ตอนที่ 363 นี่มันใช่เวลาไหม ?

หยุนเหยาก้มศีรษะเล็กน้อย

จ้องไปที่ตัวอักษรแถวเล็กๆที่มุมซ้ายล่างของศิลาหินอีกครั้ง

หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็จดจำตัวอักษรโบราณเหล่านั้นได้และพึมพำว่า

“จากศิษย์อกตัญญูเย่หวง"

"หากเป็นไปตามที่เขียนไว้

สุสานโบราณแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเย่เพื่อเป็นการรำลึกถึงเทพกระบี่"

นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

ความสงสัยในดวงตาของนางยิ่งกลายเป็นรุนแรงขึ้น

"ศิษย์น้องเทียนซิง ข้ารู้สึกแปลกๆต่อสุสานนี้

บางทีอาจมีปัญหาไม่น้อย"

จี้เทียนซิงหันไปมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบพลางถามว่า

“ศิษย์พี่โปรดอธิบายให้กระจ่าง"

หยุนเหยามองไปที่เขาด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ

และบุ้ยปากถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า “เทียนซิง

มิใช่ว่าเจ้าสมควรรู้เรื่องสุสานโบราณและเทพกระบี่มากกว่าข้าหรอกหรือ ?”

สีหน้าของจี้เทียนซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความประหลาดใจแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา

คนส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่า  "ศิษย์พี่ก็พูดไป

ข้าจะไปรู้เรื่องในอดีตและตำนานเมื่อพันปีก่อนได้อย่างไรเล่า“

“ฮึ ! กะล่อนนักนะจี้เทียนซิง” หยุนเหยาขยี้เท้าและหรี่ตาลงในขณะที่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขุ่นเคืองแง่งอน

“แค่กๆ....”

จี้เทียนซิงสำลักเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์และการแสดงออกที่แปลกตาของนาง

หัวใจของเขาราวกับเต้นผิดจังหวะ

เขาไม่เคยคิดเลยว่าเทพธิดาที่มักจะวางสีหน้าเย่อหยิ่งเย็นชาจะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมและเป็นธรรมชาติต่อหน้าเขา  นางในตอนนี้ราวกับเป็นเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง

ต่อให้จิตใจของเขาสงบเยือกเย็นเพียงใดก็ยากที่จะสงบสติอารมณ์ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านได้...

ท้ายที่สุดแล้วด้วยความเฉลียวฉลาดของเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าอาการนี้ของนางหมายความว่าอย่างไร

หลังจากอึ้งกับท่าทางของนางอยู่นาน

จี้เทียนซิงรั้งสติกลับมาและอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะๆ ศิษย์พี่ของข้า

หูตาของท่านช่างกว้างไกลและมองผู้คนได้ทะลุยิ่งนัก ข้าปิดบังท่านไม่ได้เลย"

"ข้ายอมว่านับตั้งแต่ที่พบสุสานแห่งนี้ข้าก็ได้ศึกษาข่ายปราณและค้นคว้าตำนานของเทพกระบี่มาก่อนแล้ว"

"ข้ากำลังตามหาสมบัติตกทอดของเทพกระบี่

มันสำคัญกับข้ามากอีกทั้งพวกปีศาจก็ตามหามันเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าเสียเวลา"

เมื่อได้ยินคำพูดยอมรับของเขา ดวงตาคู่งามกระจ่างใสของหยุนเหยาก็แสดงออกถึงความอ่อนโยนและกล่าวอย่างจริงจังว่า

“เทียนซิง

ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าสอนวิธีการทำลายข่ายปราณให้ข้า

ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไว้วางใจในตัวข้าแค่ไหน  ขอบคุณเจ้าที่เชื่อใจข้า”

"ข้าจะช่วยเจ้าตามหาของสิ่งนั้น

และเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ข้าไว้ใจที่สุดเช่นเดียวกัน”

ในขณะนี้เองแววตาของทั้งคู่เปล่งประกายด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยนและจริงใจ

มันคือความรู้สึกเชื่อมั่นเชื่อใจที่มีต่อกัน

ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงออกด้วยท่าทาง  ไร้ซึ่งคำพูดคำจามากมาย แต่ทั้งสองต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกันอยู่ในใจ

บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเงียบลง โลกหล้าคล้ายมีเพียงพวกเขาแค่สองคน

ในขณะนั้นเองเสียงร้องเรียกขัดจังหวะของชูไฮว่ซานก็ดังลอดออกมาจากนอกข่ายปราณ

"เทียนซิง   หยุนเหยา !  พวกเจ้าเงียบไปเป็นอะไรหรือไม่

?  หากสุ่มเสี่ยงอันตรายก็จงล่าถอยออกมาโดยพลัน

อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงนัก !”

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาสะดุ้งในทันที

ทั้งสองผละจากกันอย่างรวดเร็วและแสร้งทำเป็นสำรวจสุสานต่อไป

แต่จี้เทียนซิงได้เหลือบไปเห็นติ่งหูใสราวกับคริสตัลของนาง

มันกลายเป็นสีแดงก่ำจากความเขินอาย เขาลอบขำในใจและส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม

เขาโบกมือไปให้ชูไฮว่ซานอย่างรวดเร็วและตะโกนตอบว่า

“อาวุโสชู

ไม่ต้องห่วงพวกเรา พวกเราดูแลตัวเองได้ขอรับ !"

ที่ทางเข้าของข่ายปราณ ผู้ดูแลหลายคนหันไปสบตากันด้วยรอยยิ้มและกระซิบกระซาบกัน

"อาวุโสชู

ท่านนี่แก่ไม่พอยังใจร้ายอีกนะ !”

"ใช่ๆ  หนุ่มสาวเขากำลังอยู่ในห้วงอารมณ์หวาน

จ้องตาสื่อความหมายแทนใจกัน แต่ท่านกลับไปแผดเสียงซะดังขัดจังหวะจนพวกเขาสะดุ้ง

ระวังพวกเขาจะเกลียดท่านเข้าซะล่ะ !"

"เทียนซิงและหยุนเหยาเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

พวกมันราวกับเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสร้างขึ้นมาเพื่อนิกายเรา"

"ตาแก่อย่างพวกเราเห็นชัดเต็มสองตา

มองไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน มีเพียงเทียนซิงเท่านั้นที่คู่ควรกับหยุนเหยา  แต่ตาเฒ่าชูกลับทำลายบรรยากาศเกี้ยวพาราสีของพวกมันซะได้

!”

ผู้อาวุโสและผู้ดูแลหลายคนต่างซุบซิบก้นด่าชูไฮว่ซานไม่หยุด

จนทำให้ใบหน้าแก่ชราของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเล็กน้อย

มันหันหลังกลับไปและจ้องมองเหล่าผู้ดูแลทั้งหลายพลางตะโกนด้วยความโกรธว่า

“พวกเจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าเสียงดังขัดจังหวะพวกมันอีกหรือ

?

"เบิกตาดูซะก่อนว่าเราอยู่ในสถานที่แบบไหน

? สุสานโบราณพันปี

!  เทียนซิงและหยุนเหยาเข้าไปยืนอยู่หน้าสุสานแบบนี้มันสมควรจะพรอดรักนักหรือไงเล่า

?”

“นอกจากนี้สุสานแห่งนี้อันตรายเพียงใดพวกท่านย่อมทราบแก่ใจ

หากพวกมันเลินเล่อจนเสียสมาธิและเกิดอะไรขึ้นมา

พวกเราจะไปอธิบายกับท่านประมุขยังไง ?”

เหล่าผู้ดูแลล้วนเงียบกริบลอบแค่นเสียงก้นด่าในใจ

บ้างก็ก้มหน้าลงราวกับมองมดบนพื้น บ้างก็แหงนหน้าขึ้นฟ้ามองดูดวงดาวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ชูไฮว่ซานถลึงตามองพวกมันอีกครั้ง

จากนั้นก็หันกลับไปมองลึกเข้าไปในสุสาน

สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวจี้เทียนซิงและหยุนเหยากลัวว่าทั้งสองจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เหลียวซ้ายแลขวาสำรวจรอบๆสุสาน

แต่พวกเขาก็ยังไม่พบเบาะแสสำคัญใดๆ

ทั้งสองเดินลงจากแท่นสูงแล้วเดินลึกเข้าไปในสุสาน

ด้านหลังป้ายศิลาหินของสุสานเป็นส่วนรอบๆสุสานที่มีลักษณะเป็นทางเดินโค้ง

ส่วนทางเดินสุสานมีความยาวหลายร้อยเมตรและมีขนาดใหญ่เท่ากับตำหนักหลังหนึ่ง

มันเป็นทางเดินโค้งรูปครึ่งวงกลม ทั่วทั้งพื้นดินทำจากหินสีดำ

ทั้งสองเดินไปตามทางเดินกว้างพลางกระซิบกันว่า

“ศิษย์พี่

ก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่าสุสานเทพกระบี่แห่งนี้มีปัญหา  ท่านหมายถึงอะไรหรือ ?”

จี้เทียนซิงเคยถามจางเทียนมาก่อนหน้านี้

แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าที่นี่มิใช่สุสานเทพกระบี่ที่แท้จริง

แต่ทันทีที่ได้ยินหยุนเหยาเอ่ยปากว่าสุสานแห่งนี้ผิดปกติ

มันทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยจึงถามนางว่ามันคืออะไร

หยุนเหยาอธิบายอย่างเยือกเย็นว่า “เทพกระบี่คือสุดยอดฝีมือเหนือหล้าที่หายตัวไปเมื่อพันกว่าปีก่อน  ร่ำลือกันว่าเขาได้ออกจากทวีปลมปราณฟ้า

มุ่งหน้าสู่โลกอันกว้างใหญ่เพื่อตามหาจุดสูงสุดของมรรคายุทธ์ แต่ก็ยังมีข่าวลืออีกว่าเขาประสบหายนะจนร่วงหล่นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน"

"อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลลัพธ์ในบั้นปลายชีวิตของเทพกระบี่จะเป็นเช่นไร

สุสานของเขาก็ไม่ควรจะปรากฏที่นี่”

"ดินแดนดาราบรรพกาลและอาณาจักรเทียนเฉินที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นแม้จะดูกว้างใหญ่แต่มันก็เป็นแค่เศษฝุ่นหากนำมาเทียบกับทวีปลมปราณฟ้าหรือแม้แต่ดินแดนส่วนกลาง

มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่สุสานจะอยู่ที่นี่”

จี้เทียนซิงรับฟังคำอธิบายของนางอย่างตั้งอกตั้งใจและพยักหน้าตอบว่า

“ถูกต้องแล้วศิษย์พี่

ท่านกล่าวได้มีเหตุผล"

หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็ถามนางต่อไปว่า

"ท่านเคยได้ยินนามของจักรพรรดิเย่หรือไม่

? เขาคือผู้สร้างสุสานแห่งนี้"

"จักรพรรดิเย่ ?” หยุนเหยายกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและส่ายหัวตอบว่า  "ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"

จี้เทียนซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า

“เป็นตัวตนในตำนานผู้หนึ่งเมื่อพันปีก่อน  เอาล่ะพวกเราไปสำรวจสุสานข้างหน้ากันต่อเถอะ"

เขากับหยุนเหยาเดินไปตามทางเดินสุสานที่กว้างใหญ่ราวกับวัง

สายตาสอดส่องไปรอบๆอย่างถี่ถ้วน

เบื้องหน้าคือสุสานที่เป็นเหมือนชามสีดำขนาดใหญ่ที่คว่ำลงคล้ายโดม   ไม่มีประตูทางเข้าหรือทางเดินอื่นใด

ก้อนหินสีดำแต่ละก้อนเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนาโดยไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อยนิด

เมื่อมองผ่านๆครั้งแรก ทั่วทั้งสุสานตรงหน้าเป็นเหมือนชิ้นส่วนโดมที่สมบูรณ์แบบหลังหนึ่ง

ไม่มีทางเข้าอื่นใดยกเว้นการทุบทำลายหรือตัดผ่านก้อนหิน

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ตอนที่จักรพรรดิเย่สร้างสุสานแห่งนี้เพื่อเทพกระบี่

มันไม่มีทั้งทางเข้าหรือทางออก พวกเราคงทำได้เพียงต้องหาวิธีกันเอง”

หยุนเหยาพยักหน้าและหยิบยันต์สองแผ่นออกมาจากแหวนมิติและกล่าวว่า

"นี่คือยันต์ทลายปฐพี เจ้าลองใช้ดู

อาจจะได้ผล"