึ่งการแสดงออกของเทียนจือในตอนนี้ทำให้เกาอวี่และประมุขแนวร่วมทั้งสามเริ่มไปไม่เป็นและรู้สึกใจหาย

แต่ผลลัพธ์นี้ก็พอจะเป็นที่คาดการณ์ได้

เนื่องจากอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมันย่อมเป็นบุรุษผู้เฉลียวฉลาด

ไม่มีทางหูเบาหลงเชื่อคำพูดของผู้อื่นได้ง่ายๆแน่นอน

อย่างไรก็ตาม

ท่าทางและการแสดงของเกาอวี่ย่อมทำให้เทียนจือเอะใจอะไรขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

เนื่องจากศักดิ์ฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งและยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นเป็นอะไรที่ทุกคนทราบดี  การที่พวกมันจะทำตัวระรานข่มเหงรังแกนิกายอื่นก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว

ไม่ว่าจะกรณีใดๆ

การแสดงออกของเกาอวี่ในวันนี้ก็นับว่าบรรจลุจุดประสงค์แล้ว

หลังจากนั้น แทบจะในทันที

เทียนจือก็เบนศีรษะไปมองฉู่เทียนเซิงที่อยู่ทางด้านซ้ายมือและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า

"ท่านประมุขฉู่

ท่านคิดจะพูดอะไรหรือไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ประมุขเกาได้สาธยายมา ?”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและเดินไปที่กลางห้องโถงในทันที

คนกล่าวเสียงแข็งว่า

“เรียนใต้เท้า

สิ่งที่เกาอวี่พูดมานั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ !  มันกลับดำเป็นขาวอย่างหน้าไม่อาย  ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก”

“โป้ปดมดเท็จ

ใส่ร้ายป้ายสีนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่อหน้าผู้คนอย่างหน้าไม่อาย !”

แน่นอนฉู่เทียนเซิงไม่ไว้หน้าเกาอวี่แม้แต่น้อย

ปฏิเสธทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายเคยพูดมาและใช้คำพูดเสียดแทงใจดำ วิพากษ์วิจารณ์ความชั่วช้าสามานย์ของเกาอวี่อย่างไม่ลดละ

มันอธิบายทุกสิ่งที่เกาอวี่เคยกระทำมาในอดีตโดยละเอียด

เล่าออกมาเป็นฉากๆ

กว่าฉู่เทียนเซิงจะพูดจบก็กินเวลาเกินกว่าครึ่งชั่วยาม

พระแม่สุ่ยเยวี่ย

เหยียนจางเหมินและฉีจ้งจูต่างก็ผุดลุกขึ้นและโค้งคารวะเทียนจือ

จากนั้นกล่าวเสริมเป็นเครื่องยืนยันและพยานบุคลให้แก่ฉู่เทียนเซิงเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำ

เกาอวี่นั่งกำหมัดแน่นอยู่ที่นั่งด้านขวาโดยมิได้พูดอะไรออกมา

ใบหน้าแดงก่ำด้วยความขุ่นแค้น

ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะในขณะที่จ้องฉู่เทียนเซิงตาขวาง

เทียนจือพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน

จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกเช่นเคย

“ท่านประมุขฉู่เชิญนั่งลงก่อนเถิด”

"เช่นเดียวกัน ประมุขทั้งสองล้วนแต่มีคำพูดของตน

พวกท่านต่างก็มีความแค้นเคืองและเรื่องบาดหมาง"

"ดูเหมือนว่า ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองนิกายจะมีมาแต่นมนาน

ยิ่งเวลาผ่านไปความบาดหมางก็เริ่มลุกลามขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมิอาจแก้ไขได้โดยง่าย"

"เมื่อเป็นเช่นนี้ขอให้ท่านประมุขทั้งสองโปรดสงบใจลงก่อน

อดทนอดกลั้นกันบ้าง”

"หลังจากเราได้สอบสวนเรื่องราวทั้งหมดจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว

ถึงเวลานั้นเราเทียนจือจะมาเป็นคนกลางตัดสินว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิดให้แก่พวกท่านทั้งสองเอง”

ในฐานะที่เป็นโอรสสวรรค์, ตัวแทนของลานจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่  เมื่อพระองค์พูดตัดบทไปแล้ว

ฉู่เทียนเซิงและเกาอวี่จึงมิอาจเอ่ยปากอะไรได้อีก พวกมันทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ

จากนั้นเทียนจือก็หันไปมองประมุขนิกายคนอื่นๆและถามว่ามีเรื่องราวใดที่บาดหมางต่อกันหรือกินแหนงแคลงใจต่อกันหรือไม่

มีประมุขหลายคนที่เงียบไป บางคนเริ่มมีสีหน้าลังเลแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดเริ่มเอ่ยปากพูด

ท้ายที่สุดแล้วกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเฉินก็มีเพียงพันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้าเท่านั้น

นิกายอื่นๆล้วนเป็นผู้ตามที่ดี

ความคับข้องใจของสองนิกายใหญ่ได้พัฒนาไปสู่จุดที่ไม่มีใครยอมใครและอาจเริ่มก่อสงครามกันได้ทุกเมื่อ

การปรากฏตัวของเทียนจือแห่งลานจักรพรรดิในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อแก้ไขเรื่องบาดหมางและทำให้สถานการณ์โดยรวมกลับมามีเสถียรภาพ

ถึงแม้อีกหกนิกายที่เหลือจะมีเรื่องบาดหมางและเขม่นกันอยู่บ้าง

แต่มันก็มิใช่เรื่องราวใหญ่โตแบบเดียวกับพันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้า

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเต็มใจยกเรื่องเล็กน้อยออกมาพูดต่อหน้าโอรสวรรค์ให้ผู้คนหัวเราะเยาะ

อีกทั้งต่อให้พูดไปก็ใช่ว่าพระองค์จะนำมาใส่ใจหรือแก้ไขให้ในทันที ดังนั้นพวกมันจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ

เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบไป

เทียนจือก็มิได้ถามอะไรอีก จากนั้นกล่าวต่อไปว่า

“ในเมื่อไม่มีผู้ใดร้องเรียนก็แสดงว่าหกนิกายที่เหลือสามัคคีกลมเกลียวกันดีกระมัง

?   หากเป็นเช่นนั้นก็ดี เราเทียนจือจะได้เบาใจลง”

"จากนี้ไปเราจะพักอยู่ที่นิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นการชั่วคราว

เราจะตรวจสอบคำร้องทั้งหมดของพวกท่านเพื่อแก้ไขความขัดแย้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน"

"เราขอให้ประมุขทุกท่านรั้งอยู่ที่นี่ก่อนสักสองสามวัน

เพื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงสถานการณ์โดยรวม จนเราสามารถหาข้อยุติที่นำไปสู่สันติภาพและความมั่นคงของอาณาจักรเทียนเฉินสืบไป"

"หากไม่มีเรื่องราวใดแล้ว

วันนี้ก็แยกย้ายกันไปก่อนเถิด"