หยุนเหยาก้มศีรษะเล็กน้อย
จ้องไปที่ตัวอักษรแถวเล็กๆที่มุมซ้ายล่างของศิลาหินอีกครั้ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็จดจำตัวอักษรโบราณเหล่านั้นได้และพึมพำว่า
“จากศิษย์อกตัญญูเย่หวง"
"หากเป็นไปตามที่เขียนไว้
สุสานโบราณแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิเย่เพื่อเป็นการรำลึกถึงเทพกระบี่"
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ความสงสัยในดวงตาของนางยิ่งกลายเป็นรุนแรงขึ้น
"ศิษย์น้องเทียนซิง ข้ารู้สึกแปลกๆต่อสุสานนี้
บางทีอาจมีปัญหาไม่น้อย"
จี้เทียนซิงหันไปมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบพลางถามว่า
“ศิษย์พี่โปรดอธิบายให้กระจ่าง"
หยุนเหยามองไปที่เขาด้วยสีหน้าท่าทางแปลกๆ
และบุ้ยปากถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า “เทียนซิง
มิใช่ว่าเจ้าสมควรรู้เรื่องสุสานโบราณและเทพกระบี่มากกว่าข้าหรอกหรือ ?”
สีหน้าของจี้เทียนซิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความประหลาดใจแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา
คนส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่า "ศิษย์พี่ก็พูดไป
ข้าจะไปรู้เรื่องในอดีตและตำนานเมื่อพันปีก่อนได้อย่างไรเล่า“
“ฮึ ! กะล่อนนักนะจี้เทียนซิง” หยุนเหยาขยี้เท้าและหรี่ตาลงในขณะที่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าขุ่นเคืองแง่งอน
“แค่กๆ....”
จี้เทียนซิงสำลักเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์และการแสดงออกที่แปลกตาของนาง
หัวใจของเขาราวกับเต้นผิดจังหวะ
เขาไม่เคยคิดเลยว่าเทพธิดาที่มักจะวางสีหน้าเย่อหยิ่งเย็นชาจะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมและเป็นธรรมชาติต่อหน้าเขา นางในตอนนี้ราวกับเป็นเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง
ต่อให้จิตใจของเขาสงบเยือกเย็นเพียงใดก็ยากที่จะสงบสติอารมณ์ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านได้...
ท้ายที่สุดแล้วด้วยความเฉลียวฉลาดของเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าอาการนี้ของนางหมายความว่าอย่างไร
หลังจากอึ้งกับท่าทางของนางอยู่นาน
จี้เทียนซิงรั้งสติกลับมาและอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะๆ ศิษย์พี่ของข้า
หูตาของท่านช่างกว้างไกลและมองผู้คนได้ทะลุยิ่งนัก ข้าปิดบังท่านไม่ได้เลย"
"ข้ายอมว่านับตั้งแต่ที่พบสุสานแห่งนี้ข้าก็ได้ศึกษาข่ายปราณและค้นคว้าตำนานของเทพกระบี่มาก่อนแล้ว"
"ข้ากำลังตามหาสมบัติตกทอดของเทพกระบี่
มันสำคัญกับข้ามากอีกทั้งพวกปีศาจก็ตามหามันเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าเสียเวลา"
เมื่อได้ยินคำพูดยอมรับของเขา ดวงตาคู่งามกระจ่างใสของหยุนเหยาก็แสดงออกถึงความอ่อนโยนและกล่าวอย่างจริงจังว่า
“เทียนซิง
ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าสอนวิธีการทำลายข่ายปราณให้ข้า
ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไว้วางใจในตัวข้าแค่ไหน ขอบคุณเจ้าที่เชื่อใจข้า”
"ข้าจะช่วยเจ้าตามหาของสิ่งนั้น
และเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ข้าไว้ใจที่สุดเช่นเดียวกัน”
ในขณะนี้เองแววตาของทั้งคู่เปล่งประกายด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยนและจริงใจ
มันคือความรู้สึกเชื่อมั่นเชื่อใจที่มีต่อกัน
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงออกด้วยท่าทาง ไร้ซึ่งคำพูดคำจามากมาย แต่ทั้งสองต่างก็รับรู้ถึงความรู้สึกของกันและกันอยู่ในใจ
บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเงียบลง โลกหล้าคล้ายมีเพียงพวกเขาแค่สองคน
ในขณะนั้นเองเสียงร้องเรียกขัดจังหวะของชูไฮว่ซานก็ดังลอดออกมาจากนอกข่ายปราณ
"เทียนซิง หยุนเหยา ! พวกเจ้าเงียบไปเป็นอะไรหรือไม่
? หากสุ่มเสี่ยงอันตรายก็จงล่าถอยออกมาโดยพลัน
อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงนัก !”
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาสะดุ้งในทันที
ทั้งสองผละจากกันอย่างรวดเร็วและแสร้งทำเป็นสำรวจสุสานต่อไป
แต่จี้เทียนซิงได้เหลือบไปเห็นติ่งหูใสราวกับคริสตัลของนาง
มันกลายเป็นสีแดงก่ำจากความเขินอาย เขาลอบขำในใจและส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม
เขาโบกมือไปให้ชูไฮว่ซานอย่างรวดเร็วและตะโกนตอบว่า
“อาวุโสชู
ไม่ต้องห่วงพวกเรา พวกเราดูแลตัวเองได้ขอรับ !"
ที่ทางเข้าของข่ายปราณ ผู้ดูแลหลายคนหันไปสบตากันด้วยรอยยิ้มและกระซิบกระซาบกัน
"อาวุโสชู
ท่านนี่แก่ไม่พอยังใจร้ายอีกนะ !”
"ใช่ๆ หนุ่มสาวเขากำลังอยู่ในห้วงอารมณ์หวาน
จ้องตาสื่อความหมายแทนใจกัน แต่ท่านกลับไปแผดเสียงซะดังขัดจังหวะจนพวกเขาสะดุ้ง
ระวังพวกเขาจะเกลียดท่านเข้าซะล่ะ !"
"เทียนซิงและหยุนเหยาเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
พวกมันราวกับเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสร้างขึ้นมาเพื่อนิกายเรา"
"ตาแก่อย่างพวกเราเห็นชัดเต็มสองตา
มองไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน มีเพียงเทียนซิงเท่านั้นที่คู่ควรกับหยุนเหยา แต่ตาเฒ่าชูกลับทำลายบรรยากาศเกี้ยวพาราสีของพวกมันซะได้
!”
ผู้อาวุโสและผู้ดูแลหลายคนต่างซุบซิบก้นด่าชูไฮว่ซานไม่หยุด
จนทำให้ใบหน้าแก่ชราของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเล็กน้อย
มันหันหลังกลับไปและจ้องมองเหล่าผู้ดูแลทั้งหลายพลางตะโกนด้วยความโกรธว่า
“พวกเจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าเสียงดังขัดจังหวะพวกมันอีกหรือ
?
"เบิกตาดูซะก่อนว่าเราอยู่ในสถานที่แบบไหน
? สุสานโบราณพันปี
! เทียนซิงและหยุนเหยาเข้าไปยืนอยู่หน้าสุสานแบบนี้มันสมควรจะพรอดรักนักหรือไงเล่า
?”
“นอกจากนี้สุสานแห่งนี้อันตรายเพียงใดพวกท่านย่อมทราบแก่ใจ
หากพวกมันเลินเล่อจนเสียสมาธิและเกิดอะไรขึ้นมา
พวกเราจะไปอธิบายกับท่านประมุขยังไง ?”
เหล่าผู้ดูแลล้วนเงียบกริบลอบแค่นเสียงก้นด่าในใจ
บ้างก็ก้มหน้าลงราวกับมองมดบนพื้น บ้างก็แหงนหน้าขึ้นฟ้ามองดูดวงดาวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ชูไฮว่ซานถลึงตามองพวกมันอีกครั้ง
จากนั้นก็หันกลับไปมองลึกเข้าไปในสุสาน
สายตาจับจ้องอยู่ที่ตัวจี้เทียนซิงและหยุนเหยากลัวว่าทั้งสองจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
ในเวลานี้เองจี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เหลียวซ้ายแลขวาสำรวจรอบๆสุสาน
แต่พวกเขาก็ยังไม่พบเบาะแสสำคัญใดๆ
ทั้งสองเดินลงจากแท่นสูงแล้วเดินลึกเข้าไปในสุสาน
ด้านหลังป้ายศิลาหินของสุสานเป็นส่วนรอบๆสุสานที่มีลักษณะเป็นทางเดินโค้ง
ส่วนทางเดินสุสานมีความยาวหลายร้อยเมตรและมีขนาดใหญ่เท่ากับตำหนักหลังหนึ่ง
มันเป็นทางเดินโค้งรูปครึ่งวงกลม ทั่วทั้งพื้นดินทำจากหินสีดำ
ทั้งสองเดินไปตามทางเดินกว้างพลางกระซิบกันว่า
“ศิษย์พี่
ก่อนหน้านี้ท่านกล่าวว่าสุสานเทพกระบี่แห่งนี้มีปัญหา ท่านหมายถึงอะไรหรือ ?”
จี้เทียนซิงเคยถามจางเทียนมาก่อนหน้านี้
แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าที่นี่มิใช่สุสานเทพกระบี่ที่แท้จริง
แต่ทันทีที่ได้ยินหยุนเหยาเอ่ยปากว่าสุสานแห่งนี้ผิดปกติ
มันทำให้เขาอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยจึงถามนางว่ามันคืออะไร
หยุนเหยาอธิบายอย่างเยือกเย็นว่า “เทพกระบี่คือสุดยอดฝีมือเหนือหล้าที่หายตัวไปเมื่อพันกว่าปีก่อน ร่ำลือกันว่าเขาได้ออกจากทวีปลมปราณฟ้า
มุ่งหน้าสู่โลกอันกว้างใหญ่เพื่อตามหาจุดสูงสุดของมรรคายุทธ์ แต่ก็ยังมีข่าวลืออีกว่าเขาประสบหายนะจนร่วงหล่นเมื่อหนึ่งพันปีก่อน"
"อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลลัพธ์ในบั้นปลายชีวิตของเทพกระบี่จะเป็นเช่นไร
สุสานของเขาก็ไม่ควรจะปรากฏที่นี่”
"ดินแดนดาราบรรพกาลและอาณาจักรเทียนเฉินที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นแม้จะดูกว้างใหญ่แต่มันก็เป็นแค่เศษฝุ่นหากนำมาเทียบกับทวีปลมปราณฟ้าหรือแม้แต่ดินแดนส่วนกลาง
มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่สุสานจะอยู่ที่นี่”
จี้เทียนซิงรับฟังคำอธิบายของนางอย่างตั้งอกตั้งใจและพยักหน้าตอบว่า
“ถูกต้องแล้วศิษย์พี่
ท่านกล่าวได้มีเหตุผล"
หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็ถามนางต่อไปว่า
"ท่านเคยได้ยินนามของจักรพรรดิเย่หรือไม่
? เขาคือผู้สร้างสุสานแห่งนี้"
"จักรพรรดิเย่ ?” หยุนเหยายกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและส่ายหัวตอบว่า "ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"
จี้เทียนซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เป็นตัวตนในตำนานผู้หนึ่งเมื่อพันปีก่อน เอาล่ะพวกเราไปสำรวจสุสานข้างหน้ากันต่อเถอะ"
เขากับหยุนเหยาเดินไปตามทางเดินสุสานที่กว้างใหญ่ราวกับวัง
สายตาสอดส่องไปรอบๆอย่างถี่ถ้วน
เบื้องหน้าคือสุสานที่เป็นเหมือนชามสีดำขนาดใหญ่ที่คว่ำลงคล้ายโดม ไม่มีประตูทางเข้าหรือทางเดินอื่นใด
ก้อนหินสีดำแต่ละก้อนเชื่อมต่อกันอย่างแน่นหนาโดยไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อยนิด
เมื่อมองผ่านๆครั้งแรก ทั่วทั้งสุสานตรงหน้าเป็นเหมือนชิ้นส่วนโดมที่สมบูรณ์แบบหลังหนึ่ง
ไม่มีทางเข้าอื่นใดยกเว้นการทุบทำลายหรือตัดผ่านก้อนหิน
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ตอนที่จักรพรรดิเย่สร้างสุสานแห่งนี้เพื่อเทพกระบี่
มันไม่มีทั้งทางเข้าหรือทางออก พวกเราคงทำได้เพียงต้องหาวิธีกันเอง”
หยุนเหยาพยักหน้าและหยิบยันต์สองแผ่นออกมาจากแหวนมิติและกล่าวว่า
"นี่คือยันต์ทลายปฐพี เจ้าลองใช้ดู
อาจจะได้ผล"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved