ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเกาอวี่ยืนอยู่ในตำหนักฉิงเทียน
ปากพร่ำบ่นอย่างมีโทสะเกี่ยวกับความผิดบาปที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ทำเอาไว้
มันพูดน้ำไหลไฟดับ เริ่มตั้งแต่เรื่องเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนและพูดถึงงานวันเกิดของมันเมื่อเดือนที่แล้ว
จากคำอธิบายของมัน
นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้กลายเป็นพวกเย่อหยิ่งจองหองบ้าอำนาจและกดขี่ผู้คนไปโดยสมบูรณ์
บางครั้งมันก็จะเผยสีหน้าเศร้าสร้อยหดหู่
เมื่อพูดถึงตอนที่ซื่อเหวินหยูตกตาย
ตัวมันได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือฉู่เทียนเซิง
ตลอดจนเหตุการณ์ที่ยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายจนพินาศ
มันก็ร่ำไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลเป็นสายน้ำ
น้ำเสียงและเสียงร้องไห้อันเศร้าสลดของมันทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นใจ
บ้างก็น้ำตาซึม
เหล่าประมุขและอาวุโสของนิกายต่างๆที่อยู่ในห้องโถงล้วนแต่เผยสีหน้าซับซ้อนเมื่อได้เห็นอากัปกิริยาของเกาอวี่ ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในหัวของทุกคน
พระแม่สุ่ยเยวี่ยเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น
ลอบเย้ยหยันในใจ
“เกาอวี่ บุรุษผู้นี้หน้าด้านไร้ยางอายสิ้นดี !"
"ต่อหน้าพวกเราประมุขและเทียนจือ
มันกล้าแสร้งทำตัวน่าสังเวชจนดูสมจริง ดูเหมือนว่ามันคิดกล่าวโทษนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่อเทียนจืออย่างหน้าด้านๆ"
เหยียนจางเหมินและฉีจ้งจูต่างก็มองเกาอวี่ด้วยส้ำหน้าแปลกๆ เต็มไปด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
"เกาอวี่
ชายผู้นี้หน้าด้านไร้ยางอายนัก ! มันไม่คำนึงถึงใบหน้าและศักดิ์ฐานะ
เพียงคิดแต่จะแก้แค้นเท่านั้น !"
"เฮอะ
เจ้าหมอนี่เสแสร้งได้เหมือนจริงนัก มันกลับขาวเป็นดำได้อย่างหน้าไม่อาย
ข้าหวังว่าเทียนจือจะไม่ตาบอดต่อการแสดงของมัน"
ส่วนทางด้านขวาของห้องโถง บรรดาประมุขนิกายพันใบไม้ร่วง
นิกายเจิ้นหวู่และนิกายเฟิงฮั่วต่างก็ลอบหัวเราะชอบใจ พวกมันเห็นด้วยและถูกใจต่อการแสดงของเกาอวี่เป็นอย่างมาก
ในใจของผู้นำทั้งสามนิกายล้วนเกิดความคิดต่างๆขึ้น
"เหอๆฉู่เทียนเซิงอึ้งจนโง่งมไปเลยสิท่า
มันย่อมคิดไม่ถึงแน่ว่าเกาอวี่จะกล้าลดศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อแสดงละครต่อหน้าเช่นนี้”
“ฉู่เทียนเซิงเอ๋ยฉู่เทียนเซิง ต่อหน้าเทียนจือ ต่อหน้าตัวแทนของลานจักรพรรดิ
ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะอธิบายยังไง !”
"เทียนจือไม่เข้าเรื่องราวบุญคุณความแค้นภายในของพวกเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ย่อมเห็นใจ หรือไม่ก็ปลอบใจเกาอวี่เป็นแน่ พระองค์จะต้องคาดโทษและตำหนินิกายพันธมิตรสวรรค์แน่นอน
!”
ฉู่เทียนเซิงสีหน้ามืดมนและเย็นชา
จ้องมองเกาอวี่ผู้ไร้ยางอายจนตาขวาง มือทั้งสองข้างกำหมัดไว้แน่นและสั่นระริก
อย่างไรก็ตามเทียนจือผู้นั่งอย่างสงบอยู่บนบัลลังก์แรก
ฟังรายงานของเกาอวี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงออกใดๆ ถึงมันจะอายุยังน้อยแต่ก็มิได้โง่เขลาเบาปัญญา
ในกรณีนี้
หากมันเปิดโปงและโต้เถียงกับเกาอวี่ต่อหน้าทุกคน
ไม่เพียงแค่มันจะไม่สามารถคลายเรื่องกินแหนงแคลงใจของทั้งสองฝ่ายได้
แต่อาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก ดังนั้นมันจึงรับฟังอย่างเฉยชา
เทียนจือพยายามอย่างมากในการข่มใจมิให้เกิดโทสะ
คนผุดยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากในขณะที่มือท้าวคางจ้องมองการแสดงละครของเกาอวี่
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดเกาอวี่ก็หยุดพูด
มันยกแขนเสื้อยาวขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
โค้งคำนับเทียนจือ ปากพร่ำขอร้องว่า
"เทียนจือ พระองค์ต้องจัดการเรื่องให้กระหม่อมนะขอรับ !”
