ข้าจะไม่มีทางแพ้
!
ดวงตาของถังอี้ลั่วกระพริบด้วยแสงเย็นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“เฮอะ ! เจ้าเด็กจี้เทียนซิงระดับพลังยุทธ์อ่อนปวกเปียกแต่ช่างกล้าเหิมเกริมนัก
ข้าไม่รู้ว่าสุนัขอย่างมันกลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขได้อย่างไร”
เฉินซู่เผยยิ้มบางและกล่าวด้วยน้ำเสียงตักเตือนว่า
“ศิษย์น้องถัง อย่าได้กล่าวเช่นนั้น
จี้เทียนซิงอาจจะไม่ใช่พวกโง่เง่าบ้าพลังหรือไม่กลัวตายอย่างที่เจ้าคิดก็เป็นได้”
“ระหว่างศิษย์หัวกะทิของฝ่ายในเรา
หลายปีที่ผ่านมาล้วนแต่ประชันขันแข่งกันในที่มืด
ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดหน้าท้าชนกันซึ่งๆหน้ามาก่อน
อีกทั้งฉากหน้าพวกเราก็ต้องแสร้งทำเหมือนว่าสามัคคีกลมเกลียว”
“บัดนี้ก็นับว่าไม่น่าเบื่อแล้ว
การที่มีเจ้าเด็กจี้เทียนซิงเข้ามาชั้นในทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ขึ้น”
“เจ้าเด็กเหลือขอนี่เพิ่งเข้านิกายมาได้แค่สามเดือน
แม้แต่กฎและสถานการณ์ของนิกายก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
มันกลับกล้าไปท้าทายไป๋หวู่เชินซึ่งๆหน้า”
“แต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเรา เราสามารถนั่งบนภูเขาและดูทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้ไปด้วยกันทั้งคู่
!”
ถังอี้ลั่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“หืม แพ้ทั้งคู่ ?”
หลังจากคิดได้เขาก็พยักหน้าอย่างคิดได้และกล่าวต่อไปว่า
“งั้นก็หมายความว่าจี้เทียนซิงต้องมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังสินะ.....”
“น่าเสียดายที่พลังยุทธ์ของมันต่ำเกินไป มันเป็นคู่ต่อสู้ของไป๋หวู่เชินได้ที่ไหน
?”
“แต่จะว่าไปข้าก็ชักอยากเห็นแล้วสิว่าหลังจากมันแพ้ให้กับไป๋หวู่เชิน
มันจะใช้ชีวิตต่อไปในนิกายได้อย่างไร ?”
เฉินซู่พยักหน้าแล้วแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เมื่อถึงเวลานั้นฐานะศิษย์สายตรงของท่านประมุข
มันจะยังรักษาไว้ได้อีกหรือ ?”
ถังอี้ลั่วก็เผยสีหน้าคาดหวังและกล่าวเสริมว่า
“ส่วนไป๋หวู่เชินก็จะทำให้ท่านประมุขรู้สึกแย่ที่ทำลายศิษย์สายตรงและหักหน้าท่าน
ซึ่งมันจะกลายเป็นทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างมันกับท่านประมุขเพราะเรื่องนี้”
“ผลที่ออกมา แม้ไป๋หวู่เชินจะชนะ
แต่มันก็ถือว่าได้หนึ่งพันเสียหนึ่งร้อยและหมดโอกาสก้าวหน้า คู่แข่งของเราก็ลดลงไปอีกหนึ่ง !”
“หึๆ ถูกต้อง
นี่แหละคือความหมายของคำว่าแพ้ทั้งคู่”
เฉินซู่พยักหน้าอีกครั้ง
ใบหน้าของเขาเผยยิ้มกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
........
ภายในตำหนักไม่จีรัง
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
ไป๋หวู่เชินกำลังนั่งอยู่บนม้าหิน
ในมือถือจอกน้ำชาพร้อมรอยยิ้มน้อยใหญ่ที่ประดับอยู่ใบหน้า เขายกจอกขึ้นจิบอย่างช้า
ฮ่าวเมิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าซับซ้อน ท่าทางราวกับมีคำพูดมากมายที่คิดเอ่ยปากพูด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งไป๋หวู่เชินก็วางจอกน้ำชาลงพลางมองไปที่ฮ่าวเมิ่งด้วยรอยยิ้ม
เขาถามว่า “ศิษย์น้องฮ่าว
เจ้าทราบเรื่องคำประกาศท้าสู้หรือยัง ?”
ฮ่าวเมิ่งพยักหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น
“คำประกาศของจี้เทียนซิงจะแสดงบนแผ่นศิลากลางจัตุรัสชั้นในเป็นเวลาสามวัน
ตอนนี้ศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดต่างรับรู้”
“ศิษย์พี่ไป๋
จี้เทียนซิงประกาศเปิดหน้าท้าสู้กลางสาธารณะเช่นนี้
เหตุใดท่านถึงยังหัวเราะอยู่ได้ มันใช่เวลานั่งจิบชาสบายใจหรือไง ?”
ไป๋หวู่เชินเลิกคิ้ว
ใบหน้าซีดขาวและแก้มตอบเผยความตื่นเต้นยินดีขึ้น เขายกจอกน้ำชาขึ้นและกล่าวอย่างเฉยชาว่า
“สมควรต้องฉลอง เจ้าคนงี่เง่ารนหาที่ตายมาให้ข้าทุบตี
เหตุใดถึงไม่ควรหัวเราะเล่า ?”
“ตอนแรกข้ายังถือว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ทำได้เพียงเล่นงานอย่างลับๆ
ข้าอุตส่าห์หลงคิดแผนการมากมายเพื่อจัดการมัน แต่สุดท้ายมันก็แส่หาเรื่องเอง เฮอะ
ฉลาดน้อยเช่นนี้สมแล้วที่เป็นพวกบ้านนอกจากประเทศเล็กๆ"
“มันคิดว่าเป็นศิษย์สายตรงท่านประมุขที่มีท่านประมุขหนุนหลังแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจได้หรือไร
? คิดตื้นๆ !”
“หึๆๆ การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในเดือนหน้า
ข้าจะทำลายมันจนกรีดร้องโหยหวนต่อหน้าทุกคน !
ข้าจะให้มันแพ้จนมาเกาะแข้งเกาะขาร้องขอชีวิตข้า !”
“ชาถ้วยนี้ มีไว้ก็เพื่อฉลองล่วงหน้า ! ศิษย์น้องฮ่าว ดื่มกับข้าหน่อยซี่”
กล่าวจบเขาก็เชิดหน้าขึ้นและดื่มชาต่อไป
ฮ่าวเมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามด้วยความสับสน
“ศิษย์พี่ไป๋ ท่านทำอะไรกับจี้เทียนซิงไปกันแน่ ? ทำไมจู่ๆมันถึงมาประกาศท้าสู้ท่านกลางที่สาธารณะได้
?”
ไป๋หวู่เชินแสยะยิ้มอย่างเย่อหยิ่งและกระซิบว่า
“หึๆ ข้าก็แค่ใช้แผนการเล็กน้อย
ทำให้มันต้องลุยป่าเขาอย่างทรมานนิดหน่อยเท่านั้นเอง
กลับมามันก็บุกมาถึงตำหนักข้าเพื่อประกาศท้าสู้ เด็กน้อยสิ้นดี”
“ศิษย์น้องฮ่าว
ไหนเจ้าบอกว่าไอ้หนูนี้รู้ตัวเองดี ฉลาดเยือกเย็น ไม่หุนหันพลันแล่น เช่นนั้นเหตุใดมันถึงได้หัวร้อนมาท้าสู้กับข้าเล่า
? เจ้าประเมินมันสูงเกินไปแล้ว เหอะ
อย่างมันน่ะหรือจะได้รับความสนใจจากศิษย์พี่หญิงใหญ่”
คิ้วของฮ่าวเมิ่งขมวดมุ่นจนแทบติดกันและไม่พูดอะไรออกมา
เขามีคำพูดบางคำอยู่ในใจที่ไม่ได้พูดออกมา
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความคิด เพียงแค่ว่าเขาไม่รู้ว่าพูดไปแล้วอีกฝ่ายจะรับฟังหรือไม่
ฮ่าวเมิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านับตั้งแต่ที่ตัวตนของจี้เทียนซิงปรากฏขึ้นในชีวิตของพวกเขา
นิสัยใจคอและจิตใจของไป๋หวู่เชินก็ยิ่งแคบลงและกลายเป็นคนไร้เหตุผล
อย่างไรก็ตามเขาตระหนักดีถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ในตัวของไป๋หวู่เชิน
มันสืบเนื่องมาจากความหึงหวงริษยา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
หลังจากเงียบไปนานฮ่าวเมิ่งก็พูดด้วยเสียงเบาว่า
“ศิษย์พี่ไป๋ วันนี้ข้าไปหาศิษย์พี่หญิงใหญ่มา”
“อีกสามวันข้างหน้าจะมีงานประชุมสภาแปดนิกาย
ท่านประมุขไม่ไปแต่มอบหมายภาระนี้ให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่และจี้เทียนซิง”
“เจ้าว่าไงนะ !?”
ไป๋หวู่เชินตกใจจนมือที่ถือจอกชาไว้สั่นสะเทือน
สีหน้าของเขาหม่นหมองลงในทันที
ดวงตากระพริบด้วยแสงเย็นเยือก
“เป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
“สภาแปดนิกายเป็นการประชุมที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก
แม้แต่เจ้าและข้ารวมไปถึงศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆก็ยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วม ท่านประมุขปล่อยให้เจ้าเด็กเหลือขอจี้เทียนซิงไปได้อย่างไร
?”
ไป๋หวู่เชินโมโหจนหน้าเขียวคล้ำราวกับว่าไม่อาจทนรับข่าวนี้ได้
ฮ่าวเมิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ศิษย์พี่ไป๋
จนป่านนี้แล้วท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือไง ? เหตุผลที่ท่านประมุขดีต่อจี้เทียนซิงขนาดนั้นก็เพราะท่านไม่ได้มองว่ามันเป็นเพียงแค่ศิษย์สายตรงที่รับมาเพื่อตอบแทนที่มันสร้างคุณงามความดีให้นิกาย
แต่ท่านหมายมั่นจะฝึกฝนให้มันเป็นผู้สืบทอด !”
“แต่ตอนนี้ท่านกับจี้เทียนซิงดันมีเรื่องบาดหมางกันไปแล้ว
การประลองจัดอันดับขั้นสวรรค์ในเดือนหน้าต่อให้ท่านเอาชนะมันได้
ท่านคิดว่านี่คือชัยชนะจริงๆงั้นหรือ ?”
“ถึงแม้ท่านจะสะใจที่ได้จี้เทียนซิงมาเป็นข้ารับใช้
แต่ท่านก็ถือว่าหักหน้าท่านประมุข ! ดังนั้นผู้ชนะที่แท้จริงของเกมนี้ก็คือเฉินซู่และถังอี้ลั่วต่างหากเล่า
!”
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของฮ่าวเมิ่ง
สีหน้าของไป๋หวู่เชินก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ มือไม้ของเขาสั่นเทาเล็กน้อย
ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่โต๊ะหินและกระซิบกับตัวเองว่า
"ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ! ตราบใดที่ข้าเอาชนะจี้เทียนซิงได้ก็ถือว่าข้าพิสูจน์ตัวเองได้ว่าข้าดีกว่ามัน
ข้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์สายตรงมากกว่า !”
“ตำแหน่งประมุขนิกายเป็นของข้า
หยุนเหยาก็เป็นของข้า ข้าจะไม่มีทางแพ้ !”
เมื่อเห็นอาการนี้ของไป๋หวู่เชิน
ฮ่าวเมิ่งก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญาและยืนขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ไป๋ ท่านใจเย็นๆและไตร่ตรองดูให้ดี
เดินทางนี้มีแต่เสียกับเสีย”
“ข้ามีเรื่องต้องทำ ขอตัวก่อน”
ท้ายที่สุดฮ่าวเมิ่งก็ส่ายศีรษะเดินออกจากตำหนักไม่จีรัง
ไป๋หวู่เชินยังคงมีสีหน้าอัปลักษณ์และนั่งอยู่ที่จุดเดิมไม่ขยับไปไหนอีกเป็นเวลานาน
...........
สองวันผ่านไป
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาทั่วทั้งนิกายต่างก็เดือดพล่านไปด้วยคำประกาศท้าประลองระหว่างจี้เทียนซิงกับไป๋หวู่เชิน
ข่าวนี้แพร่สะพัดและถูกพูดถึงแทบจะทุกที่ภายในนิกาย
แม้แต่นิกายฝ่ายนอกก็ยังได้ยินข่าวนี้
และแน่นอนรวมไปถึงหอยุทธ์ทั้งสามของฝ่ายนอกเช่นกัน ทุกเรื่องทราบนี้กันหมด
ศิษย์ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นหลายคนล้วนแต่คุ้นเคยกับจี้เทียนซิงเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจบการประลองหลงซานและพิธีรับศิษย์สายตรงของประมุข ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหลายต่างก็ดีอกดีใจกันยกใหญ่
พวกเขาทั้งภูมิใจและชื่นชมจี้เทียนซิง แทบทุกคนมองดูเขาเป็นแบบอย่างที่ดี
ทันทีที่ได้ทราบข่าวว่าจี้เทียนซิงศิษย์ร่วมหอยุทธ์ประกาศท้าทายไป๋หวู่เชินศิษย์หัวกะทิอันดับสี่ในรายชื่อขั้นสวรรค์
พวกเขาก็ระเบิดการสนทนากันอย่างตื่นเต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างในหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ภายในนั้นมีแต่การจับกลุ่มสนทนากันและสวดภาวนาให้จี้เทียนซิงอย่างเงียบๆ
ทุกคนหวังว่าชายผู้นี้จะสามารถทะยานขึ้นไปได้อีกครั้ง !
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved