ตอนที่ 304

สุสานเทพกระบี่อีกแห่งหนึ่ง

?

ทุกคนจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและรอคำตอบของเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง

ทันใดนั้นเองชายหนุ่มส่ายศีรษะเล็กน้อยและกล่าวกับเย่หงด้วยสีหน้าราบเรียบว่า

“ผู้อาวุโสเย่

ข้าพอเท่านี้"

“ข้ามีเรื่องที่ยังทำต้อง ขออำลาไปก่อนขอรับ”

กล่าวจบเขาก็กำหมัดคารวะเย่หงและหันหลังเดินออกจากเวที

ทุกคนตกตะลึง

!

ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบสงบเป็นเวลานาน

เงียบจนยากที่จะเงียบไปกว่านี้

ทุกคนจ้องมองแผ่นหลังของจี้เทียนซิงจนกระทั่งเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปในเส้นทางที่เต็มไปด้วยแมกไม้เรียงรายอยู่สองข้างทาง

การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์นี้มิเพียงแค่สำคัญยิ่ง

แต่มันยังเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์

ความหมายของงานนี้คือการเชิดชูศักดิ์ฐานะอันทรงเกียรติของเหล่าผู้ที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดของนิกาย

แต่ทว่าการเอาชนะอันดับ 2ถึง4จนขึ้นมาครอบครองอันดับที่สองอย่างรวดเร็วนี้ มิได้ดึงดูดความสนใจของจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย

การที่เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดอันดับครั้งนี้ราวกับว่าเพียงต้องการเหยียบย่ำไป๋หวู่เชินและเอาชนะถังอี้ลั่วกับเฉินซู่เท่านั้น

นอกจากนั้นเขามิได้สนใจเรื่องอื่นเลย

ศิษย์สาวกจำนวนมากมีการแสดงออกที่ซับซ้อนผสมผสานไปกับความชื่นชม

“เฮ้อ

ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จี้เป็นพวกสัตว์ประหลาดคลั่งวรยุทธ์หรือว่าเป็นเพียงคนประหลาดกันแน่นะ

การการทำแต่ละอย่างของเขาช่างน่าเหลือเชื่อยากจะคาดเดานัก !”

“เคะๆ ดูศิษย์พี่จี้สิ เขาทั้งโลดแล่นอย่างอิสระและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

แน่นอนว่าเป้าหมายของเขามีเพียงการล้มอัจฉริยะทั้งสามเท่านั้น  ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าไปที่การเอาชนะทั้งสามคน”

“เว้นแต่เพียงศิษย์พี่ใหญ่หยุนเหยา

ข้าเกรงว่าทุกคนในรายชื่อขั้นสวรรค์ไม่มีใครอยู่ในสายตาของศิษย์พี่จี้อีกแล้ว”

“เฮ้อ น่าเสียดายจัง

ข้าอยากเห็นศิษย์พี่จี้ประลองกับศิษย์พี่หยุนเหยา”

“เหอๆ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่จี้สนิทสนมกับศิษย์พี่หยุนเหยามาก

ในสายตาของท่านประมุข พวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก”

“อิอิ......

เจ้าจะบอกว่าที่ศิษย์พี่จี้ไม่ท้าประลองศิษย์พี่หยุนเหยาเป็นรายต่อไปก็เพราะว่าเขาหลงรักศิษย์พี่หยุนเหยาเช่นนั้นหรือ

?”

“เหอะ แล้วมันน่าหัวเราะตรงไหนเล่า ? ศิษย์พี่จี้หล่อเหลางามสง่า

ส่วนศิษย์พี่หยุนเหยาก็งดงามราวกับนางฟ้ามาจุติ ไม่เห็นจะแปลกจนต้องหัวเราะแบบนี้เลยนี่นา

?”

“เจ้าหัวเราะเยาะพวกเขา

ดูนั่นสิท่านประมุขกับศิษย์พี่หยุนเหยาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น

หากพวกเขาได้ยินเจ้าขึ้นมา รับรองว่าถูกจับไปเป็นศิษย์รับใช้คอยเลี้ยงหมูแน่นอน !”

ในระหว่างที่เหล่าศิษย์พูดคุยถกเถียงกัน

เย่หงก็ประกาศเริ่มการประลองจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ต่อไป

ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมในการจัดอันดับครั้งนี้มีกว่าร้อยคน

ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถท้าทายกันเพื่อช่วงชิงอันดับได้ทั้งสิ้น

ในไม่ช้า

ศิษย์สาวกมากฝีไม้ลายมือหลายต่อหลายคนได้ขึ้นมาบนเวทีและต่อสู้กันอย่างเนื่องแน่น

ความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์ที่เหลือนี้นับว่าไม่เลว

ไม่ว่าจะเป็นเพลงกระบี่หรือวรยุทธ์ก็ล้วนแต่ละเอียดอ่อนงดงามน่าดูชม

อย่างไรก็ตาม

เหล่าผู้ชมมากมายที่อยู่รอบเวทีล้วนขาดความสนใจและรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะดูชมการประลองจัดอันดับต่อไป

เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว

ไม่มีการต่อสู้ในรอบไหนที่จะดุเดือดเลือดพล่านได้อย่างการต่อสู้ทั้งสามรอบของจี้เทียนซิงที่มีต่อศิษย์พี่ทั้งสามคนอีกแล้ว  การต่อสู้สามรอบรวดของเขานั้นได้ทำให้ทุกคนรอบเวทีรู้สึกประทับใจอย่างไม่รู้ลืม

ไม่ต้องสงสัยเลย

หลังจากสิ้นสุดการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในวันนี้

นามของจี้เทียนซิงจะระบือลั่นไปทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์ !

.........

การที่จี้เทียนซิงถอนตัวจากการจัดอันดับขั้นสวรรค์ก่อนใครนั้นมิใช่เพราะเย่อหยิ่งจองหอง

หรือไม่เห็นศิษย์คนอื่นๆอยู่ในสายตา

แต่มันเป็นเพราะว่าเขามีงานต้องทำจริงๆ

ในมุมมองของเขา

การล้มไป๋หวู่เชินไปจนถึงการเอาชนะถังอี้ลั่วและเฉินซู่นั้น

ถือว่าเขาได้บรรลุเป้าหมายแล้ว

หากรั้งอยู่ต่อก็จะยิ่งเป็นการเสียเวลา

เขาต้องการมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกรเพื่อจัดการธุระโดยด่วน

นับตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในวิหารโบราณแห่งดวงดาว

เขาได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับข่ายอาคมระดับสวรรค์ที่เต่ามังกรถ่ายทอดให้

ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเกี่ยวกับสุสานโบราณใต้ภูเขามังกร

ความคิดของเขาตอนนี้คือต้องการไปที่ภูเขามังกรโดยเร็วที่สุดเพื่อสำรวจสถานการณ์ของสุสานโบราณ

จี้เทียนซิงย้อนกลับไปที่ตำหนักเทียนซิงเพื่อเก็บข้าวของและขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ยออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมุ่งหน้าไปยังที่หมายอย่างไม่รอช้า

เฉียนเยวี่ยนำพาชายหนุ่มโผบินเหนือท้องฟ้าและไปถึงภูเขามังกรอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม

เมื่อมาถึง

ทันทีที่จี้เทียนซิงแสดงป้ายคำสั่งสวรรค์ออกไป

เหล่ายามของนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ล้วนเปิดทางให้แต่โดยดี

จี้เทียนซิงนำเฉียนเยวี่ยเก็บในถุงมิติและเดินเข้าไปในเหมืองกลางภูเขา

เขาพูดคุยกับผู้ดูแลระดับสูงที่เฝ้าทางเข้า จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเหมือง

เขาเดินผ่านเหมืองที่สลับซับซ้อนและคดเคี้ยว

ตรงดิ่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของเหมือง

ภายในเหมืองที่มืดมิด

เหล่าศิษย์สาวกมากมายก็ยังคงทำงานกันอย่างหนักและขุดสินแร่ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม

นิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นขุดเพียงสินแร่ที่จำเป็นในจำนวนพอดี ไม่เหมือนกับการกระทำของนิกายกระบี่ฟ้า

หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านไป

จี้เทียนซิงก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเหมืองและมาถึงขอบหน้าผา

ที่หน้าผานั้นมียามเฝ้าอยู่อย่างแข็งขัน

มีบันไดและเชือกสองเส้นที่ทางนิกายเตรียมไว้เป็นทางขึ้นลง

ด้วยความที่จี้เทียนซิงมีอัตลักษณ์และศักดิ์ฐานะที่พิเศษ

แน่นอนว่าย่อมไม่ถูกรั้งตัวแม้ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่หวงห้าม  เขาพยักหน้าให้เหล่ายามและลงบันไดเชือกไต่ลงไปด้านล่างของหน้าผา

