ตอนที่ 163

สุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทาง

ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ทั้งสองขวางทางจี้เทียนซิงและมองไปด้วยท่าทีหยอกเย้า

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและแสดงสีหน้าไม่แยแส

หลังจากเหลือบมองทั้งคู่วูบหนึ่งก็เดินผ่านไป

อย่างไรก็ตาม

ชายหนุ่มทั้งสองกลับตามราวีจากด้านซ้ายและขวาพลางยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“เฮ้ๆ

เจ้าหนูนี่เป็นศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์ใช่ไหม ?”

“โฮ่ เจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีฟ้า

มันสมควรเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายพันธมิตรสวรรค์”

“แหมๆ บังเอิญจริงๆที่ได้พบกับศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่นี่

!”

“เอ๋ ดูเจ้าหนูนี่สิ

มันแบกศิษย์สตรีมาด้วยแหะ.....  โอ้

แม่จ้าว สตรีผู้นี้งามหยดย้อยยิ่งนัก !  น่าเสียดายที่นางบาดเจ็บสาหัสแถมยังหมดสติ”

“ไอ้หนู เจ้านี่มันโชคดีนัก แสดงว่าที่รีบร้อนจากไปโดยมิทักทายสหายร่วมทางเช่นนี้...

เป็นไปได้ว่าเจ้ากำลังหิ้วสาวไปหาถ้ำเงียบๆเพื่อเชือดนางสินะ ?”

ชายหนุ่มเสื้อคลุมขาวทั้งสองคนผลัดเปลี่ยนกันหยอกเย้าข้างหูจี้เทียนซิงทั้งซ้ายและขวา  กิริยาท่าทางและการพูดจาของพวกมันทำให้จี้เทียนซิงรำคาญมาก

ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและคิดแค่เพียงรีบพาหยุนเหยากลับนิกายไปรักษาตัวโดยเร็วที่สุด

ทว่า

เมื่อได้ยินคำพูดยียวนกวนประสาทแถมยังถูกหยามเกียรติ เขาก็เริ่มหงุดหงิด

สีหน้าดำทะมึน

“ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร

แต่สุนัขที่ดีย่อมไม่ขวางทาง ไปเล่นที่อื่นไป หลีกทาง !”

เขาตะโกนอย่างกราดเกรี้ยวและรีบมุ่งหน้าต่อไป

ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวทั้งสองชะงักวูบ

ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธพลางตะโกนว่า “เหอะๆ ไอ้หนู เจ้านี่มันบ้าไปแล้วแน่ๆ กล้าตะคอกใส่พวกเรา !”

“เป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายพันธมิตรสวรรค์แต่กลับกล้าปากดีใส่พวกเราเช่นนี้

ดูเหมือนว่าคนของนิกายพันธมิตรสวรรค์จะยิ่งมายิ่งนิสัยเสียมากขึ้นทุกวัน

!”

ชายหนุ่มทั้งสองกล่าวเย้ยหยันพลางชักกระบี่ที่สะพายอยู่กลางหลังออกมาจ่อชี้ไปทางจี้เทียนซิง

“ไอ้หนู ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายสินะ

แม้แต่คนของนิกายกระบี่ฟ้าอย่างพวกข้าก็ยังไม่รู้จัก !”

“พวกเราคือศิษย์ฝ่ายในของนิกายกระบี่ฟ้า เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ด่าทอพวกเราเช่นนี้

?  หากวันนี้ข้าไม่สั่งสอนเจ้าเสียบ้าง

ผู้คนคงจะเอาไปพูดกันว่านิกายกระบี่ฟ้าของข้ากลัวนิกายพันธมิตรสวรรค์”

ชายหนุ่มเสื้อคลุมขาวทั้งสองคนเริ่มมีโทสะ

หลังจากเปิดเผยตัวตนแล้วพวกเขาก็ชักกระบี่ออกมาเตรียมจะลงมือต่อจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงสีหน้าซีดเซียว

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธกริ้วและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็น

“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งสองคิดหาเรื่องผู้คนจริงๆสินะ”

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้วางตัวเป็นศัตรูกับศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

อย่างไรก็ตาม

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีเจตนาดี พวกมันก่อกวนและพยายามหาเรื่องเขา  แน่นอนว่าจี้เทียนซิงย่อมไม่อยู่เฉยได้อีกต่อไป

เขาอุ้มหยุนเหยาที่หมดสติไปนอนบนพื้นหญ้า

จากนั้นก็หยิบกระบี่มังกรดำออกมาและหันหน้าไปหาศิษย์ของนิกายกระบี่ฟ้าทั้งสอง

เมื่อพวกมันได้เห็นปฏิกิริยาของจี้เทียนซิงก็แสยะยิ้มและกล่าวด้วยความรังเกียจว่า

“โอ้ ?  ศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์หยิ่งผยองเช่นนี้เหมือนกันหมดหรือไม่