ในเวลานั้นประมุขแนวร่วมทั้งสาม พันใบไม้ร่วง
เจิ้นหวู่และเฟิงฮั่ว ต่างก็ลอบส่งสายตาให้กัน พวกมันผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
โค้งคารวะเทียนจือและกล่าวเสริมว่า
“เทียนจือ สิ่งที่ประมุขเกากล่าวมาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
พวกเราเป็นพยานให้มันได้ขอรับ !”
โอรสสวรรค์รับฟังการสาธยายยืดยาวของเกาอวี่อย่างเงียบงัน
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรของมันไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหรือแสดงออกใดๆ
เมื่อได้เห็นประมุขทั้งสามก้าวไปข้างหน้าเพื่อเป็นสักขีพยานให้เกาอวี่
ดวงตาของเทียนจือพลันเปล่งประกายวูบในทันที
คนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“ท่านประมุขทั้งหลายโปรดนั่งลงก่อน”
"ถึงแม้ว่าเรื่องราวที่ท่านประมุขเกาเล่ามาจะฟังดูน่าใจหาย
แต่เราก็เพิ่งมาถึงอาณาจักรนี้เป็นครั้งแรก
เรื่องราวบุญคุณความแค้นของพวกท่านเราก็ยังทราบไม่กระจ่างชัด"
"เช่นนี้เราเทียนจือจึงมิอาจด่วนสรุปตัดสินจากคำพูดของท่านเพียงฝ่ายเดียวได้”
"อย่างไรก็ตาม ขอให้ประมุขเกาโปรดวางใจ
เราจะสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดและให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ท่าน"
คำพูดและท่าทีของโอรสสวรรค์มิได้เอนเอียงไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
มันอยู่ตรงกลางพอดิบพอดี
เหมือนเชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่งต่อคำพูดของเกาอวี่
ซึ่งการแสดงออกของเทียนจือในตอนนี้ทำให้เกาอวี่และประมุขแนวร่วมทั้งสามเริ่มไปไม่เป็นและรู้สึกใจหาย
แต่ผลลัพธ์นี้ก็พอจะเป็นที่คาดการณ์ได้
เนื่องจากอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างมันย่อมเป็นบุรุษผู้เฉลียวฉลาด
ไม่มีทางหูเบาหลงเชื่อคำพูดของผู้อื่นได้ง่ายๆแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
ท่าทางและการแสดงของเกาอวี่ย่อมทำให้เทียนจือเอะใจอะไรขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย
เนื่องจากศักดิ์ฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งและยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นเป็นอะไรที่ทุกคนทราบดี การที่พวกมันจะทำตัวระรานข่มเหงรังแกนิกายอื่นก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
ไม่ว่าจะกรณีใดๆ
การแสดงออกของเกาอวี่ในวันนี้ก็นับว่าบรรจลุจุดประสงค์แล้ว
หลังจากนั้น แทบจะในทันที
เทียนจือก็เบนศีรษะไปมองฉู่เทียนเซิงที่อยู่ทางด้านซ้ายมือและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า
"ท่านประมุขฉู่
ท่านคิดจะพูดอะไรหรือไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ประมุขเกาได้สาธยายมา ?”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและเดินไปที่กลางห้องโถงในทันที
คนกล่าวเสียงแข็งว่า
“เรียนใต้เท้า
สิ่งที่เกาอวี่พูดมานั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ! มันกลับดำเป็นขาวอย่างหน้าไม่อาย ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก”
“โป้ปดมดเท็จ
ใส่ร้ายป้ายสีนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่อหน้าผู้คนอย่างหน้าไม่อาย !”