ไม่นานหลังจากนั้นเขาเดินผ่านเส้นทางที่เก่าแก่โบราณอันมืดมิด

ไปยังจัตุรัสที่แตกหัก

ทางด้านหลังของจัตุรัสยังคงปรากฏมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่มีความยาวนับกิโลที่ส่องแสงสว่างสดใส

ตามมาด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้ง

ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์และได้เห็นร่างเงาที่เคลื่อนไหวไปมามากมายรอบบริเวณ

ร่างเหล่านั้นมิได้เฉียดกรายเข้าไปใกล้มหาข่ายปราณ

แต่เพียงอยู่รอบนอกเพื่อสังเกตความเป็นไปและคอยลาดตะเวนเท่านั้น

ในเวลานี้เอง

ชายร่างกำยำสวมเสื้อคลุมสีม่วงก็ดิ่งเข้ามาด้วยความเร็วดุจสายลม

อาวุโสท่านนี้ก็คือชูไฮว่ซานที่ได้รับคำสั่งให้มาคอยปกป้องสุสานในภูเขามังกรนั่นเอง

เมื่อเขามาถึงก็ได้เห็นจี้เทียนซิงและอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่า

“จี้เทียนซิง ? เจ้ามาที่นี่ทำไมอีก

?”

“คารวะผู้อาวุโสชู” ชายหนุ่มกำหมัดคารวะทักทายอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมและอธิบายว่า

“ศิษย์มีข้อสงสัยบางอย่าง ดังนั้นจึงรุดหน้ามาที่สุสานโบราณเพื่อดู…”

ชูไฮว่ซานพยักหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า

“จี้เทียนซิง จดจำให้มั่น

เจ้าทำได้แค่เพียงมองดูเท่านั้น แต่อย่าได้เข้าไปใกล้มหาข่ายปราณเด็ดขาด”

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยความสงสัยว่า

“อ้อ... ?  มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ

?"

ชูไฮว่ซานถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง

“เมื่อหนึ่งเดือนก่อน

ท่านประมุขได้ลงมาสำรวจมหาข่ายปราณนี้ด้วยตนเองและเกิดอุบัติเหตุขึ้น”

“หลังจากนั้นท่านประมุขได้ออกคำสั่งให้พวกเราเพียงปกป้องสุสานแห่งนี้

แต่ห้ามพยายามหาทางทำลายมันโดยเด็ดขาด”

“มหาข่ายปราณอันยิ่งใหญ่นี้อันตรายมาก

ครั้นพวกเขาพยายามจะถอดรหัส

มันจะระเบิดพลังมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งสุสาน…”

การอธิบายของชูไฮว่ซานนั้นแทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เต่ามังกรได้บอกกับเขาก่อนหน้านี้

จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

จากนั้นก็พูดคุยกับอีกฝ่ายสองสามคำและปลีกตัวเดินไปสำรวจรอบๆมหาข่ายปราณเพื่อดูโครงสร้างของข่ายปราณนี้จากในระยะใกล้

ตอนนี้เขาเป็นปรมาจารย์ข่ายอาคมในทุกชนิดที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์

พวกเขากวาดสายตามองวูบเดียวก็สามารถมองเห็นเส้นชีพจรหลักในข่ายปราณนี้อย่างชัดเจน

อีกทั้งยังสามารถแยกแยะวิธีการก่อตัวของข่ายปราณทั้งห้าชนิดที่ผสานกันขึ้นมาได้

ยิ่งไปกว่านั้น

ทันทีที่เขาจ้องมองผ่านม่านแสงพวกนี้

เขาสามารถมองเห็นป้ายสุสานที่เป็นแผ่นศิลาสีดำขนาดใหญ่อีกด้วย

แผ่นศิลาหินสีดำนั้นสลักไว้ด้วยตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่เขียนว่า

‘สุสานของเทพกระบี่ ’

ที่ด้านซ้ายล่างของแผ่นศิลาโบราณยังมีอักขระแนวตั้งจารึกไว้อีกหลายตัวอักษร

จี้เทียนซิงเพ่งสมาธิและจดจ่ออยู่กับการสังเกตในระยะไกลเป็นเวลานาน

ก่อนที่เขาจะจดจำตัวอักษรเหล่านั้นได้ มันคือตัวอักษรเล็กๆหกคำที่เขียนไว้ว่า

‘จากบุตรผู้กตัญญู เย่หวง’

…….