ตอนที่ 242

เอี๋ยนเอ๋อร์และเสี่ยวไป๋

เทือกเขาอู๋หยาตั้งอยู่ห่างจากนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นระยะทางร่วม

200 ไมล์

มันมีแหล่งชีพจรวิญญาณที่นับว่าอยู่ใกล้กับนิกายมากที่สุด

ภายในดินแดนดาราบรรพกาลมีกฎอยู่ว่า

ตลอดระยะทางสามร้อยไมล์รอบนิกายแต่ละแห่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเหนือใต้ออกตกให้ถือว่าเป็นอาณาเขตของนิกาย

ด้วยกฏเกณฑ์นี้

ภูเขาอู๋หยาและถ้ำอู๋หยาจึงถือเป็นอาณาเขตในครอบครองของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เพียงแต่ว่าสิ่งที่จี้เทียนซิงไม่เข้าใจก็คือเหตุใดที่นี่จึงเป็นเขตหวงห้าม

?

มีอย่างเดียวที่เขาแน่ใจก็คือถ้ำแห่งนี้ต้องเกิดจากฝีมือของมนุษย์

ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงหรือไข่ยักษ์สีเทาก็ล้วนแต่ถูกจัดวางไว้ด้วยข่ายปราณ

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามไข่ยักษ์สีเทาว่า

“เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าเป็นศิษย์สาวกคนหนึ่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์ใช่ไหม ?”

เด็กชายตอบกลับทันทีว่า

“มิผิด !

เราคือศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย”

“ว่าไงนะ ? ศิษย์สายตรงของท่านประมุข

?”

จี้เทียนซิงเบิกตากว้างและดวงตาเปล่งประกาย

ทันใดนั้นเองเขาก็คาดเดาตัวตนของเด็กชายผู้นี้ได้แล้ว

“เจ้าคือรัชทายาทแห่งเผ่าอัคคีทักษิณ – เอี๋ยนเอ๋อร์”

“…………”

เอี๋ยนเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่งและดูเหมือนจะอึดอัดใจพลางถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ารู้จักชื่อและฐานะของเราได้อย่างไร

?”

คำพูดของเขาถือเป็นคำตอบที่แน่นอนแล้ว ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงเผยรอยยิ้มที่ขบขันออกมา

ตอนแรกที่เขาเข้ามาในถ้ำนี้ก็พบว่ามันถูกปกคลุมไว้ด้วยเปลวไฟสีน้ำตาลเหลืองและแม้แต่กำแพงตลอดจนก้อนหินก็ถูกเผาไหม้จนเป็นสีแดง

ตอนนี้เขาตระหนักแล้วว่าเปลวไฟที่แผ่ซ่านออกไปทั่วทั้งถ้ำนี้สมควรเกิดจากพลังที่ควบคุมไม่ได้ของเอี๋ยนเอ๋อร์

ก่อนหน้านี้หยุนเหยาเคยเล่าให้เขาฟังว่าเอี๋ยนเอ๋อร์หลับอยู่ในข่ายปราณภายใต้การควบคุมของฉู่เทียนเซิง

เพื่อระงับอาการที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างกายาเพลิงคะนองและสายเลือดพรสวรรค์สองชนิดที่มีมาโดยกำเนิด

ในเวลานั้นเขาไม่ได้ถามอะไรมากเพียงแต่คิดว่าเอี๋ยนเอ๋อร์กำลังนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในนิกาย

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายอยู่ในถ้ำอู๋หยาภายในบริเวณภูเขาอู๋หยานี่เอง

“สถานที่แห้งนี้เต็มไปด้วยรัศมีพลังฟ้าดินและเส้นชีพจรวิญญาณ

ท่านประมุขใช้พลังของมันในการจัดวางข่ายปราณเพื่อช่วยเอี๋ยนเอ๋อร์สะกดเพลิงคะนองและรักษาตัวที่นี่”

“เขาพักอาศัยอยู่ในถ้ำที่ไร้ผู้คนและด้วยกายาเพลิงคะนองที่ควบคุมไม่ได้ก็ทำให้ทั้งถ้ำเต็มไปด้วยไอเพลิง

แม้แต่พยัคฆ์ขาวเนตรทองที่สามารถใช้เปลวไฟสีเหลืองน้ำตาลก่อนหน้านี้ ที่แท้ก็เป็นพลังจากกายาเพลิงคะนองของเอี๋ยนเอ๋อร์

!”

“ดูเหมือนว่าพยัคฆ์ขาวเนตรทองจะอาศัยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานและมันก็ดูดซับพลังที่แผ่ซ่านของกายาเพลิงคะนองจนมีความสามารถเช่นนี้  สุดท้ายมันก็เลยเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ให้เอี๋ยนเอ๋อร์....”

ในระยะเวลาสั้นๆจี้เทียนซิงก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดจนเข้าใจ

เขายิ้มและพูดว่า

"เอี๋ยนเอ๋อร์ ข้าแซ่จี้ นามว่าเทียนซิง ข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายมาได้ไม่กี่เดือน

ไม่กี่วันก่อนข้าได้ผ่านพิธีกราบอาจารย์และกลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขเช่นเดียวกับเจ้า”

“เห ? เจ้าก็เป็นศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์เหมือนกันเหรอ

?”

น้ำเสียงของเอี๋ยนเอ๋อร์เริ่มแฝงความเป็นมิตรและยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“หากเป็นของสิ่งนี้ล่ะ เจ้าจะเชื่อข้าได้หรือยัง ? ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าแล้วหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมา

ถึงแม้เอี๋ยนเอ๋อร์จะถูกห่อหุ้มไว้ในไข่ยักษ์แต่เขาก็สามารถเห็นสถานการณ์ข้างนอกได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นเขาจึงเห็นป้ายคำสั่งสวรรค์ของนิกายและไม่สงสัยในตัวจี้เทียนซิงอีกต่อไป

จี้เทียนซิงยิ้มพลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์

ตอนนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วใช่ไหมว่าข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า"

เอี๋ยนเอ๋อร์เงียบไปและกล่าวว่า

“แต่ท่านเพิ่งเข้านิกายได้ไม่ถึงปี

ส่วนข้าเป็นศิษย์ของนิกายมาแล้วสองปี ในเมื่อข้าเข้านิกายก่อน

ท่านควรเรียกข้าว่าศิษย์พี่ถึงจะถูก”

มุมปากของจี้เทียนซิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“เอี๋ยนเอ๋อร์

นิกายเรามิได้นับลำดับขั้นอาวุโสจากระยะเวลาที่ฝากตัวเป็นศิษย์ พวกเรานับจากอายุต่างหาก

ในเมื่อข้าแก่กว่าเจ้า ดังนั้นข้าจึงเป็นศิษย์พี่”

“เอ๋.... ? มีกฏแบบนี้ด้วยหรือ

?” เอี๋ยนเอ๋อร์แสดงความสงสัยกับเรื่องนี้

น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนไม่แน่ใจ

ใบหน้าของจี้เทียนซิงเริ่มเคร่งขรึมขึ้นและกล่าวอย่างจริงจังว่า

“แน่นอน นี่เป็นกฏใหม่ของนิกาย

เจ้านอนอยู่ในถ้ำอู๋หยามาเป็นเวลานานนับปี ดังนั้นจึงไม่ทราบเกี่ยวกับกฎใหม่

ไหนเรียกข้าศิษย์พี่ซิ !”

“อ้อ... เป็นเช่นนี้นี่เอง”  เอี๋ยนเอ๋อร์ตอบรับอย่างชื่นชมยินดีและกล่าวต่อไปว่า

“งั้นข้าต้องเรียกท่านว่าศิษย์พี่สองใช่ไหม ?”

“หืม ? ศิษย์พี่สอง

?”  จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกขัดๆกับคำเรียกขานนี้โดยสัญชาตญาณ

เอี๋ยนเอ๋อร์ยิ้มพลางอธิบายว่า

“ท่านอาจารย์มีศิษย์ด้วยกันสามคน

พี่สาวหยุนเหยาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ส่วนท่านอายุน้อยกว่านางก็ย่อมเป็นศิษย์พี่สองไปโดยปริยาย”

จี้เทียนซิงส่ายหัวแล้วพูดว่า

“ไม่เอาล่ะ เรียกข้าว่าศิษย์พี่สองมันฟังดูแปลกๆ เช่นนี้ก็แล้วกัน

เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่เทียนซิง”

“เอิ่ม...... เอาเถอะๆ งั้นตามนั้นก็ได้, ศิษย์พี่เทียนซิง” เอี๋ยนเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและยอมรับตามคำขอของจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ดีมาก ศิษย์น้องเอี๋ยนเอ๋อร์”

จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันและถามถึงความเป็นอยู่ของฉู่เทียนซิงและหยุนเหยา

แน่นอนว่าจี้เทียนซิงย่อมรู้ทุกอย่างและตอบโดยละเอียด

เมื่อเอี๋ยนเอ๋อร์ทราบว่าทั้งอาจารย์และศิษย์พี่ต่างอยู่กันอย่างสุขสบาย

เขาก็รู้สึกดีใจแล้วหันเหหัวเรื่องมาทางจี้เทียนซิง

“จริงสิศิษย์พี่เทียนซิง

เหตุใดท่านถึงต้องทำลายปราการถ้ำด้วยเล่า ?”

จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่พยัคฆ์ขาวเนตรทองที่อยู่ไม่ไกลออกไปและอธิบายว่า

“ข้ามาที่เทือกเขาอู๋หยาก็เพื่อจับสัตว์วิญญาณไปคืนนิกาย

บังเอิญเจอเจ้าพยัคฆ์ขาวเนตรทองตัวนั้นก็เลยไล่ล่ามันมาถึงที่นี่”

เมื่อมาถึงจุดนี้พยัคฆ์ขาวเนตรทองก็เดินกลับไปด้านหลังแผ่นหินและโผล่หัวมาครึ่งเดียว

ดวงตาจ้องมองอย่างเฉยชาไปที่จี้เทียนซิงกับเสี่ยวเฮยหลง

เมื่อมองดูท่าทีของพยัคฆ์ขาวเนตรทอง

เขาก็เข้าใจว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีท่าทางจะทำร้ายเอี๋ยนเอ๋อร์

มันจะพุ่งออกมาปกป้องแน่นอน

เอี๋ยนเอ๋อร์รีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“ไม่ได้นะศิษย์พี่เทียนซิง ท่านอย่าจับเสี่ยวไป๋ไปนะ

!”

“ในปีนั้นที่ข้าหลับใหล เสี่ยวไป๋ก็นอนหมอบอยู่ในถ้ำเพื่อคอยปกป้องคุ้มครองข้า

ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมัน มันดูดซับเพลิงคะนองของข้าได้และยังเป็นสหายที่ดี”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า

“ข้าเห็นแล้ว พยัคฆ์ขาวเนตรทองตัวนี้ไม่เพียงดูดซับกายาเพลิงคะนองของเจ้า

แต่มันยังนำมาใช้ได้ด้วย เจ้ากับมันมีวาสนาต่อกัน”

“ในเมื่อมันคอยปกป้องดูแลและมองว่าเจ้าเป็นทั้งเพื่อนและเจ้านาย

ข้าจะไม่จับมันไปแน่นอน เรื่องนี้เจ้าวางใจได้นะเอี๋ยนเอ๋อร์”

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง

เอี๋ยนเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความยินดีและกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เทียนซิง”

จี้เทียนซิงจ้องมองไปที่ไข่ยักษ์สีเทาและเพ่งสายตามองดูมันพลางถามว่า “เอี๋ยนเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องจำศีลอยู่ตลอดหรอกหรือ ? ตื่นขึ้นมาได้อย่างไร ?”

“ข้าเพิ่งตื่นขึ้นมาเมื่อไม่กี่วันก่อน

แล้วท่านก็เข้ามาพอดี”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้.....”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามต่อไปว่า

“แล้วเจ้านอนหลับในไข่พิลึกนี้ได้อย่างไร ? มันคืออะไร ?”

“ศิษย์พี่เทียนซิง นี่ไม่ใช่ไข่พิลึกเสียหน่อย มันเป็นของที่ท่านอาจารย์ประมุขสร้างขึ้นโดยรวบรวมวัสดุล้ำค่ามากมายเพื่อหวังว่าจะทำให้ธาตุไฟของข้าทุเลาลง”

“ท่านอาจารย์ต้องใช้พลังของเส้นชีพจรวิญญาณและผลึกเหมันต์ช่วยข้าขจัดเพลิงคะนอง...”

จี้เทียนซิงรู้ว่ากายาเพลิงคะนองเป็นอะไรที่หาได้ยาก

แต่มันกลับเป็นพันธนาการและความทุกข์ทรมานสำหรับเอี๋ยนเอ๋อร์

หากสามารถขจัดความคลุ้มคลั่งของกายาเพลิงคะนองและรักษาสองสายเลือดพรสวรรค์ของเอี๋ยนเอ๋อร์เอาไว้ได้

เด็กคนนี้จะกลายเป็นสุดยอดฝีมือในเชิงยุทธ์ในอนาคต !

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็ถามอีกครั้งว่า:

"เอี๋ยนเอ๋อร์ แล้วอาการของเจ้าเป็นอย่างไรตอนนี้ ? เจ้าจะต้องจำศึลถึงเมื่อไหร่ ?”

เอี๋ยนเอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงต่ำ

“อาการของข้าดีขึ้นมากแล้ว  แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาได้เมื่อไหร่

บางทีข้าคงต้องรอจนกว่าอุณหภูมิรอบๆตัวข้าจะกลับเป็นปกติ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดคุยกับเอี๋ยนเอ๋อร์อีกพักหนึ่ง

จากนั้นก็เตรียมจะจากไป

“เอี๋ยนเอ๋อร์

เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนและรักษาอาการให้เต็มที่เถอะ ข้าต้องออกไปจัดการธุระต่อแล้ว”

เอี๋ยนเอ๋อร์มีความลังเลใจและถามว่า

“ศิษย์พี่เทียนซิง ข้าอยู่ในถ้ำเพียงลำพังไม่มีเพื่อนคุยเลย

ท่านมาหาข้าบ่อยๆได้หรือไม่ ?”

จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้าตอบว่า “ย่อมได้ ข้าจะมาหาบ่อยๆ ส่วนเจ้าก็ต้องรีบหายไวๆ เมื่อเจ้าออกมาเมื่อไหร่ข้าจะพาไปกินของอร่อยๆ”

อารมณ์ของเอี๋ยนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆว่า “ขอบคุณท่านมากศิษย์พี่เทียนซิง  เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะออกไปท่องเที่ยวกัน”

จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินออกจากถ้ำพร้อมกับเสี่ยวเฮยหลง

หลังจากออกจากถ้ำอู๋หยา

จี้เทียนซิงก็กลับมายังพื้นที่เปิดโล่งกลางหุบเขาอีกครั้งและเริ่มซ่อมแซมข่ายอาคมลวงตาที่แตกสลายจากน้ำมือของพยัคฆ์ขาวเนตรทอง

ในเมื่อตอนนี้ทราบแล้วว่ามันเป็นเพื่อนของเอี๋ยนเอ๋อร์

จี้เทียนซิงจึงต้องตัดใจและทำได้เพียงใช้วิธีการเดิมจับสัตว์วิญญาณตัวอื่นเท่านั้น