ตอนที่ 118

ความลับแห่งสหัสวรรษ, มารไร้พ่าย !

ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์มียอดเขาสูงลูกหนึ่งนามว่ายอดเขาเมฆาสีชาด

ยอดเขานี้ตั้งอยู่ในกลุ่มยอดเขาสูงทั้งเก้าของนิกายและยังเป็นใจกลางของมหาข่ายอาคมอีกด้วย

บนยอดเขามีตำหนักอันโอ่อ่าตั้งอยู่

มันเรียกว่าตำหนักฉิงเทียน

ในเวลานี้ตำหนักฉิงเทียนว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คนและมีเพียงชายในชุดคลุมสีทองผู้เดียวที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ประมุข

บุคคลผู้นี้มีร่างกายที่กระชับสมส่วน,กำยำและหล่อเหลา ทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายและบรรยากาศอันแข็งกร้าวสูงส่งออกมา

ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะดูมีอายุเพียงแค่

40 ปี แต่ผมเผ้าของเขากลับขาวโพลนทั้งศีรษะ

ดวงตาเต็มไปด้วยมวลอารมณ์ที่ผันผวนดูไม่สอดคล้องกับใบหน้า

อารมณ์ของเขาดูราวกับว่าถูกครอบงำด้วยปัญหาหนักอึ้งมานานนับปี

คนผู้นี้คือประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์

ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเทียนเฉิน, ฉู่เทียนเซิง

!

ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วและนั่งหลับตาทำสมาธิ

หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรอยย่นของความกลัดกลุ้มกังวลใจ

ในขณะนี้เองหยุนเหยาในชุดขาวก็ก้าวเท้าผ่านเข้ามาในประตูและเดินไปที่ห้องโถงหลักอย่างรวดเร็ว

นางเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนในที่นั่งประมุขและยอบกายคารวะด้วยความเคารพ

“ศิษย์หยุนเหยา คารวะท่านประมุข !”

ฉู่เทียนเซิงรั้งสติกลับมาและมองหน้าหยุนเหยาพลางกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“หยุนเหยา เจ้าเข้ามานี่

อาจารย์มีเรื่องราวที่ต้องบอกกล่าวต่อเจ้า”

หยุนเหยารีบก้าวเท้าไปยังที่นั่งประมุข

นางหยุดยืนใต้บันไดห่างจากฉู่เทียนเซิงสามเมตรพลางกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์คะ ท่านเพิ่งกลับมาถึงนิกายแต่กลับเรียกหาศิษย์อย่างรวดเร็วเช่นนี้  เป็นเรื่องนั้นใช่หรือไม่คะ ?”

ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและทอดถอนใจ

“ถูกต้อง”

หลังจากหยุดไปชั่วครู่

เขาก็เริ่มการสนทนาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หยุนเหยา

เจ้าเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์และความสามารถมากที่สุด

อีกทั้งยังเป็นศิษย์เอกคนสำคัญของนิกาย หลังจากข้าถอนตัวแล้ว

เจ้าต้องรับตำแหน่งประมุข

ดังนั้นมีเรื่องราวบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้าแต่เนิ่นๆเพื่อเตรียมความพร้อม”

เมื่อได้คำพูดจากปากของฉู่เทียนเซิง

ทันใดนั้นหยุนเหยาก็ขมวดคิ้วแน่นและรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

“ท่านอาจารย์  ท่านมีพลังในจุดสูงสุดของแดนดินอีกทั้งยังดูแลนิกายมานับร้อยปี

เหตุใดวันนี้ท่านถึงได้กล่าววาจาหนักหน่วงนัก ?”

“หรือว่า... มันเป็นเรื่องที่ส่งผลใหญ่หลวงต่อความมั่นคงของนิกาย

?”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยใบหน้าที่สง่างาม

“ถูกต้อง  หยุนเหยา เจ้าฉลาดหัวไวจริงๆ”

“มิใช่ว่าเจ้ามักจะถามเรื่องนั้นกับข้าอยู่เสมอหรอกหรือ

? วันนี้ข้าจะบอกความจริงทั้งหมดต่อเจ้า จงตั้งใจฟังให้ดี”

หยุนเหยาเข้าใจความสำคัญของเรื่องนี้แล้ว

นางหยุดแทรกทันที

ฉู่เทียนเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เมื่อหนึ่งพันปีก่อนมีมารไร้พ่ายปรากฏขึ้นในอาณาจักรเทียนเฉิน

มันคือความปั่นป่วนและหายนะ”

“มารเหล่านั้นสังหารผู้บริสุทธิ์ ทำลายแว่นแคว้นและเมืองน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนทำให้ผู้คนเรือนหมื่นตกตายกองเป็นภูเขาซากศพและสร้างวันเวลาแห่งหายนะขึ้นมา”

“พวกมันได้ทำลายค่ายกลผ่านล่วงเข้ามาในดินแดนดาราบรรพกาล

ทำลายนิกายใหญ่มากมาย สังหารผู้ฝึกยุทธ์ไปหลายพันคนและปล้นชิงสมบัตินับไม่ถ้วน”

“แต่ทว่า ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังของเผ่าพันธุ์มนุษย์

มีผู้สูงส่งผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นและเอาชนะมารไร้พ่ายได้ด้วยหนึ่งกระบี่ราวกับเทพเซียน

ท่านผู้นั้นได้สะกดมันไว้ภายใต้ขุนเขาเมฆาสีชาดแห่งนี้"

“ในเวลานั้นผู้บุกเบิกนิกายของเราต่างก็เป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้รับการชี้แนะจากผู้สูงส่งท่านนั้น  ดังนั้นบรรพบุรุษจึงได้เคลื่อนขุนเขาทั้งแปดด้วยพลังฟ้าดินมาวางรอบๆยอดเขาเมฆาสีชาดและร่ายมหาข่ายอาคมขนาดใหญ่ขึ้น”

“ต่อมาบรรพบุรุษได้สร้างนิกายพันธมิตรสวรรค์ขึ้น

นิกายได้เติบโตผ่านไปรุ่นสู่รุ่นนานนับพันปี

ตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับคนรุ่นนั้นและมารไร้พ่ายก็ค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คนตามกาลเวลา”

เมื่อได้ยินตำนานเหล่านี้ดวงตาอันกระจ่างใสของหยุนเหยาก็สั่นระริกและเต็มไปด้วยแสงสีแห่งความตื่นตระหนก

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินตำนานของนิกายและได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วเก้าขุนเขาของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นไม่เพียงสร้างขึ้นเพื่อวางข่ายอาคมป้องกันขนาดใหญ่เท่านั้น  แต่มันยังมีไว้เพื่อผนึกมารไร้พ่ายอีกด้วย

ในเวลานี้ฉู่เทียนเซิงก็ยังเล่าต่อไป

“เมื่อสองปีก่อน ข้าสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ผิดปกติของข่ายอาคมและพบว่าผนึกของมันเริ่มแตกหัก

มารไร้พ่ายที่ถูกผนึกไว้นับพันปีกำลังจะตื่นขึ้นมา”

“เมื่อเดือนที่แล้วข้าได้นำอาวุโสฝ่ายทั้งแปดไปที่ยอดเขาเมฆาสีชาดเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับผนึก  ทว่า

มารไร้พ่ายเริ่มฟื้นคืนสติกลับมาบางส่วนแล้ว ไม่ช้าก็เร็วมันจะทลายผนึกออกมา”

“มารปีศาจไร้ผู้เทียบเคียงที่เคยดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเทียนเฉินที่ล้างสังหารมนุษย์นับล้านกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ทั่วทั้งอาณาจักรจะลุกเป็นไฟ นิกายน้อยใหญ่จะถูกทำลายสิ้น

นอกจากนี้สิ่งที่มันต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือชำระแค้นด้วยเลือด

นิกายของเราที่เป็นสิ่งที่ผนึกมันเอาไว้จะถูกทำลาย  เมื่อถึงตอนนั้นข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับมารไร้พ่ายได้

ดินแดนดาราบรรพกาลจะถูกปล้นชิงเป็นของมันอีกครั้ง อาณาจักรเทียนเฉินจะล่มสลาย !”

หยุนเหยาฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

สายตาของนางเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มกังวล

นางขมวดคิ้วและถามว่า

“ท่านอาจารย์ก็ยังอยู่

อีกทั้งยังในยุคนี้ยังมีแปดนิกายใหญ่ดำรงอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาล

จอมยุทธ์ยอดฝีมือมีมากมายดั่งหมู่เมฆบนท้องนภา ทำไมท่านไม่ผนึกกำลังสู้กับมัน ?”

ฉู่เทียนเซิงส่ายหัวไปมา

มุมปากของเขายิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า

“หยุนเหยา เจ้ายังไม่ได้ขึ้นเป็นประมุขนิกาย

ดังนั้นเจ้าจึงยังไม่ทราบถึงความลับแห่งสหัสวรรษและพลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวของมารไร้พ่าย”

“นิกายใหญ่มากมายที่ถูกมารไร้พ่ายทำลายล้างเมื่อพันปีก่อน

มีนิกายใดบ้างที่ไม่แข็งแกร่งเทียบเท่านิกายพันธมิตรสวรรค์ของเรา ?  แต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดหยุดมารไร้พ่ายได้และต้องประสบกับการล่มสลายอยู่ดี

!"

หยุนเหยาขมวดคิ้วและถามอีกครั้ง

“ท่านอาจารย์คะ มารไร้พ่ายถูกผนึกไว้ร่วมพันปี เป็นไปได้สูงว่าความแข็งแกร่งของมันย่อมถดถอยลง”

ฉู่เทียนเซิงเหยียดแข้งเหยียดขาอยู่ครู่หนึ่งและอธิบายต่อนางว่า

“หยุนเหยา

เจ้าจำสิ่งที่อาจารย์เคยสอนตอนเจ้ายังเด็กได้หรือไม่ ? เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์มารปีศาจ”

“เผ่ามารเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและน่าหวาดกลัว

มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายและกระหายเลือดที่สุดในโลก !”

“เผ่าพันธุ์นี้แตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา พวกมันเกิดมาพร้อมกับร่างกายทรงพลังที่สูงล้ำยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะอันยอดเยี่ยมโดยกำเนิดอีกด้วย”

“นอกจากนี้

เคล็ดวิชาที่พวกมันบ่มเพาะและฝึกฝนนั้นยิ่งชั่วร้ายโหดเหี้ยมมาก

ที่สำคัญคือความเร็วในการบ่มเพาะของพวกมันก็รวดเร็วกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์หลายเท่าตัวจนเทียบกันไม่ติด

!”

“มารไร้พ่ายที่ถูกผนึกไว้ภายใต้ยอดเขาเมฆาสีชาดจะสามารถเพิ่มระดับพลังยุทธ์ของมันได้อย่างรวดเร็วจากการสังหาร

ยิ่งพวกมันได้ฆ่าก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น”

หยุนเหยาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและกล่าวว่า

“ศิษย์ทราบแล้วท่านอาจารย์ แล้วท่านอาจารย์มีหนทางรับมือหรือไม่ ?”

ฉู่เทียนเซิงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“นอกจากการเสริมความแข็งแกร่งของผนึกมารแล้ว

อาจารย์ทำได้เพียงตามหาบุคลผู้แข็งขืนต่อโชคชะตาที่เข็มทิศดาราระบุไว้เท่านั้น”

“ข้าหวังว่าบุคคลในคำทำนายผู้นั้นจะสามารถช่วยเหลือนิกายเพื่อผนึกมารไร้พ่ายต่อไปได้อีกพันปี

!”

เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ฉู่เทียนเซิงก็ถามหยุนเหยาว่า

“จริงสิ แล้วเจ้าพบคนที่ข้าสั่งให้ตามหาหรือยัง ?”

หยุนเหยาพยักหน้าและตอบอย่างเยือกเย็นว่า

“ค่ะ

ศิษย์พบคนผู้นั้นแล้วท่านอาจารย์ ตอนนี้เขาอยู่ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นของฝ่ายนอก”

จิตวิญญาณของฉู่เทียนเซิงสะท้านเฮือก

ใบหน้าของเขาแสดงสีสันอันยินดีปรีดาออกมาล้นปรี่

"ดี ! หลังจากเจ้าจัดการเรื่องในนิกายให้ข้าแล้ว

จงพาคนผู้นั้นมาพบข้าโดยเร็ว”

***** เหยดดดด ล้ำลึก

ตามหาคนที่แข็งขืนต่อโชคชะตาซึ่งความจริงควรเป็นพระเอกแต่ดันได้จี้หลิง  ……..  มารตื่น

? *****