ตอนที่ 3

ตอนที่

3 หลุมดำลึกลับในตันเถียน

ภายในห้องโถง

จี้ชางคงนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก

ด้านหลังผนังเป็นภาพวาดของมังกรวารีอันน่าเกรงขาม

เขามีอายุประมาณสี่สิบปี ร่างกายสูงเด่นเป็นสง่า

สีหน้าหนักแน่นมั่นคงอีกทั้งยังดูน่าเกรงขามไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ใบหน้าของเขาดูไม่ดีมาก ดวงตาของเขาหมองคล้ำเต็มไปด้วยความกังวลกลัดกลุ้ม

เห็นได้ชัดว่าในวันที่จี้เทียนซิงอยู่ในอาการสลบไสล เขาคงแทบมิได้พักผ่อน

ในขณะที่เขากำลังอ้อนวอนกับผู้เยาว์อย่างหลิงหยุนเฟย

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของจี้เทียนซิงจึงเงยหน้ามองไปที่ประตูห้องโถง

เมื่อเห็นว่าจี้เทียนซิงฟื้นแล้ว

ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มอันสดใสและตื่นเต้นยินดีออกมา  หินใหญ่ที่ถ่วงรั้งจิตใจของเขาได้หลุดออกไปแล้ว

“เทียนซิง

ในที่สุดลูกก็ฟื้น สวรรค์เมตตา !”

จี้เทียนซิงมิตอบคำบิดา

มันเดินเข้าไปในห้องโถงและมองไปที่หลิงหยุนเฟยด้วยสายตาที่เย็นชาจากนั้นก็เหลือบมองไปที่ผู้อาวุโสของตระกูลหลิงทั้งสองที่อยู่ด้านหลังนาง

เมื่อเห็นว่าจี้เทียนซิงฟื้นแล้ว

และค่อยๆเดินเข้ามา หลิงหยุนเฟยยังคงไม่แยแสและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จี้เทียนซิง

เจ้าฟื้นแล้วก็ดี วันนี้พวกเรามาแก้ปัญหากัน”

“เจ้ากลายขยะไร้ค่าที่ทุกคนต่างรับรู้กันดี

เจ้ามิต้องมาพัวพันอันใดกับข้าอีกต่อไป หากเจ้ายังรั้น

ข้าจะไม่สงสารเจ้าแม้แต่น้อย”

ดวงตาของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

มันแสยะยิ้มอย่างเย็นชาออกมาและกล่าว “หลิงหยุนเฟย ! ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า เจ้ามันนังงูพิษ !

เจ้าวางแผนทุกอย่างไว้ทั้งหมด !”

“ข้าไม่คิดเลยว่าข้ารักถนอมทั้งดูแลเจ้าด้วยหนึ่งใจหนึ่งจิตวิญญาณเป็นอย่างดี

แต่กลับสารเลวชั่วช้าวางแผนทำร้ายข้าเช่นนี้ !”

ท้ายที่สุดมันหันไปมองที่เก้าอี้หลักของสกุลจี้

มองไปที่จี้ชางคงและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านพ่อ ! หลิงหยุนเฟยเป็นคนชั่วช้าน่ารังเกียจ

ข้า จี้เทียนซิงขยะแขยงคนอย่างนางนัก !”

“นางคิดจะถอนสัญญาก็ปล่อยนางไป

! สกุลจี้ของข้ามิต้องการคนสารเลวเช่นนี้ !”

จี้ชางคงต้องการให้บุตรชายพูดดีๆกับหลิงหยุนเฟยเล็กน้อยเพื่อรักษาสถานภาพอันดีของทั้งสองตระกูลเอาไว้ชั่วคราว

แต่ไม่คาดว่าบุตรชายจะเห็นด้วยกับการถอนสัญญาหมั้นหมาย

ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว

เขาตะโกนออกมาว่า

“เทียนซิง ! เจ้า

.... เจ้าบ้าไปแล้วหรือ !?”

จี้เทียนซิงมิได้อธิบายเหตุผลอย่างละเอียดใดๆต่อบิดา  มันหันหลังกลับและหยิบหนังสือหมั้นหมายจากหลิงหยุนเฟยและกล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า

“หลิงหยุนเฟย ตระกูลจี้นำสัญญากลับคืนแล้ว จากนี้ไปเจ้ากับข้าไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป

!”

