เอี๋ยนเอ๋อร์และเสี่ยวไป๋
เทือกเขาอู๋หยาตั้งอยู่ห่างจากนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นระยะทางร่วม
200 ไมล์
มันมีแหล่งชีพจรวิญญาณที่นับว่าอยู่ใกล้กับนิกายมากที่สุด
ภายในดินแดนดาราบรรพกาลมีกฎอยู่ว่า
ตลอดระยะทางสามร้อยไมล์รอบนิกายแต่ละแห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหนือใต้ออกตกให้ถือว่าเป็นอาณาเขตของนิกาย
ด้วยกฏเกณฑ์นี้
ภูเขาอู๋หยาและถ้ำอู๋หยาจึงถือเป็นอาณาเขตในครอบครองของนิกายพันธมิตรสวรรค์
เพียงแต่ว่าสิ่งที่จี้เทียนซิงไม่เข้าใจก็คือเหตุใดที่นี่จึงเป็นเขตหวงห้าม
?
มีอย่างเดียวที่เขาแน่ใจก็คือถ้ำแห่งนี้ต้องเกิดจากฝีมือของมนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงหรือไข่ยักษ์สีเทาก็ล้วนแต่ถูกจัดวางไว้ด้วยข่ายปราณ
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามไข่ยักษ์สีเทาว่า
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าเป็นศิษย์สาวกคนหนึ่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์ใช่ไหม ?”
เด็กชายตอบกลับทันทีว่า
“มิผิด !
เราคือศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย”
“ว่าไงนะ ? ศิษย์สายตรงของท่านประมุข
?”
จี้เทียนซิงเบิกตากว้างและดวงตาเปล่งประกาย
ทันใดนั้นเองเขาก็คาดเดาตัวตนของเด็กชายผู้นี้ได้แล้ว
“เจ้าคือรัชทายาทแห่งเผ่าอัคคีทักษิณ – เอี๋ยนเอ๋อร์”
“…………”
เอี๋ยนเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่งและดูเหมือนจะอึดอัดใจพลางถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ารู้จักชื่อและฐานะของเราได้อย่างไร
?”
คำพูดของเขาถือเป็นคำตอบที่แน่นอนแล้ว ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงเผยรอยยิ้มที่ขบขันออกมา
ตอนแรกที่เขาเข้ามาในถ้ำนี้ก็พบว่ามันถูกปกคลุมไว้ด้วยเปลวไฟสีน้ำตาลเหลืองและแม้แต่กำแพงตลอดจนก้อนหินก็ถูกเผาไหม้จนเป็นสีแดง
ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าเปลวไฟที่แผ่ซ่านออกไปทั่วทั้งถ้ำนี้สมควรเกิดจากพลังที่ควบคุมไม่ได้ของเอี๋ยนเอ๋อร์
ก่อนหน้านี้หยุนเหยาเคยเล่าให้เขาฟังว่าเอี๋ยนเอ๋อร์หลับอยู่ในข่ายปราณภายใต้การควบคุมของฉู่เทียนเซิง
เพื่อระงับอาการที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกายาเพลิงคะนองและสายเลือดพรสวรรค์สองชนิดที่มีมาโดยกำเนิด
ในเวลานั้นเขาไม่ได้ถามอะไรมากเพียงแต่คิดว่าเอี๋ยนเอ๋อร์กำลังนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในนิกาย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายอยู่ในถ้ำอู๋หยาภายในบริเวณภูเขาอู๋หยานี่เอง
“สถานที่แห้งนี้เต็มไปด้วยรัศมีพลังฟ้าดินและเส้นชีพจรวิญญาณ
ท่านประมุขใช้พลังของมันในการจัดวางข่ายปราณเพื่อช่วยเอี๋ยนเอ๋อร์สะกดเพลิงคะนองและรักษาตัวที่นี่”
“เขาพักอาศัยอยู่ในถ้ำที่ไร้ผู้คนและด้วยกายาเพลิงคะนองที่ควบคุมไม่ได้ก็ทำให้ทั้งถ้ำเต็มไปด้วยไอเพลิง
แม้แต่พยัคฆ์ขาวเนตรทองที่สามารถใช้เปลวไฟสีเหลืองน้ำตาลก่อนหน้านี้ ที่แท้ก็เป็นพลังจากกายาเพลิงคะนองของเอี๋ยนเอ๋อร์
!”
“ดูเหมือนว่าพยัคฆ์ขาวเนตรทองจะอาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานและมันก็ดูดซับพลังที่แผ่ซ่านของกายาเพลิงคะนองจนมีความสามารถเช่นนี้ สุดท้ายมันก็เลยเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ให้เอี๋ยนเอ๋อร์....”
ในระยะเวลาสั้นๆจี้เทียนซิงก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดจนเข้าใจ
เขายิ้มและพูดว่า
"เอี๋ยนเอ๋อร์ ข้าแซ่จี้ นามว่าเทียนซิง ข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายมาได้ไม่กี่เดือน
ไม่กี่วันก่อนข้าได้ผ่านพิธีกราบอาจารย์และกลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขเช่นเดียวกับเจ้า”
“เห ? เจ้าก็เป็นศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์เหมือนกันเหรอ
?”