แน่นอนฉู่เทียนเซิงไม่ไว้หน้าเกาอวี่แม้แต่น้อย
ปฏิเสธทุกถ้อยคำที่อีกฝ่ายเคยพูดมาและใช้คำพูดเสียดแทงใจดำ วิพากษ์วิจารณ์ความชั่วช้าสามานย์ของเกาอวี่อย่างไม่ลดละ
มันอธิบายทุกสิ่งที่เกาอวี่เคยกระทำมาในอดีตโดยละเอียด
เล่าออกมาเป็นฉากๆ
กว่าฉู่เทียนเซิงจะพูดจบก็กินเวลาเกินกว่าครึ่งชั่วยาม
พระแม่สุ่ยเยวี่ย
เหยียนจางเหมินและฉีจ้งจูต่างก็ผุดลุกขึ้นและโค้งคารวะเทียนจือ
จากนั้นกล่าวเสริมเป็นเครื่องยืนยันและพยานบุคลให้แก่ฉู่เทียนเซิงเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำ
เกาอวี่นั่งกำหมัดแน่นอยู่ที่นั่งด้านขวาโดยมิได้พูดอะไรออกมา
ใบหน้าแดงก่ำด้วยความขุ่นแค้น
ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะในขณะที่จ้องฉู่เทียนเซิงตาขวาง
เทียนจือพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกเช่นเคย
“ท่านประมุขฉู่เชิญนั่งลงก่อนเถิด”
"เช่นเดียวกัน ประมุขทั้งสองล้วนแต่มีคำพูดของตน
พวกท่านต่างก็มีความแค้นเคืองและเรื่องบาดหมาง"
"ดูเหมือนว่า ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองนิกายจะมีมาแต่นมนาน
ยิ่งเวลาผ่านไปความบาดหมางก็เริ่มลุกลามขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมิอาจแก้ไขได้โดยง่าย"
"เมื่อเป็นเช่นนี้ขอให้ท่านประมุขทั้งสองโปรดสงบใจลงก่อน
อดทนอดกลั้นกันบ้าง”
"หลังจากเราได้สอบสวนเรื่องราวทั้งหมดจนเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ถึงเวลานั้นเราเทียนจือจะมาเป็นคนกลางตัดสินว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิดให้แก่พวกท่านทั้งสองเอง”
ในฐานะที่เป็นโอรสสวรรค์, ตัวแทนของลานจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ เมื่อพระองค์พูดตัดบทไปแล้ว
ฉู่เทียนเซิงและเกาอวี่จึงมิอาจเอ่ยปากอะไรได้อีก พวกมันทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ
จากนั้นเทียนจือก็หันไปมองประมุขนิกายคนอื่นๆและถามว่ามีเรื่องราวใดที่บาดหมางต่อกันหรือกินแหนงแคลงใจต่อกันหรือไม่
มีประมุขหลายคนที่เงียบไป บางคนเริ่มมีสีหน้าลังเลแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดเริ่มเอ่ยปากพูด
ท้ายที่สุดแล้วกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเฉินก็มีเพียงพันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้าเท่านั้น
นิกายอื่นๆล้วนเป็นผู้ตามที่ดี
ความคับข้องใจของสองนิกายใหญ่ได้พัฒนาไปสู่จุดที่ไม่มีใครยอมใครและอาจเริ่มก่อสงครามกันได้ทุกเมื่อ
การปรากฏตัวของเทียนจือแห่งลานจักรพรรดิในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อแก้ไขเรื่องบาดหมางและทำให้สถานการณ์โดยรวมกลับมามีเสถียรภาพ
ถึงแม้อีกหกนิกายที่เหลือจะมีเรื่องบาดหมางและเขม่นกันอยู่บ้าง
แต่มันก็มิใช่เรื่องราวใหญ่โตแบบเดียวกับพันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้า
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดเต็มใจยกเรื่องเล็กน้อยออกมาพูดต่อหน้าโอรสวรรค์ให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
อีกทั้งต่อให้พูดไปก็ใช่ว่าพระองค์จะนำมาใส่ใจหรือแก้ไขให้ในทันที ดังนั้นพวกมันจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ
เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบไป
เทียนจือก็มิได้ถามอะไรอีก จากนั้นกล่าวต่อไปว่า
“ในเมื่อไม่มีผู้ใดร้องเรียนก็แสดงว่าหกนิกายที่เหลือสามัคคีกลมเกลียวกันดีกระมัง
? หากเป็นเช่นนั้นก็ดี เราเทียนจือจะได้เบาใจลง”
"จากนี้ไปเราจะพักอยู่ที่นิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นการชั่วคราว
เราจะตรวจสอบคำร้องทั้งหมดของพวกท่านเพื่อแก้ไขความขัดแย้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน"
"เราขอให้ประมุขทุกท่านรั้งอยู่ที่นี่ก่อนสักสองสามวัน
เพื่อช่วยให้เราเข้าใจถึงสถานการณ์โดยรวม จนเราสามารถหาข้อยุติที่นำไปสู่สันติภาพและความมั่นคงของอาณาจักรเทียนเฉินสืบไป"
"หากไม่มีเรื่องราวใดแล้ว
วันนี้ก็แยกย้ายกันไปก่อนเถิด"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved