ตอนที่ 187

หาเรื่องไม่หยุดหย่อน

?

หลังจากฟังคำอธิบายของพ่อบ้านเคราแพะ

พวกเขาทั้งสามก็เข้าใจแล้วว่าภูเขามังกรนั้นสำคัญเพียงใด

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมประมุขนิกายกระบี่ฟ้าถึงได้ต้องการสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรมากขนาดนี้

ทั้งหยินเฟยหยางและหยานตงไหลสามารถจินตนาการได้เลยว่าตราบใดที่พวกมันเอาชนะในการประลองครั้งนี้และนำสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรให้นิกายต่อไปได้

พวกมันจะได้รับรางวัลใหญ่และมีคุณค่าในสายตาของประมุขอย่างมาก

ในอนาคตพวกมันจะมีสถานะที่สูงส่งขึ้นและได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมในนิกาย

!

นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่าจะได้รับการดูแลเฉกเช่นเดียวกับฮั่งเชิน

พ่อบ้านเคราแพะกล่าวเสริมว่า

“ตอนนี้ผ่านไปสองเดือนแล้ว ท่านประมุขและสหายแห่งจักรพรรดิผู้นั้นก็ยังไม่สามารถทำลายข่ายปราณนั้นได้เลย

ข่ายปราณปกปักษ์ของสุสานโบราณล้ำลึกยากจะคาดเดาเกินไป”

“แต่ว่า นิกายพันธมิตรสวรรค์แข็งแกร่งกว่าพวกเรา นอกจากนี้ยังยังเชี่ยวชาญลึกซึ้งด้านข่ายปราณยิ่งกว่าพวกเรา

แถมยังมียอดฝีมือขอบเขตปราณฟ้าถึงสองคน”

“ถ้าหากเราปล่อยให้นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ครองภูเขามังกร

แน่นอนว่าพวกมันจะสามารถทำลายข่ายปราณก้นภูเขาได้ภายในสามปี

หลังจากนั้นพวกมันก็จะพบสมบัติและมรดกของสุดยอดฝีมือพันปีผู้นั้น

สุดท้ายนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก

นี่คือสิ่งที่นิกายเราไม่อยากให้เป็น !”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้พ่อบ้านเคราแพะก็จับจ้องมองไปที่ทั้งสามคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจหรือยังว่าภารกิจมิได้มีเพียงหนึ่งเดียว”

ฮั่งเชินและหยินเฟยหยางพยักหน้ารับและตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ศิษย์ทราบแล้ว !”

พ่อบ้านผงกศีรษะเล็กน้อยและเผยให้เห็นสีหน้าที่พึงพอใจ “เอาล่ะ นี่คือเรื่องทั้งหมดเท่าที่ข้าทราบ พวกเจ้าหุบปากให้สนิท

อย่าได้หลุดออกมาแม้เพียงครึ่งคำเชียว !”

ฮั่งเชินและหยินเฟยหยางพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่าจะเก็บความลับไว้อย่างดี

จากนั้นพ่อบ้านเคาแพะก็เดินออกจากห้องลับ

ทั้งสามคนยังคงอยู่ในห้องลับและกระซิบกระซาบเกี่ยวกับภารกิจต่อไป

พวกมันคุยกันพักหนึ่งและฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าพวกมันได้ดึงความสนใจจนเป็นที่รู้จักไปทั่วฝ่ายนอกแล้ว

จากการแสดงเพลงกระบี่ที่กลางจัตุรัส

ดังนั้นครั้งนี้พวกมันจะเอาให้หนักกว่าเดิมด้วยการไปเยือนหอยุทธ์ฟงอวิ๋นในอีกสองวันข้างหน้า

โดยอ้างว่ามาเพื่อขอคำชี้แนะแลกเปลี่ยนความคิดในเชิงยุทธ์

ด้วยแผนนี้ไม่เพียงแค่สำรวจความแข็งแกร่งของศิษย์ในหอยุทธ์อันดับหนึ่งของฝ่ายนอกได้เท่านั้น

แต่มันยังดึงดูดความสนใจของฝ่ายนอกแทบทั้งหมดอีกครั้ง

......

สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในเช้าวันที่สามจี้เทียนซิงก็กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในห้อง

เขาโคจรพลังปราณและตัวอ่อนกระบี่เพื่อพยายามเลื่อนระดับขอบเขตพลังยุทธ์

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงระฆังดังขึ้น

จี้เทียนซิงดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่

เมื่อเขาเข้าไปในสนามก็พบศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนมารวมตัวกันที่ลานกว้าง

ในเวลาเดียวกันสมาชิกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหลายคนก็รีบตามมาสมทบที่ห้องโถงใหญ่

หลังจากทุกคนเข้าไปข้างในก็พบฮั่นเฉียวเซิงนั่งอยู่บนที่นั่งแรก

ส่วนทางด้านขวามือมีรุ่นเยาว์อีกสามคนนั่งคุกเข่าเพื่อรอคอยอย่างเงียบสงบ

เมื่อจี้เทียนซิงและคนอื่นๆได้เห็นชายหนุ่มสามคนนั้น

พวกเขาก็จดจำได้ทันทีว่า พวกมันคือฮั่งเชิน หยานตงไหลและหยินเฟยหยาง !

ฮั่นเฉียวเซิงโบกมือให้จี้เทียนซิงและคนอื่นๆนั่งลงที่ด้านซ้ายมือของห้องโถงใหญ่

เป็นผลให้สองฝ่ายนั่งประจันหน้ากัน

ฮั่นเฉียวเซิงประกาศด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม

“วันนี้ที่ข้าเรียกระดมพวกเจ้าทุกคนมาก็เพราะคำเชิญของศิษย์ทั้งสามแห่งนิกายกระบี่ฟ้า

พวกมันต้องการชี้แนะแลกเปลี่ยนความคิดในเชิงยุทธ์กับพวกเจ้า”

“เอาล่ะ พวกเจ้าทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และอภิปรายวรยุทธ์กันได้อย่างอิสระตามความถนัด

ข้าจะไม่รบกวนหรือแทรกแซง”

หลังจากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็ล่าถอยออกจากห้องโถงใหญ่และปล่อยให้ทุกคนสื่อสารกันเอง

ห้องโถงหลักเงียบกริบและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าอึดอัด

สีหน้าของทั้งสองฝ่ายยังคงราบเรียบเป็นปกติ

พวกมันต่างก็มีความคิดในใจของตัวเองและแฝงความเป็นศัตรูกันอย่างล้ำลึก

ในเมื่อตัวแทนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นไม่เอ่ยอันใด

ศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มการสนทนาก่อน

ดวงตาของหยานตงไหลกวาดมองไปที่ฝูงชน

มุมปากยกยิ้มแผ่วเบาและเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านมีความสุภาพสำรวมและไม่คิดที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปาก่อน

งั้นผู้น้องก็ขอบังอาจเริ่มเป็นฝ่ายถามคำถามก่อนก็แล้ว”

“เดือนนี้ ข้าได้รวบรวมสมุนไพรทั้งหมด 13 ชนิด พวกมันคือเมล็ดโกฐจุฬาลัมพา, หญ้าฟื้นฟู, แก่นหลักต้นหม่อน, ผลเดือด, เมล็ดไม้จันทน์, ใบไม้พันหล้า

ข้าต้องการใช้พวกมันหลอมกับเม็ดยาหยวนตันสามเม็ดเพื่อพัฒนาคุณสมบัติและสรรพคุณของมัน”

“คำถามของข้าคือ กระบวนการนี้จะมีปัญหาใดๆหรือไม่

? จุดอ่อนของการผสมสมุนไพรมากชนิดเช่นนี้อยู่ที่ใด

? แล้วข้าจะใช้พวกมันปรับปรุงคุณสมบัติของเม็ดยาได้อย่างไร

?”

เมื่อได้ยินคำถามของหยานตงไหล

ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าผู้นี้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาหลอมโอสถ

มันต้องการทดสอบภูมิความรู้ในเชิงโอสถ

ศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหันไปมองหน้ากันพลางขมวดคิ้ว

หลังจากนั้นไม่นานซื่อจิงเฉิงที่เชี่ยวชาญการปรุงยาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

มันจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงอย่างเงียบและเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่แสดงอาการใดๆออกมามันจึงเริ่มพูดว่า

“เฮ้ ศิษย์พี่หยาน กระบวนการนี้มีปัญหาแน่นอน”

“ก่อนอื่นเลยสูตรยาของเจ้าผิด

หากเจ้าเพิ่มผลเดือดเข้าไปก็ไม่ควรใช้ใบไม้พันหล้า สรรพคุณทางยาของสมุนไพรทั้งสองชนิดนี้จะหักล้างกันและได้ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์  สุดท้ายมันจะนำไปสู่ความล้มเหลวในการปรุงยาครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ประการที่สอง ถ้าเจ้าใช้เพลิงปราณในการปรุงยาก็ยิ่งไม่ถูกต้องเข้าไปใหญ่

หากเป็นเรื่องการปรับแต่งพัฒนาคุณสมบัติของเม็ดยา เจ้าต้องใช้เพลิงแท้จริง

นอกจากนี้ก็ควรเปลี่ยนวัตถุดิบจากใบไม้พันหล้าเป็นหญ้าดวงดาราจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า”

เหล่าศิษย์ทั้งหลายของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหันไปมองซื่อจิงเฉิงและได้เห็นสีหน้าอันมั่นอกมั่นใจของมัน

ทุกคนก็โล่งอกและเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ในมุมมองของพวกมัน

ซื่อจิงเฉิงดูมั่นใจมากในการอภิปรายรอบนี้

เขาต้องข่มอีกฝ่ายด้วยความรู้ได้สำเร็จเป็นแน่ !

โดยไม่คาดคิด

หลังจากได้ฟังคำอธิบาย หยานตงไหลก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

มันกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจว่า “อ่า..

ถึงแม้ศิษย์น้องท่านนี้จะพูดจาฉาดฉานและมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับศาสตร์ในการปรุงยาด้วยความรู้และรากฐานที่มั่นคง  แต่ทว่าศิษย์น้องก็ยังเด็กน้อยนักแถมยังมีประสบการณ์ที่ตื้นเขินเกินไป”

“ข้าเฉลยให้นะ ความจริงแล้ววิธีการที่ข้าตั้งคำถามขึ้นมานี้

ไม่ประสบปัญหาใดๆเลย ทุกอย่างราบลื่นเป็นไปตามสูตรยาทั้งหมด

และด้วยเม็ดยานั้นมันทำให้ข้าประสบความสำเร็จในการยกระดับพลังขึ้นได้อีกด้วย”

“ความเข้าใจอันลึกซึ้งที่ศิษย์น้องท่านนี้กล่าวยืดยาว

แท้จริงเป็นการคาดคะเนและยกเหตุผลมาผสมกันมั่วซั่ว  หากเจ้าลองปรุงยาด้วยสูตรที่ข้าบอกไปด้วยตัวเอง

เจ้าจะเข้าใจเองว่าคำพูดของเจ้ามันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ !”

ท้ายที่สุดหยานตงไหลก็เอื้อมมือไปล้วงขวดหยกเล็กๆออกจากแขนเสื้อและเทเม็ดยาสีแดงเข้มสามเม็ดออกมา

ซึ่งพวกมันก็คือเม็ดยาหยวนตันที่กล่าวถึงในตอนแรกนั่นเอง

ทันใดนั้นใบหน้าของซื่อจิงเฉิงก็กลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

สีหน้าของมันแดงก่ำด้วยความอับอาย

ศิษย์หลายคนของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็เผยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม

บางคนก็แสดงออกด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ

ซื่อจิงเฉิงขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงลุ่มลึกว่า

“เพ้ย ! ศิษย์พี่หยาน

ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเหมือนว่าการปรุงยาครั้งนี้ล้มเหลวชัดๆ

คำถามเจ้ามันเป็นการถกปัญหาให้ข้าช่วยในการปรับปรุงสูตรยาและวิธีการ

พอข้าอธิบายจบเจ้ากลับบอกว่าการปรุงยาครั้งนี้มิได้ล้มเหลว

นี่เจ้าล้อข้าเล่นเหรอ ?  เห็นข้าเป็นตัวตลกหรือไง

?!”

หยานตงไหลส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ศิษย์น้องท่านนี้ระวังคำพูดคำจาหน่อยดีหรือไม่ ?  ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้าบอกว่าการปรุงยาครั้งนี้ล้มเหลว

? ข้าไม่ได้พูดสักคำ”

“ข้าแค่ตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆให้ทุกคนแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน

ศิษย์น้อง ความรู้ในศาสตร์ปรุงยาของเจ้ามิได้ลึกซึ้งพอจนมองไม่ออกมากกว่าว่าการปรุงยาของข้าล้มเหลวหรือไม่  เจ้าโทษข้าเช่นนี้มันถูกต้องแล้วหรือ ?”

“เจ้า !”

ซื่อจิงเฉิงเป็นใบ้ในทันทีและถูกคำพูดของหยานตงไหลบีบจนดูเหมือนคนโง่

มันรู้สึกเสียหน้าจนไม่ต้องการรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว

แต่หากมันลุกออกไปตอนนี้ก็จะกลายเป็นตัวตลกเข้าไปใหญ่

ในเวลานี้เองหยินเฟยหยางก็เผยรอยยิ้มและเริ่มพูดขึ้นว่า

“ศิษย์น้องท่านนี้ใจเย็นก่อน

เขายกคำถามเรื่องการปรุงยาขึ้นมาถก บางทีเจ้าอาจจะเพียงแค่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกยุทธ์  การปรุงยาอาจไม่ใช่ศาสตร์ที่เจ้าถนัด ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถตอบได้ถูกต้อง

ถ้าเป็นเช่นนี้งั้นพวกเราเปลี่ยนเป็นเรื่องวิทยายุทธ์เป็นไง ?"

“ข้ามีข้อสงสัยอยู่เสมอเกี่ยวกับการบ่มเพาะวิทยายุทธ์

ข้าขอถามพวกเจ้าทุกคนให้หายข้องใจหน่อย ดูซิว่าพวกเจ้าจะชี้แนะให้ข้าเห็นทางสว่างในเรื่องนี้หรือไม่”

“ดังที่พวกเราทุกคนรู้กันดีว่าผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนจะมีการเก็บพลังปราณไว้ในตันเถียน

จากนั้นก็โคจรพลังปราณผ่านเส้นชีพจรทั้งเก้าทั่วร่างกาย

แต่ทว่าศิษย์พี่ฮั่งที่อยู่ข้างๆข้าผู้นี้มีเส้นชีพจรลมปราณหลักถึงสิบเส้น

ผลที่ออกมาทำให้พลังปราณของเขาแข็งแกร่งทรงพลังกว่าคนทั่วไปและเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นไร้เทียมทานในรุ่นเดียวกัน”

“ข้าสงสัยอยู่เสมอว่าเรื่องเหลือเชื่อดุจเทพนิยายเช่นนี้มีขึ้นได้อย่างไร

?

ข้าหวังว่าพวกท่านจะสามารถช่วยข้าแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้ว่าเส้นชีพจรหลักสิบเส้นมีจริงหรือไม่”

ซื่อจิงเฉิงที่เพิ่งขายหน้าให้กับหยานตงไหลได้ยินคำพูดของหยินเฟยหยางก็หัวเราะร่าขึ้นมาทันทีพลางกล่าวว่า

“เหอๆ ศิษย์พี่หยิน

เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นควายหรือไงถึงได้แต่งเรื่องหลอกเด็กขึ้นมาเช่นนี้ ?”

“ในร่างกายมนุษย์มีเส้นชีพจรหลักเพียงเก้าเส้นเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่ทุกคนรับรู้กันดี

เจ้าพูดว่าศิษย์พี่ข้างๆเจ้ามีเส้นชีพจรลมปราณสิบเส้นงั้นหรือ ? น่าขัน ! ข้าว่าเจ้ากำลังโกหกคำโตมากกว่า

ผีบ้าที่ไหนจะมีเส้นชีพจรหลักสิบเส้น

ไม่มีทาง !”