หลิงหยุนเฟยตกตะลึงที่คนสุภาพใจดีอย่างจี้เทียนซิงที่นางรู้จักกลับมีท่าทางดุดันเช่นนี้

ทั้งยังตัดสัมพันธ์กับนางในที่สาธารณะ ถึงแม้ว่านางจะโกรธแต่ก็คืนหนังสือหมั้นหมายให้อีกฝ่าย

นางหัวเราะและกล่าวว่า “ ดีมากจี้เทียนซิง ข้านับถือความเด็ดขาดของเจ้า  !”

จี้เทียนชิงไม่ต้องการมองหน้านางอีกแล้ว มันตะโกนอย่างเยือกเย็น

“เจ้าไสหัวกลับไปได้แล้ว !”

“หลิงหยุนเฟย

จงจำฝังจิตเจ้าไว้ว่า ความอับอายในวันนี้ ข้าจะตอบแทนเจ้ากลับไปนับสิบๆเท่า !”

“ฮึๆ  โถ…ช่างไร้เดียงสานัก !

คนพิการอย่างเจ้าจะไปทำอันใดได้”

หลิงหยุนเฟยแสยะยิ้มอย่างเย็นชา

นางไม่อยากจะเสียเวลาเล่นกับพิการอย่างจี้เทียนซิงอีกต่อไป  จากนั้นนางก็หันหลังกลับพร้อมกับอาวุโสตระกูลหลิงทั้งสองคน

หลังจากหลิงหยุนเฟยออกไปแล้ว จี้งางคงก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ

เขาตะโกนออกมาว่า “เทียนซิง เจ้าเลอะเลือนไปแล้ว !”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการถอนสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลใหญ่อย่างสกุลหลิงแล้วเจ้าจะออกไปพบหน้าผู้คนได้อย่างไร

!?  สกุลหลิงจะทำลายเจ้า !”

หัวใจของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง

แต่ดูผิวเผินนั้นเขาสงบนิ่งมาก

เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ท่านพ่อ ข้ามีสิทธิ์และความคิดเป็นของข้าเอง การหมั้นหมายจะต้องถูกยกเลิก!”

“ในเมื่อท่านพ่อโกรธ

งั้นข้าจะไปให้พ้นหน้าท่าน”

หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและออกจากห้องโถงไป

ใบหน้าบูดบึ้งของจี้ชางคงกลายเป็นสีม่วงคล้ำ

เขาอดไม่ได้ที่จะฟาดฝ่ามือลงไปที่โต๊ะตรงหน้าจนแหลกเป็นชิ้นๆ

......

หลิงหยุนเฟยออกมาจากตระกูลจี้และขึ้นรถม้าที่นอกประตูใหญ่  ในรถม้ามีบุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและดึงดูดสตรีเพศ  เมื่อเขาได้เห็นหลิงหยุนเฟยเข้ามา

เขาก็รั้งนางไว้ในอ้อมแขนและกระซิบแผ่วเบาว่า “เฟยเฟย ทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่ ?”

หลิงหยุนเฟยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่าย นางพยักหน้าแล้วพูดว่า

“ข้าแก้ไขทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าเด็กเหลือขอจี้เทียนซิงยังเห็นดีเห็นงามด้วย

มันตกลงอย่างง่ายดายยิ่ง”

“แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ

เจ้าเด็กเหลือขอจี้เทียนซิงกลายเป็นขยะไปแล้ว ทำไมองค์ชายน้อยถึงไม่สังหารมันเสีย

ปล่อยมันไว้ทำไม ?”

มุมปากของบุรุษหนุ่มโค้งขึ้น มันแสยะยิ้มและกระซิบว่า

“สกุลจี้เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลชนชั้นสูง อีกทั้งยังหยั่งรากลึกและมีอิทธิพลในเมืองจักรวรรดิอย่างมาก

หากจี้เทียนซิงถูกฆ่าตาย จี้ชางคงจะโกรธกริ้วและโมโหมาก

มันอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากและพัวพันกับข้าและสกุลหลิงของเจ้าภายหลัง”

หลิงหยุนเฟยเข้าใจในทันที นางพยักหน้าและกล่าวว่า

“ข้าเข้าใจแล้ว จะอย่างไรเสียจี้เทียนซิงก็กลายเป็นคนพิการ

หลังจากเรื่องนี้ซาลงพวกเราก็สามารถฆ่ามันได้ด้วยนิ้วเดียว”

......

หลังจากจี้เทียนซิงกลับมาที่ห้องมันก็บอกให้ฮวนเอ๋อออกจากห้องไปและปิดประตู

มันเผาหนังสือสัญญาหมั้นหมายและนั่งลงบนเตียงเพื่อตรวจสอบการบาดเจ็บและความแข็งแรงของตน

เขาพบว่าตนเองไร้ซึ่งแหล่งกำเนิดพลังแท้จริงในร่างอีกต่อไป

และยังมีอาการเจ็บปวดที่ฉีกขาดในตันเถียน

หลังจากพยายามโคจรพลังติดต่อกันหลายครั้ง

สีหน้าของเขาก็ซีดเซียวและเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นบนหน้าผาก

เขาต้องยอมรับความจริงตามที่ฮวนเอ๋อได้พูดไว้

ระดับพลังบ่มเพาะของเขาตกจากเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงเหลือเพียงขั้นปรับแต่งกายาเท่านั้น

!

ในใบโลกนี้ ระดับพลังของผู้ฝึกยุทธ์จะแบ่งเป็น

ปรับแต่งกายา, เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง, เขตแดนสัมพันธ์ลึกล้ำและเขตแดนแก่นแท้ต้นกำเนิด

ซึ่งแต่ละขั้นจะแบ่งเป็นเก้าระดับจากต่ำต่ำไปสูง

สำหรับขั้นที่เหนือกว่าเขตแดนแก่นแท้ต้นกำเนิดนั้น

กล่าวกันว่ายังมีเขตแดนกำเนิดสวรรค์ที่ผู้เชี่ยวชาญในระดับนี้จะสามารถบินได้  แต่นั่นก็เป็นเพียงตำนานเล่าขาน

เพราะในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้เชี่ยวชาญระดับต้นกำเนิดสวรรค์ปรากฏขึ้นในรัฐนภากระจ่างเลย...

จี้เทียนซิงก็เป็นเช่นเดียวกับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน

เขาต้องเริ่มต้นจากปรับแต่งกายาในขั้นแรก

ตั้งแต่อายุได้แปดขวบเขาก็ใช้วิธีการต่างๆมากมายเพื่อปรับแต่งกายาและฝึกฝนวิชายุทธ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา

เมื่อสามปีที่แล้วเขาตัดผ่านจากขั้นปรับแต่งกายาขั้นที่

9, เขาได้ดูดซับพลังงานสำคัญของฟ้าดินเข้าไปในตันเถียน

เพื่อก่อให้เกิดการโคจรหมุนเวียนของพลังลมปราณแท้จริงจนทะลวงเข้าสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

อีกสามปีต่อมา

พลังของเขาพุ่งพรวดพราดและสำเร็จในการตัดผ่านไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 7 !

ในอายุสิบเจ็ดปีเขาก็มีความแข็งแกร่งในระดับเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่

7 และได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองจักรวรรดิ !

นอกจากนี้เขายังได้ปลุกสายเลือดลมปราณกระบี่ของบรรพบุรุษตระกูลจี้และอนาคตของเขาก็จะไร้ซึ่งขีดจำกัด มันเป็นสัญญาณของผู้ที่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงในอนาคต

!

...... แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็จบสิ้น

ระดับพลังของเขาตกลงจากต้นกำเนิดแท้จริงสู่ปรับแต่งกายาขั้นที่สามเท่านั้น

!

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากพิจารณาความผิดพลาดของเขาแล้วยังพบว่าสายเลือดลมปราณกระบี่ก็สูญเสียไปเช่นเดียวกัน

จากข้อเท็จจริงตามที่หลิงหยุนเฟยกล่าว ลูกปัดครองวิญญาณไม่เพียงแค่ชิงพลังของเขาไปเท่านั้น

แต่ยังแย่งชิงสายเลือดลมปราณกระบี่อันล้ำค่าไปอีกด้วย !

สายเลือดลมปราณกระบี่คือสิ่งที่ทำให้เขาไว้วางใจที่สุด

ด้วยสายเลือดนี้เขาจะเป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์และสามารถกลับไปที่จุดสูงสุดได้ไม่ช้าก็เร็ว

แต่ตอนนี้สายเลือดลมปราณกระบี่ได้หายไปแล้ว ความหวังของเขาที่จะกลับมาฟื้นฟูพลังได้อีกครั้งก็แตกสลาย

!

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชังจนสุดขั้วหัวใจ

เขามิอาจอดทนรอที่จะสับสังหารหลิงหยุนเฟยได้อีกต่อไป  หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและไม่ยินยอม  เขาพึมพำกับตนเองว่า

“สายเลือดลมปราณกระบี่ของข้าหายไปแล้ว

ข้าคงมิใช่อัจฉริยะอีกต่อไป แต่... ประสบการณ์ในการฝึกปรือในช่วงหลายปีที่ผ่านของข้ายังคงอยู่

... ”

“ข้าต้องบ่มเพาะอีกครั้งและกลับไปสู่เขตแดนต้นกำเนิดจริงได้แน่

!”

คิดได้ดังนั้นเขาจึงวางมือบนหัวเข่าและโคจรวิชาลมปราณใบไม้ทองคำ

แต่ทว่า... เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังงานของสวรรค์ได้เลย

และรู้สึกเจ็บปวดที่ท้องน้อยที่จุดตันเถียนอีกด้วย !

จี้เทียนซิงทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงครวญครางและศีรษะของเขาก็รู้สึกวิงเวียน

เขาหลับตาลงและมีภาพปรากฏขึ้นในใจราวกับว่ามันเป็นภาพของตันเถียนภายในร่างกายของเขา

เขาได้เห็นว่าตันเถียนของเขาหายไปหลงเหลือแต่เพียงหลุมดำที่มีขนาดเท่ากับท้องเท่านั้น

!

“ตันเถียนของข้า

!  มัน....

หายไปแล้วงั้นหรือ !!?”

จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันทีและหัวใจก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ตันเถียนเป็นจุดที่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนกักเก็บลมปราณต้นกำเนิดเอาไว้

มันเป็นพื้นฐานและเสาหลักของการฝึกฝนวิทยายุทธ์

หากตันเถียนของผู้ฝึกยุทธ์ถูกทำลาย คนผู้นั้นจะไม่สามารถก้าวเข้าสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงได้ชั่วชีวิต

และคนผู้นั้นจะรั้งได้อยู่เพียงขั้นปรับแต่งกายาที่อ่อนแอไปชั่วชีวิต

ส่วนในกรณีของเขานั้นถือว่าโชคร้ายยิ่งกว่านั้นเพราะตันเถียนทั้งหมดหายไปและกลายเป็นหลุมดำเท่านั้น

!

ในช่วงเวลานี้จี้เทียนซิงรู้สึกเสียใจอย่างที่สุด

แต่ทว่า ในเวลาเดียวกันนี้หลุมดำที่จุดตันเถียนของเขาก็ระเบิดออกกลายเป็นพลังการกลืนกินที่ทรงอานุภาพยิ่งและดูดกลืนจิตวิญญาณของเขาเข้าไปในนั้นด้วย

จี้เทียนซิงล้มลงหมดสติไป

ร่างกายของเขาฟุบลงอย่างนุ่มนวลบนเตียงและไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

แต่จิตวิญญาณภายในจิตใจของเขายังคงตื่นอยู่และวิ่งผ่านเข้าไปในหลุมดำที่จุดตันเถียน

และมาถึงพื้นที่ลี้ลับที่ดำมืด

..............

นี่เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล พื้นดินมิได้มีเพียงใบหญ้าที่งอกเงยขึ้น

มันทั้งเย็นและแข็งและเต็มไปด้วยก้อนหินผุกร่อนที่ปริแตกมากมาย

ท้องฟ้าเป็นสีเทาเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่เย็นยะเยือกและหดหู่มาก

อากาศโดยรอบล่องลอยไปด้วยหมอกควันและมีห่วงที่อยู่ลึกไปสุดทางซึ่งทำให้เขามิอาจมองเห็นได้ชัดเจนนัก

จิตวิญญาณของจี้เทียนซิงนั้นราวกับเทียนไขที่กะพริบในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอกควันและค่อยๆลอยไปข้างหน้า

“สถานที่นี้คือ.....ที่ใดกัน

?”

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความสงสัยและตกใจ

เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสอดส่องไปรอบๆ

ทันใดนั้นเขาก็เห็นพื้นที่ที่ดูทุรกันดารในระยะสุดสายตา

มันเป็นเงาที่ใหญ่โตมโหฬารราวกับขุนเขา

เขาเร่งความเร็วมากขึ้นและเข้าใกล้เงาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขามาถึงจุดนั้นก็พบว่ามันไม่ใช่ขุนเขาอันใด

แต่เป็นศิลาจารึกที่ใหญ่โตสุดลูกหูลูกตา !

ศิลาจารึกนี้เป็นสีดำและดูราวกับกระบี่ยักษ์ที่ตั้งตะหง่านระหว่างสวรรค์และปฐพี

!