? แม้กระทั่งศิษย์ฝ่ายนอกตัวเล็กๆก็ยังกล้าหันกระบี่ใส่พวกข้า”

“เจ้าหนู นิกายของเจ้าก็แค่มีชื่อเสียงเพราะก่อตั้งมานานกว่าพันปีเท่านั้น

อีกไม่นานชื่อเสียงของนิกายกระบี่ฟ้าจะเข้าไปแทนที่  วันนี้พวกข้าจะมอบบทเรียนให้เจ้าเอง

จงจำไว้ให้ดีว่าต่อไปนี้เมื่อเห็นคนของนิกายกระบี่ฟ้าเมื่อใดเจ้าต้องหลบทาง !”

เมื่อสิ้นเสียง

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองก็เหวี่ยงกระบี่ออกไปพร้อมกัน ก่อเกิดเป็นคลื่นกระบี่เย็นหลายสายที่มุ่งเข้าหาจี้เทียนซิง

เมื่อได้เห็นชายหนุ่มทั้งสองลงมือ

จี้เทียนซิงก็ตระหนักได้ทันทีว่าพวกมันมีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สามเท่านั้น

เขายกยิ้มมุมปากอย่างดูแคลนและเลื่อนมือแตะด้ามกระบี่มังกรดำ

“เช้ง !”

กระบี่มังกรดำโบกสะบัดออกไปกลายเป็นคลื่นกระบี่ยาวสามเมตร  บรรยากาศโดยรอบปะทุออกเป็นเกลียวคลื่นพลังกระบี่อันแหลมคมที่กวาดเข้าหาศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสอง

ในขณะที่คลื่นกระบี่สีขาวดุจหิมะส่องประกาย

มายามังกรน้ำแข็งที่เลือนลางผลันปรากฏตัวขึ้นและกางกรงเล็บอยู่บนท้องฟ้า

“ปัง  ปัง !”

หลังจากเสียงดังเกิดขึ้น

คลื่นกระบี่ของศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองคนก็ถูกบดขยี้ด้วยกระบี่มังกรดำทันที

พลังอันรุนแรงเกรี้ยวกราดของกระบี่มังกรดำก่อให้เกิดคลื่นกระบี่สีขาวดุจหิมะและภาพมายาของมังกรน้ำแข็งก็ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต้องหน้าถอดสีและก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

!

กระบี่มังกรดำจู่โจมอย่างรวดเร็วจนพวกมันไม่อาจตั้งตัวได้ทัน

มันสายเกินกว่าจะหลบหลีก

อึ่ก..........

อ๊ากกกก  !

เสียงกรีดร้องโหยหวนสองสายดังขึ้น

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองถูกทุบร่างด้วยคลื่นพลังกระบี่จนโลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนพงหญ้ารอบด้าน

พวกมันกลิ้งโคโร่ไปบนพื้นหญ้าหลายตลบก่อนที่จะหยุดและคุกเข่าบนพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว

โลหิตสีแดงฉาดไหลออกมาจากมุมปากท่วมเสื้อคลุมสีขาวสะอาดภายใต้แสงแดด   พวกมันทั้งสองก้มศีรษะมองไปที่ช่องท้องด้วยสีหน้าแตกตื่นและได้เห็นรอยบาดแผลลึกที่ช่องท้อง  โลหิตไหลซึมออกมาจากปากแผลไม่หยุด

เดิมทีทั้งสองสวมใส่สมบัติป้องกันระดับล้ำลึกที่แข็งแกร่งเอาไว้

แต่ทันทีที่โดนคลื่นกระบี่ของกระบี่มังกรดำเข้าไปก็ทำให้สมบัติป้องกันแทบจะหมดสภาพกลายเป็นขยะไร้ค่า

ผลลัพธ์ที่เห็นนี้ทำให้ทั้งสองต่างก็เต็มไปด้วยความสยดสยอง

พวกเขาจะทำใจเชื่อได้อย่างไรว่าศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายพันธมิตรสวรรค์จะมีพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้  เพียงกระบี่เดียวก็ทำให้พวกมันทั้งสองบาดเจ็บสาหัส

!

หากไม่มีสมบัติป้องกันระดับล้ำลึก

พวกมันคงถูกคลื่นกระบี่สายนั้นทุบจนร่างแหลกเป็นสองส่วนไปแล้ว

แซ่ก

แซ่ก แซ่ก ...

จี้เทียนซิงกระชับกระบี่มังกรดำและค่อยๆเดินไปข้างหน้าทีละก้าวบนพื้นหญ้าจนเกิดเสียงฝีเท้าแผ่วเบาขึ้น

สีหน้าของเขาดูเฉยเมยเย็นชาและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันจนทำให้ศิษย์ทั้งสองของนิกายกระบี่ฟ้าต้องก้าวถอยหลัง

พวกมันเผยให้เห็นสีหน้าที่หวาดกลัว

“สารเลวเอ้ย ! เจ้าคิดจะทำอะไร

? เจ้ากล้าสังหารพวกเรางั้นหรือ ?!”

“ไอ้หนู พวกเราเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่ฟ้า

หากเจ้ากล้าเล่นใหญ่ล่ะก็เรื่องไม่จบแค่นี้แน่

นิกายพันธมิตรสวรรค์ของเจ้าเตรียมรับโทสะของนิกายกระบี่ฟ้าได้เลย !”

เห็นได้ชัดว่าทั้งสองพ่ายแพ้และหวาดกลัวต่อจี้เทียนซิงจนสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้  ในใจเต็มไปด้วยความกลัว

นี่คือสันเขาที่ไร้ผู้คนสัญจร

หากจี้เทียนซิงคิดจะฆ่าพวกมันจริงๆก็ย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดจะทำเช่นนั้น

เขามองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนแข้งขาสั่นด้วยใบหน้าที่เย้ยหยันพลางกล่าวว่า

“เหอะ ข้าก็นึกว่าศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าจะแน่แค่ไหน

ที่แท้ก็มีดีแค่นี้”

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์ฝ่ายในสองคนร่วมมือกันก็ยังรับแม้แต่กระบี่เดียวของข้าไม่ได้

เห็นได้ชัดว่านิกายกระบี่ฟ้าของพวกเจ้านี่มันขยะชัดๆ !”

“สวะอย่างพวกเจ้ายังมีหน้าจะสั่งสอนข้า ?  เห็นสารรูปของตัวเองตอนนี้หรือยัง

?   เอาเถอะ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้มีชีวิตต่อไป

ขอขมาซะ !”

จี้เทียนซิงยืนถือกระบี่พลางจับจ้องทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าตัวสั่นเทาด้วยโทสะที่ถูกหยามเกียรติ

พวกมันต้องการสู้กลับ

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงเหวี่ยงกระบี่ออกไปอีกครั้งอย่างเรียบง่ายจนกระแทกทั้งสองบินออกไปอีกครั้ง

อาการบาดเจ็บยิ่งปะทุหนักขึ้นจนอาเจียนโลหิตออกมาไม่หยุด

“จะขอขมาหรือจะไปเฝ้ายมบาล !”

จี้เทียนซิงคำรามอย่างเย็นชา

ดวงตาเปล่งประกายอำมหิต

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองถูกเขาสยบโดยสมบูรณ์ พวกมันไม่รู้จักจี้เทียนซิงและไม่รู้นิสัยใจคอของอีกฝ่าย  แต่เพียงแค่ดูท่าทางของเขา

ทั้งสองก็ไม่สงสัยเลยว่าหากดื้อดึงต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองก็ยอมกล้ำกลืนความอัปยศอดสูและยอมจำนนต่อจี้เทียนซิง

“สะ  สหาย

พวกเรามีตาหามีแววไม่ พวกเราไม่ได้ตั้งใจ โปรดไว้ชีวิต !”

“อย่าได้ฆ่าพวกเราเลย ไว้ชีวิตด้วย !”

จี้เทียนซิงเห็นพวกมันทั้งสองยอมรับความอัปยศและคุกเข่าขอขมา

เขายิ่งกล่าวเหยียดหยามมากขึ้น “เหอะ ! พวกเจ้าทั้งสองนี่มันสวะจริงๆ กลัวตายจนต้องร้องขอความเมตตา !”

“ข้าอยากรู้นักว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ขี้ขลาดตาขาวอย่างพวกเจ้ายังมีหน้ามาอ้างตนว่าเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายกระบี่ฟ้าอีกงั้นหรือ

?  นิกายกระบี่ฟ้าตกต่ำจนต้องรับขยะอย่างพวกเจ้าเป็นศิษย์

??”

ศิษย์นิกายกระบี่ฟ้าทั้งสองแทบจะอาเจียนเป็นเลือดด้วยความโกรธแค้น

ใบหน้าเป็นสีม่วงคล้ำและร่างกายสั่นระริก

หากพวกเขาไม่ยอมคุกเข่าขอขมาก็ต้องทอดร่างเป็นศพด้วยน้ำมือจี้เทียนซิง

ถึงแม้ตอนนี้จะยอมขอโทษก็ยังถูกอีกฝ่ายเหยียดหยามอยู่ดี

พวกเขาเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ

หากรู้เช่นนี้คงไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ต้องอัปยศ !