สุสานเทพกระบี่อีกแห่งหนึ่ง
?
ทุกคนจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงและรอคำตอบของเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มส่ายศีรษะเล็กน้อยและกล่าวกับเย่หงด้วยสีหน้าราบเรียบว่า
“ผู้อาวุโสเย่
ข้าพอเท่านี้"
“ข้ามีเรื่องที่ยังทำต้อง ขออำลาไปก่อนขอรับ”
กล่าวจบเขาก็กำหมัดคารวะเย่หงและหันหลังเดินออกจากเวที
ทุกคนตกตะลึง
!
ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบสงบเป็นเวลานาน
เงียบจนยากที่จะเงียบไปกว่านี้
ทุกคนจ้องมองแผ่นหลังของจี้เทียนซิงจนกระทั่งเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปในเส้นทางที่เต็มไปด้วยแมกไม้เรียงรายอยู่สองข้างทาง
การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์นี้มิเพียงแค่สำคัญยิ่ง
แต่มันยังเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์
ความหมายของงานนี้คือการเชิดชูศักดิ์ฐานะอันทรงเกียรติของเหล่าผู้ที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดของนิกาย
แต่ทว่าการเอาชนะอันดับ 2ถึง4จนขึ้นมาครอบครองอันดับที่สองอย่างรวดเร็วนี้ มิได้ดึงดูดความสนใจของจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย
การที่เขาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดอันดับครั้งนี้ราวกับว่าเพียงต้องการเหยียบย่ำไป๋หวู่เชินและเอาชนะถังอี้ลั่วกับเฉินซู่เท่านั้น
นอกจากนั้นเขามิได้สนใจเรื่องอื่นเลย
ศิษย์สาวกจำนวนมากมีการแสดงออกที่ซับซ้อนผสมผสานไปกับความชื่นชม
“เฮ้อ
ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จี้เป็นพวกสัตว์ประหลาดคลั่งวรยุทธ์หรือว่าเป็นเพียงคนประหลาดกันแน่นะ
การการทำแต่ละอย่างของเขาช่างน่าเหลือเชื่อยากจะคาดเดานัก !”
“เคะๆ ดูศิษย์พี่จี้สิ เขาทั้งโลดแล่นอย่างอิสระและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
แน่นอนว่าเป้าหมายของเขามีเพียงการล้มอัจฉริยะทั้งสามเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมุ่งเป้าไปที่การเอาชนะทั้งสามคน”
“เว้นแต่เพียงศิษย์พี่ใหญ่หยุนเหยา
ข้าเกรงว่าทุกคนในรายชื่อขั้นสวรรค์ไม่มีใครอยู่ในสายตาของศิษย์พี่จี้อีกแล้ว”
“เฮ้อ น่าเสียดายจัง
ข้าอยากเห็นศิษย์พี่จี้ประลองกับศิษย์พี่หยุนเหยา”
“เหอๆ ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่จี้สนิทสนมกับศิษย์พี่หยุนเหยามาก
ในสายตาของท่านประมุข พวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก”
“อิอิ......
เจ้าจะบอกว่าที่ศิษย์พี่จี้ไม่ท้าประลองศิษย์พี่หยุนเหยาเป็นรายต่อไปก็เพราะว่าเขาหลงรักศิษย์พี่หยุนเหยาเช่นนั้นหรือ
?”
“เหอะ แล้วมันน่าหัวเราะตรงไหนเล่า ? ศิษย์พี่จี้หล่อเหลางามสง่า
ส่วนศิษย์พี่หยุนเหยาก็งดงามราวกับนางฟ้ามาจุติ ไม่เห็นจะแปลกจนต้องหัวเราะแบบนี้เลยนี่นา
?”
“เจ้าหัวเราะเยาะพวกเขา
ดูนั่นสิท่านประมุขกับศิษย์พี่หยุนเหยาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น
หากพวกเขาได้ยินเจ้าขึ้นมา รับรองว่าถูกจับไปเป็นศิษย์รับใช้คอยเลี้ยงหมูแน่นอน !”
ในระหว่างที่เหล่าศิษย์พูดคุยถกเถียงกัน
เย่หงก็ประกาศเริ่มการประลองจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ต่อไป
ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมในการจัดอันดับครั้งนี้มีกว่าร้อยคน
ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถท้าทายกันเพื่อช่วงชิงอันดับได้ทั้งสิ้น
ในไม่ช้า
ศิษย์สาวกมากฝีไม้ลายมือหลายต่อหลายคนได้ขึ้นมาบนเวทีและต่อสู้กันอย่างเนื่องแน่น
ความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์ที่เหลือนี้นับว่าไม่เลว
ไม่ว่าจะเป็นเพลงกระบี่หรือวรยุทธ์ก็ล้วนแต่ละเอียดอ่อนงดงามน่าดูชม
อย่างไรก็ตาม
เหล่าผู้ชมมากมายที่อยู่รอบเวทีล้วนขาดความสนใจและรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะดูชมการประลองจัดอันดับต่อไป
เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว
ไม่มีการต่อสู้ในรอบไหนที่จะดุเดือดเลือดพล่านได้อย่างการต่อสู้ทั้งสามรอบของจี้เทียนซิงที่มีต่อศิษย์พี่ทั้งสามคนอีกแล้ว การต่อสู้สามรอบรวดของเขานั้นได้ทำให้ทุกคนรอบเวทีรู้สึกประทับใจอย่างไม่รู้ลืม
ไม่ต้องสงสัยเลย
หลังจากสิ้นสุดการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในวันนี้
นามของจี้เทียนซิงจะระบือลั่นไปทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์ !
.........
การที่จี้เทียนซิงถอนตัวจากการจัดอันดับขั้นสวรรค์ก่อนใครนั้นมิใช่เพราะเย่อหยิ่งจองหอง
หรือไม่เห็นศิษย์คนอื่นๆอยู่ในสายตา
แต่มันเป็นเพราะว่าเขามีงานต้องทำจริงๆ
ในมุมมองของเขา
การล้มไป๋หวู่เชินไปจนถึงการเอาชนะถังอี้ลั่วและเฉินซู่นั้น
ถือว่าเขาได้บรรลุเป้าหมายแล้ว
หากรั้งอยู่ต่อก็จะยิ่งเป็นการเสียเวลา
เขาต้องการมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกรเพื่อจัดการธุระโดยด่วน
นับตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในวิหารโบราณแห่งดวงดาว
เขาได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับข่ายอาคมระดับสวรรค์ที่เต่ามังกรถ่ายทอดให้
ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเกี่ยวกับสุสานโบราณใต้ภูเขามังกร
ความคิดของเขาตอนนี้คือต้องการไปที่ภูเขามังกรโดยเร็วที่สุดเพื่อสำรวจสถานการณ์ของสุสานโบราณ
จี้เทียนซิงย้อนกลับไปที่ตำหนักเทียนซิงเพื่อเก็บข้าวของและขึ้นขี่หลังเฉียนเยวี่ยออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมุ่งหน้าไปยังที่หมายอย่างไม่รอช้า
เฉียนเยวี่ยนำพาชายหนุ่มโผบินเหนือท้องฟ้าและไปถึงภูเขามังกรอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม
เมื่อมาถึง
ทันทีที่จี้เทียนซิงแสดงป้ายคำสั่งสวรรค์ออกไป
เหล่ายามของนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ล้วนเปิดทางให้แต่โดยดี
จี้เทียนซิงนำเฉียนเยวี่ยเก็บในถุงมิติและเดินเข้าไปในเหมืองกลางภูเขา
เขาพูดคุยกับผู้ดูแลระดับสูงที่เฝ้าทางเข้า จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเหมือง
เขาเดินผ่านเหมืองที่สลับซับซ้อนและคดเคี้ยว
ตรงดิ่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของเหมือง
ภายในเหมืองที่มืดมิด
เหล่าศิษย์สาวกมากมายก็ยังคงทำงานกันอย่างหนักและขุดสินแร่ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม
นิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นขุดเพียงสินแร่ที่จำเป็นในจำนวนพอดี ไม่เหมือนกับการกระทำของนิกายกระบี่ฟ้า
หลังจากครึ่งชั่วยามผ่านไป
จี้เทียนซิงก็มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเหมืองและมาถึงขอบหน้าผา
ที่หน้าผานั้นมียามเฝ้าอยู่อย่างแข็งขัน
มีบันไดและเชือกสองเส้นที่ทางนิกายเตรียมไว้เป็นทางขึ้นลง
ด้วยความที่จี้เทียนซิงมีอัตลักษณ์และศักดิ์ฐานะที่พิเศษ
แน่นอนว่าย่อมไม่ถูกรั้งตัวแม้ส่วนนี้จะเป็นพื้นที่หวงห้าม เขาพยักหน้าให้เหล่ายามและลงบันไดเชือกไต่ลงไปด้านล่างของหน้าผา
ไม่นานหลังจากนั้นเขาเดินผ่านเส้นทางที่เก่าแก่โบราณอันมืดมิด
ไปยังจัตุรัสที่แตกหัก
ทางด้านหลังของจัตุรัสยังคงปรากฏมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่มีความยาวนับกิโลที่ส่องแสงสว่างสดใส
ตามมาด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้ง
ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์และได้เห็นร่างเงาที่เคลื่อนไหวไปมามากมายรอบบริเวณ
ร่างเหล่านั้นมิได้เฉียดกรายเข้าไปใกล้มหาข่ายปราณ
แต่เพียงอยู่รอบนอกเพื่อสังเกตความเป็นไปและคอยลาดตะเวนเท่านั้น
ในเวลานี้เอง
ชายร่างกำยำสวมเสื้อคลุมสีม่วงก็ดิ่งเข้ามาด้วยความเร็วดุจสายลม
อาวุโสท่านนี้ก็คือชูไฮว่ซานที่ได้รับคำสั่งให้มาคอยปกป้องสุสานในภูเขามังกรนั่นเอง
เมื่อเขามาถึงก็ได้เห็นจี้เทียนซิงและอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่า
“จี้เทียนซิง ? เจ้ามาที่นี่ทำไมอีก
?”
“คารวะผู้อาวุโสชู” ชายหนุ่มกำหมัดคารวะทักทายอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมและอธิบายว่า
“ศิษย์มีข้อสงสัยบางอย่าง ดังนั้นจึงรุดหน้ามาที่สุสานโบราณเพื่อดู…”
ชูไฮว่ซานพยักหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า
“จี้เทียนซิง จดจำให้มั่น
เจ้าทำได้แค่เพียงมองดูเท่านั้น แต่อย่าได้เข้าไปใกล้มหาข่ายปราณเด็ดขาด”
จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและถามด้วยความสงสัยว่า
“อ้อ... ? มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ
?"
ชูไฮว่ซานถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
ท่านประมุขได้ลงมาสำรวจมหาข่ายปราณนี้ด้วยตนเองและเกิดอุบัติเหตุขึ้น”
“หลังจากนั้นท่านประมุขได้ออกคำสั่งให้พวกเราเพียงปกป้องสุสานแห่งนี้
แต่ห้ามพยายามหาทางทำลายมันโดยเด็ดขาด”
“มหาข่ายปราณอันยิ่งใหญ่นี้อันตรายมาก
ครั้นพวกเขาพยายามจะถอดรหัส
มันจะระเบิดพลังมหาศาลออกมาอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งสุสาน…”
การอธิบายของชูไฮว่ซานนั้นแทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่เต่ามังกรได้บอกกับเขาก่อนหน้านี้
จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
จากนั้นก็พูดคุยกับอีกฝ่ายสองสามคำและปลีกตัวเดินไปสำรวจรอบๆมหาข่ายปราณเพื่อดูโครงสร้างของข่ายปราณนี้จากในระยะใกล้
ตอนนี้เขาเป็นปรมาจารย์ข่ายอาคมในทุกชนิดที่อยู่ต่ำกว่าระดับสวรรค์
พวกเขากวาดสายตามองวูบเดียวก็สามารถมองเห็นเส้นชีพจรหลักในข่ายปราณนี้อย่างชัดเจน
อีกทั้งยังสามารถแยกแยะวิธีการก่อตัวของข่ายปราณทั้งห้าชนิดที่ผสานกันขึ้นมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น
ทันทีที่เขาจ้องมองผ่านม่านแสงพวกนี้
เขาสามารถมองเห็นป้ายสุสานที่เป็นแผ่นศิลาสีดำขนาดใหญ่อีกด้วย
แผ่นศิลาหินสีดำนั้นสลักไว้ด้วยตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่เขียนว่า
‘สุสานของเทพกระบี่ ’
ที่ด้านซ้ายล่างของแผ่นศิลาโบราณยังมีอักขระแนวตั้งจารึกไว้อีกหลายตัวอักษร
จี้เทียนซิงเพ่งสมาธิและจดจ่ออยู่กับการสังเกตในระยะไกลเป็นเวลานาน
ก่อนที่เขาจะจดจำตัวอักษรเหล่านั้นได้ มันคือตัวอักษรเล็กๆหกคำที่เขียนไว้ว่า
‘จากบุตรผู้กตัญญู เย่หวง’
…….
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved