ตอนที่ 247

ข้าจะไม่มีทางแพ้

!

ดวงตาของถังอี้ลั่วกระพริบด้วยแสงเย็นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“เฮอะ ! เจ้าเด็กจี้เทียนซิงระดับพลังยุทธ์อ่อนปวกเปียกแต่ช่างกล้าเหิมเกริมนัก

ข้าไม่รู้ว่าสุนัขอย่างมันกลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขได้อย่างไร”

เฉินซู่เผยยิ้มบางและกล่าวด้วยน้ำเสียงตักเตือนว่า

“ศิษย์น้องถัง อย่าได้กล่าวเช่นนั้น

จี้เทียนซิงอาจจะไม่ใช่พวกโง่เง่าบ้าพลังหรือไม่กลัวตายอย่างที่เจ้าคิดก็เป็นได้”

“ระหว่างศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในเรา

หลายปีที่ผ่านมาล้วนแต่ประชันขันแข่งกันในที่มืด

ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดหน้าท้าชนกันซึ่งๆหน้ามาก่อน

อีกทั้งฉากหน้าพวกเราก็ต้องแสร้งทำเหมือนว่าสามัคคีกลมเกลียว”

“บัดนี้ก็นับว่าไม่น่าเบื่อแล้ว

การที่มีเจ้าเด็กจี้เทียนซิงเข้ามาชั้นในทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ขึ้น”

“เจ้าเด็กเหลือขอนี่เพิ่งเข้านิกายมาได้แค่สามเดือน

แม้แต่กฎและสถานการณ์ของนิกายก็ยังไม่ทราบแน่ชัด

มันกลับกล้าไปท้าทายไป๋หวู่เชินซึ่งๆหน้า”

“แต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเรา เราสามารถนั่งบนภูเขาและดูทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้ไปด้วยกันทั้งคู่

!”

ถังอี้ลั่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“หืม แพ้ทั้งคู่ ?”

หลังจากคิดได้เขาก็พยักหน้าอย่างคิดได้และกล่าวต่อไปว่า

“งั้นก็หมายความว่าจี้เทียนซิงต้องมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังสินะ.....”

“น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ของมันต่ำเกินไป มันเป็นคู่ต่อสู้ของไป๋หวู่เชินได้ที่ไหน

?”

“แต่จะว่าไปข้าก็ชักอยากเห็นแล้วสิว่าหลังจากมันแพ้ให้กับไป๋หวู่เชิน

มันจะใช้ชีวิตต่อไปในนิกายได้อย่างไร ?”

เฉินซู่พยักหน้าแล้วแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เมื่อถึงเวลานั้นฐานะศิษย์สายตรงของท่านประมุข

มันจะยังรักษาไว้ได้อีกหรือ ?”

ถังอี้ลั่วก็เผยสีหน้าคาดหวังและกล่าวเสริมว่า

“ส่วนไป๋หวู่เชินก็จะทำให้ท่านประมุขรู้สึกแย่ที่ทำลายศิษย์สายตรงและหักหน้าท่าน

ซึ่งมันจะกลายเป็นทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างมันกับท่านประมุขเพราะเรื่องนี้”

“ผลที่ออกมา แม้ไป๋หวู่เชินจะชนะ

แต่มันก็ถือว่าได้หนึ่งพันเสียหนึ่งร้อยและหมดโอกาสก้าวหน้า  คู่แข่งของเราก็ลดลงไปอีกหนึ่ง !”

“หึๆ ถูกต้อง

นี่แหละคือความหมายของคำว่าแพ้ทั้งคู่”

เฉินซู่พยักหน้าอีกครั้ง

ใบหน้าของเขาเผยยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

........

ภายในตำหนักไม่จีรัง

ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

ไป๋หวู่เชินกำลังนั่งอยู่บนม้าหิน

ในมือถือจอกน้ำชาพร้อมรอยยิ้มน้อยใหญ่ที่ประดับอยู่ใบหน้า เขายกจอกขึ้นจิบอย่างช้า

ฮ่าวเมิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าซับซ้อน ท่าทางราวกับมีคำพูดมากมายที่คิดเอ่ยปากพูด

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งไป๋หวู่เชินก็วางจอกน้ำชาลงพลางมองไปที่ฮ่าวเมิ่งด้วยรอยยิ้ม

เขาถามว่า “ศิษย์น้องฮ่าว

เจ้าทราบเรื่องคำประกาศท้าสู้หรือยัง ?”

ฮ่าวเมิ่งพยักหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น

“คำประกาศของจี้เทียนซิงจะแสดงบนแผ่นศิลากลางจัตุรัสชั้นในเป็นเวลาสามวัน

ตอนนี้ศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดต่างรับรู้”

“ศิษย์พี่ไป๋

จี้เทียนซิงประกาศเปิดหน้าท้าสู้กลางสาธารณะเช่นนี้

เหตุใดท่านถึงยังหัวเราะอยู่ได้ มันใช่เวลานั่งจิบชาสบายใจหรือไง ?”

ไป๋หวู่เชินเลิกคิ้ว

ใบหน้าซีดขาวและแก้มตอบเผยความตื่นเต้นยินดีขึ้น เขายกจอกน้ำชาขึ้นและกล่าวอย่างเฉยชาว่า

“สมควรต้องฉลอง เจ้าคนงี่เง่ารนหาที่ตายมาให้ข้าทุบตี

เหตุใดถึงไม่ควรหัวเราะเล่า ?”

“ตอนแรกข้ายังถือว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำได้เพียงเล่นงานอย่างลับๆ

ข้าอุตส่าห์หลงคิดแผนการมากมายเพื่อจัดการมัน แต่สุดท้ายมันก็แส่หาเรื่องเอง เฮอะ

ฉลาดน้อยเช่นนี้สมแล้วที่เป็นพวกบ้านนอกจากประเทศเล็กๆ"

“มันคิดว่าเป็นศิษย์สายตรงท่านประมุขที่มีท่านประมุขหนุนหลังแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้หรือไร

? คิดตื้นๆ !”

“หึๆๆ การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในเดือนหน้า

ข้าจะทำลายมันจนกรีดร้องโหยหวนต่อหน้าทุกคน !

ข้าจะให้มันแพ้จนมาเกาะแข้งเกาะขาร้องขอชีวิตข้า !”

“ชาถ้วยนี้ มีไว้ก็เพื่อฉลองล่วงหน้า ! ศิษย์น้องฮ่าว ดื่มกับข้าหน่อยซี่”

กล่าวจบเขาก็เชิดหน้าขึ้นและดื่มชาต่อไป

ฮ่าวเมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามด้วยความสับสน

“ศิษย์พี่ไป๋ ท่านทำอะไรกับจี้เทียนซิงไปกันแน่ ? ทำไมจู่ๆมันถึงมาประกาศท้าสู้ท่านกลางที่สาธารณะได้

?”

ไป๋หวู่เชินแสยะยิ้มอย่างเย่อหยิ่งและกระซิบว่า

“หึๆ ข้าก็แค่ใช้แผนการเล็กน้อย

ทำให้มันต้องลุยป่าเขาอย่างทรมานนิดหน่อยเท่านั้นเอง

กลับมามันก็บุกมาถึงตำหนักข้าเพื่อประกาศท้าสู้ เด็กน้อยสิ้นดี”

“ศิษย์น้องฮ่าว

ไหนเจ้าบอกว่าไอ้หนูนี้รู้ตัวเองดี ฉลาดเยือกเย็น ไม่หุนหันพลันแล่น  เช่นนั้นเหตุใดมันถึงได้หัวร้อนมาท้าสู้กับข้าเล่า

? เจ้าประเมินมันสูงเกินไปแล้ว เหอะ

อย่างมันน่ะหรือจะได้รับความสนใจจากศิษย์พี่หญิงใหญ่”

คิ้วของฮ่าวเมิ่งขมวดมุ่นจนแทบติดกันและไม่พูดอะไรออกมา

เขามีคำพูดบางคำอยู่ในใจที่ไม่ได้พูดออกมา

แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความคิด เพียงแค่ว่าเขาไม่รู้ว่าพูดไปแล้วอีกฝ่ายจะรับฟังหรือไม่

ฮ่าวเมิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านับตั้งแต่ที่ตัวตนของจี้เทียนซิงปรากฏขึ้นในชีวิตของพวกเขา

นิสัยใจคอและจิตใจของไป๋หวู่เชินก็ยิ่งแคบลงและกลายเป็นคนไร้เหตุผล

อย่างไรก็ตามเขาตระหนักดีถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ในตัวของไป๋หวู่เชิน

มันสืบเนื่องมาจากความหึงหวงริษยา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก

หลังจากเงียบไปนานฮ่าวเมิ่งก็พูดด้วยเสียงเบาว่า

“ศิษย์พี่ไป๋ วันนี้ข้าไปหาศิษย์พี่หญิงใหญ่มา”

“อีกสามวันข้างหน้าจะมีงานประชุมสภาแปดนิกาย

ท่านประมุขไม่ไปแต่มอบหมายภาระนี้ให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่และจี้เทียนซิง”

“เจ้าว่าไงนะ !?”

ไป๋หวู่เชินตกใจจนมือที่ถือจอกชาไว้สั่นสะเทือน

สีหน้าของเขาหม่นหมองลงในทันที

ดวงตากระพริบด้วยแสงเย็นเยือก

“เป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”

“สภาแปดนิกายเป็นการประชุมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก

แม้แต่เจ้าและข้ารวมไปถึงศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆก็ยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม  ท่านประมุขปล่อยให้เจ้าเด็กเหลือขอจี้เทียนซิงไปได้อย่างไร

?”

ไป๋หวู่เชินโมโหจนหน้าเขียวคล้ำราวกับว่าไม่อาจทนรับข่าวนี้ได้

ฮ่าวเมิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ศิษย์พี่ไป๋

จนป่านนี้แล้วท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือไง ? เหตุผลที่ท่านประมุขดีต่อจี้เทียนซิงขนาดนั้นก็เพราะท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นเพียงแค่ศิษย์สายตรงที่รับมาเพื่อตอบแทนที่มันสร้างคุณงามความดีให้นิกาย

แต่ท่านหมายมั่นจะฝึกฝนให้มันเป็นผู้สืบทอด !”

“แต่ตอนนี้ท่านกับจี้เทียนซิงดันมีเรื่องบาดหมางกันไปแล้ว

การประลองจัดอันดับขั้นสวรรค์ในเดือนหน้าต่อให้ท่านเอาชนะมันได้

ท่านคิดว่านี่คือชัยชนะจริงๆงั้นหรือ ?”

“ถึงแม้ท่านจะสะใจที่ได้จี้เทียนซิงมาเป็นข้ารับใช้

แต่ท่านก็ถือว่าหักหน้าท่านประมุข ! ดังนั้นผู้ชนะที่แท้จริงของเกมนี้ก็คือเฉินซู่และถังอี้ลั่วต่างหากเล่า

!”

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของฮ่าวเมิ่ง

สีหน้าของไป๋หวู่เชินก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ มือไม้ของเขาสั่นเทาเล็กน้อย

ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่โต๊ะหินและกระซิบกับตัวเองว่า

"ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ! ตราบใดที่ข้าเอาชนะจี้เทียนซิงได้ก็ถือว่าข้าพิสูจน์ตัวเองได้ว่าข้าดีกว่ามัน

ข้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์สายตรงมากกว่า !”

“ตำแหน่งประมุขนิกายเป็นของข้า

หยุนเหยาก็เป็นของข้า ข้าจะไม่มีทางแพ้ !”

เมื่อเห็นอาการนี้ของไป๋หวู่เชิน

ฮ่าวเมิ่งก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญาและยืนขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายพลางกล่าวว่า

“ศิษย์พี่ไป๋ ท่านใจเย็นๆและไตร่ตรองดูให้ดี

เดินทางนี้มีแต่เสียกับเสีย”

“ข้ามีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน”

ท้ายที่สุดฮ่าวเมิ่งก็ส่ายศีรษะเดินออกจากตำหนักไม่จีรัง

ไป๋หวู่เชินยังคงมีสีหน้าอัปลักษณ์และนั่งอยู่ที่จุดเดิมไม่ขยับไปไหนอีกเป็นเวลานาน

...........

สองวันผ่านไป

ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทั่วทั้งนิกายต่างก็เดือดพล่านไปด้วยคำประกาศท้าประลองระหว่างจี้เทียนซิงกับไป๋หวู่เชิน

ข่าวนี้แพร่สะพัดและถูกพูดถึงแทบจะทุกที่ภายในนิกาย

แม้แต่นิกายฝ่ายนอกก็ยังได้ยินข่าวนี้

และแน่นอนรวมไปถึงหอยุทธ์ทั้งสามของฝ่ายนอกเช่นกัน ทุกเรื่องทราบนี้กันหมด

ศิษย์ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหลายคนล้วนแต่คุ้นเคยกับจี้เทียนซิงเป็นอย่างดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจบการประลองหลงซานและพิธีรับศิษย์สายตรงของประมุข  ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายต่างก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่

พวกเขาทั้งภูมิใจและชื่นชมจี้เทียนซิง แทบทุกคนมองดูเขาเป็นแบบอย่างที่ดี

ทันทีที่ได้ทราบข่าวว่าจี้เทียนซิงศิษย์ร่วมหอยุทธ์ประกาศท้าทายไป๋หวู่เชินศิษย์หัวกะทิอันดับสี่ในรายชื่อขั้นสวรรค์

พวกเขาก็ระเบิดการสนทนากันอย่างตื่นเต้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างในหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ภายในนั้นมีแต่การจับกลุ่มสนทนากันและสวดภาวนาให้จี้เทียนซิงอย่างเงียบๆ

ทุกคนหวังว่าชายผู้นี้จะสามารถทะยานขึ้นไปได้อีกครั้ง !