น้ำเสียงของเอี๋ยนเอ๋อร์เริ่มแฝงความเป็นมิตรและยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“หากเป็นของสิ่งนี้ล่ะ เจ้าจะเชื่อข้าได้หรือยัง ? ”
จี้เทียนซิงพยักหน้าแล้วหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมา
ถึงแม้เอี๋ยนเอ๋อร์จะถูกห่อหุ้มไว้ในไข่ยักษ์แต่เขาก็สามารถเห็นสถานการณ์ข้างนอกได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นเขาจึงเห็นป้ายคำสั่งสวรรค์ของนิกายและไม่สงสัยในตัวจี้เทียนซิงอีกต่อไป
จี้เทียนซิงยิ้มพลางกล่าวว่า
“ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์
ตอนนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า"
เอี๋ยนเอ๋อร์เงียบไปและกล่าวว่า
“แต่ท่านเพิ่งเข้านิกายได้ไม่ถึงปี
ส่วนข้าเป็นศิษย์ของนิกายมาแล้วสองปี ในเมื่อข้าเข้านิกายก่อน
ท่านควรเรียกข้าว่าศิษย์พี่ถึงจะถูก”
มุมปากของจี้เทียนซิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เอี๋ยนเอ๋อร์
นิกายเรามิได้นับลำดับขั้นอาวุโสจากระยะเวลาที่ฝากตัวเป็นศิษย์ พวกเรานับจากอายุต่างหาก
ในเมื่อข้าแก่กว่าเจ้า ดังนั้นข้าจึงเป็นศิษย์พี่”
“เอ๋.... ? มีกฏแบบนี้ด้วยหรือ
?” เอี๋ยนเอ๋อร์แสดงความสงสัยกับเรื่องนี้
น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนไม่แน่ใจ
ใบหน้าของจี้เทียนซิงเริ่มเคร่งขรึมขึ้นและกล่าวอย่างจริงจังว่า
“แน่นอน นี่เป็นกฏใหม่ของนิกาย
เจ้านอนอยู่ในถ้ำอู๋หยามาเป็นเวลานานนับปี ดังนั้นจึงไม่ทราบเกี่ยวกับกฎใหม่
ไหนเรียกข้าศิษย์พี่ซิ !”
“อ้อ... เป็นเช่นนี้นี่เอง” เอี๋ยนเอ๋อร์ตอบรับอย่างชื่นชมยินดีและกล่าวต่อไปว่า
“งั้นข้าต้องเรียกท่านว่าศิษย์พี่สองใช่ไหม ?”
“หืม ? ศิษย์พี่สอง
?” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกขัดๆกับคำเรียกขานนี้โดยสัญชาตญาณ
เอี๋ยนเอ๋อร์ยิ้มพลางอธิบายว่า
“ท่านอาจารย์มีศิษย์ด้วยกันสามคน
พี่สาวหยุนเหยาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนท่านอายุน้อยกว่านางก็ย่อมเป็นศิษย์พี่สองไปโดยปริยาย”
จี้เทียนซิงส่ายหัวแล้วพูดว่า
“ไม่เอาล่ะ เรียกข้าว่าศิษย์พี่สองมันฟังดูแปลกๆ เช่นนี้ก็แล้วกัน
เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่เทียนซิง”
“เอิ่ม...... เอาเถอะๆ งั้นตามนั้นก็ได้, ศิษย์พี่เทียนซิง” เอี๋ยนเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและยอมรับตามคำขอของจี้เทียนซิง
ชายหนุ่มยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวว่า
“ดีมาก ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์”
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันและถามถึงความเป็นอยู่ของฉู่เทียนซิงและหยุนเหยา
แน่นอนว่าจี้เทียนซิงย่อมรู้ทุกอย่างและตอบโดยละเอียด
เมื่อเอี๋ยนเอ๋อร์ทราบว่าทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ต่างอยู่กันอย่างสุขสบาย
เขาก็รู้สึกดีใจแล้วหันเหหัวเรื่องมาทางจี้เทียนซิง
“จริงสิศิษย์พี่เทียนซิง
เหตุใดท่านถึงต้องทำลายปราการถ้ำด้วยเล่า ?”
จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่พยัคฆ์ขาวเนตรทองที่อยู่ไม่ไกลออกไปและอธิบายว่า
“ข้ามาที่เทือกเขาอู๋หยาก็เพื่อจับสัตว์วิญญาณไปคืนนิกาย
บังเอิญเจอเจ้าพยัคฆ์ขาวเนตรทองตัวนั้นก็เลยไล่ล่ามันมาถึงที่นี่”
เมื่อมาถึงจุดนี้พยัคฆ์ขาวเนตรทองก็เดินกลับไปด้านหลังแผ่นหินและโผล่หัวมาครึ่งเดียว
ดวงตาจ้องมองอย่างเฉยชาไปที่จี้เทียนซิงกับเสี่ยวเฮยหลง
เมื่อมองดูท่าทีของพยัคฆ์ขาวเนตรทอง
เขาก็เข้าใจว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีท่าทางจะทำร้ายเอี๋ยนเอ๋อร์
มันจะพุ่งออกมาปกป้องแน่นอน
เอี๋ยนเอ๋อร์รีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ไม่ได้นะศิษย์พี่เทียนซิง ท่านอย่าจับเสี่ยวไป๋ไปนะ
!”
“ในปีนั้นที่ข้าหลับใหล เสี่ยวไป๋ก็นอนหมอบอยู่ในถ้ำเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองข้า
ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมัน มันดูดซับเพลิงคะนองของข้าได้และยังเป็นสหายที่ดี”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า
“ข้าเห็นแล้ว พยัคฆ์ขาวเนตรทองตัวนี้ไม่เพียงดูดซับกายาเพลิงคะนองของเจ้า
แต่มันยังนำมาใช้ได้ด้วย เจ้ากับมันมีวาสนาต่อกัน”
“ในเมื่อมันคอยปกป้องดูแลและมองว่าเจ้าเป็นทั้งเพื่อนและเจ้านาย
ข้าจะไม่จับมันไปแน่นอน เรื่องนี้เจ้าวางใจได้นะเอี๋ยนเอ๋อร์”
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง
เอี๋ยนเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความยินดีและกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เทียนซิง”
จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่ไข่ยักษ์สีเทาและเพ่งสายตามองดูมันพลางถามว่า “เอี๋ยนเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องจำศีลอยู่ตลอดหรอกหรือ ? ตื่นขึ้นมาได้อย่างไร ?”
“ข้าเพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
แล้วท่านก็เข้ามาพอดี”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้.....”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามต่อไปว่า
“แล้วเจ้านอนหลับในไข่พิลึกนี้ได้อย่างไร ? มันคืออะไร ?”
“ศิษย์พี่เทียนซิง นี่ไม่ใช่ไข่พิลึกเสียหน่อย มันเป็นของที่ท่านอาจารย์ประมุขสร้างขึ้นโดยรวบรวมวัสดุล้ำค่ามากมายเพื่อหวังว่าจะทำให้ธาตุไฟของข้าทุเลาลง”
“ท่านอาจารย์ต้องใช้พลังของเส้นชีพจรวิญญาณและผลึกเหมันต์ช่วยข้าขจัดเพลิงคะนอง...”
จี้เทียนซิงรู้ว่ากายาเพลิงคะนองเป็นอะไรที่หาได้ยาก
แต่มันกลับเป็นพันธนาการและความทุกข์ทรมานสำหรับเอี๋ยนเอ๋อร์
หากสามารถขจัดความคลุ้มคลั่งของกายาเพลิงคะนองและรักษาสองสายเลือดพรสวรรค์ของเอี๋ยนเอ๋อร์เอาไว้ได้
เด็กคนนี้จะกลายเป็นสุดยอดฝีมือในเชิงยุทธ์ในอนาคต !
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็ถามอีกครั้งว่า:
"เอี๋ยนเอ๋อร์ แล้วอาการของเจ้าเป็นอย่างไรตอนนี้ ? เจ้าจะต้องจำศึลถึงเมื่อไหร่ ?”
เอี๋ยนเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงต่ำ
“อาการของข้าดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาได้เมื่อไหร่
บางทีข้าคงต้องรอจนกว่าอุณหภูมิรอบๆตัวข้าจะกลับเป็นปกติ”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดคุยกับเอี๋ยนเอ๋อร์อีกพักหนึ่ง
จากนั้นก็เตรียมจะจากไป
“เอี๋ยนเอ๋อร์
เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนและรักษาอาการให้เต็มที่เถอะ ข้าต้องออกไปจัดการธุระต่อแล้ว”
เอี๋ยนเอ๋อร์มีความลังเลใจและถามว่า
“ศิษย์พี่เทียนซิง ข้าอยู่ในถ้ำเพียงลำพังไม่มีเพื่อนคุยเลย
ท่านมาหาข้าบ่อยๆได้หรือไม่ ?”
จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้าตอบว่า “ย่อมได้ ข้าจะมาหาบ่อยๆ ส่วนเจ้าก็ต้องรีบหายไวๆ เมื่อเจ้าออกมาเมื่อไหร่ข้าจะพาไปกินของอร่อยๆ”
อารมณ์ของเอี๋ยนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆว่า “ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่เทียนซิง เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะออกไปท่องเที่ยวกัน”
จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินออกจากถ้ำพร้อมกับเสี่ยวเฮยหลง
หลังจากออกจากถ้ำอู๋หยา
จี้เทียนซิงก็กลับมายังพื้นที่เปิดโล่งกลางหุบเขาอีกครั้งและเริ่มซ่อมแซมข่ายอาคมลวงตาที่แตกสลายจากน้ำมือของพยัคฆ์ขาวเนตรทอง
ในเมื่อตอนนี้ทราบแล้วว่ามันเป็นเพื่อนของเอี๋ยนเอ๋อร์
จี้เทียนซิงจึงต้องตัดใจและทำได้เพียงใช้วิธีการเดิมจับสัตว์วิญญาณตัวอื่นเท่านั้น
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved