หลังจากได้ยินคำพูดของตี้ซื่อ ตี้จวินพลันพยักหน้าเป็นเชิงคล้อยตามเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า
"เราคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อพันกว่าปีก่อน
จักรพรรดิมารก่อความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักรเทียนเฉิน
มันสังหารหมู่ประชาชนของเราอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน”
"ในเวลานั้น
เทพกระบี่ได้ยื่นมือเข้าช่วยครั้งหนึ่ง
สะกดมารตนนั้นไว้ในอาณาจักรเทียนเฉิน......"
เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘เทพกระบี่’ ดวงตาของตี้ซื่อพลันส่องแสงแวววาวสลัวๆออกมา ความทรงจำที่รุนแรงเกิดขึ้นโดยพลัน
คนจมอยู่ในห้วงคำนึงเล็กน้อย
และหลังจากผ่านความเงียบงันไปครู่ใหญ่ มันก็พยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ หนึ่งพันปีราวกับอาชาขาวทะยานผ่านช่องแคบ, เพียงพริบตาเดียวจริงๆ...”
"หลังจากที่เทพกระบี่สะกดจักรพรรดิมาร
มีผู้เยาว์คนหนึ่งในอาณาจักรเทียนเฉินได้รับการชี้แนะจากเทพกระบี่
มันสร้างนิกายขึ้นทับผนึกแห่งจักรพรรดิมารเอาไว้
ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือนิกายพันธมิตรสวรรค์"
ตี้จวินขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึกว่า
“ไอมารแผ่ซ่านปั่นป่วนไปทั่วอาณาจักรเทียนเฉิน
นิกายพันธมิตรสวรรค์และนิกายกระบี่ฟ้าอาจทำสงครามกันได้ทุกเวลา
เรื่องที่ประจวบเหมาะเช่นนี้เป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับผนึกจักรพรรดิมาร"
"ท่าทางเราคงต้องส่งใครสักคนไปเยือนอาณาจักรเทียนเฉินเพื่อเป็นคนกลางและควบคุมสถานการณ์ให้มีเสถียรภาพกว่านี้"
"มิฉะนั้นแล้วล่ะก็
หลังจากจักรพรรดิจุติ มันจะนำมาซึ่งโลหิตชโลมพสุธา
การล้างสังหารจะเกิดขึ้นอย่างมิอาจหยุดยั้ง"
ตี้ซื่อโบกแปรงหางม้าในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า
“ความเห็นของตี้จวินถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง, ข้าน้อยเห็นด้วยทุกประการขอรับ"
ตี้จวินพยักหน้า
สีหน้าครุ่นคิดและถามอีกฝ่ายว่า “ในความเห็นของตี้ซื่อ คิดว่าเราควรจะส่งสี่มหาจักรพรรดิคนใดไปถึงจะเหมาะสมกับภารกิจนี้กว่ากัน
?”
ตี้ซื่อชั่งน้ำหนักครุ่นคิดในใจ จากนั้นส่ายหัวแล้วพูดว่า
"ทูลตี้จวิน มหาจักรพรรดิทั้งสี่ไม่เหมาะสมกับเรื่องนี้เลยสักคนขอรับ”
"ทั้งสี่ท่านล้วนแต่มีภาระหน้าที่หนักอึ้งที่ต้องแบกรับ
พวกมันประจำการอยู่ในจ้งโจวคอยปกปักษ์ต้านทานกองกำลังผู้รุกรานจากทางทิศตะวันออก
ตะวันตกและทิศเหนือ อีกทั้งภายในลานจักรพรรดิของพวกเราเองก็ยังมีทั้งปัญหาภายในภายนอกซึ่งต่างก็เป็นงานที่หนักหนาสาหัส"
"จากความเห็นของคนแก่อย่างข้าน้อย
มีบุคลหนึ่งที่เหมาะสมมากที่จะไปอาณาจักรเทียนเฉินและทำให้เรื่องนี้สงบลง"
ตี้จวินยกคิ้วขึ้นและถามด้วยความสับสน
“โฮ่
? เราชักอยากรู้รายละเอียดเสียแล้วสิ
ไหนท่านลองว่ามา"
ตี้ซื่อลูบหนวดเคราะขาวโพลนของมันด้วยรอยยิ้มบาง
จากนั้นกล่าวต่อไปว่า
"เทียนจือ !" (โอรสสวรรค์)
"หยุนเซียว ?" (เมฆานภาลัย)
ตี้จวินขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนก็พยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวต่อไป
"หยุนเซียวยังด้อยประสบการณ์
ถึงแม้มันจะมีพลังระดับปราณฟ้าแต่ก็ทำได้เพียงบ่มเพาะอยู่แต่ในจ้งโจว
ไม่เคยเดินทางไปเยือนเก้าอาณาจักรทางใต้"
"เรื่องนี้เราเห็นด้วยกับท่าน
นี่นับเป็นโอกาสที่ดีของมัน ปล่อยมันเดินทางลงใต้เพียงลำพัง
ได้รับรู้ความเป็นอยู่ของโลกภายนอกและราษฎร์
ไม่เพียงเป็นการฝึกฝนตัวมันเองเท่านั้น
แต่ยังจะเพิ่มประสบการณ์ชีวิตให้มันอีกด้วย"
"ความวุ่นวายภายในอาณาจักรเทียนเฉินครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันเหมาะสมกับมันแล้ว”
ตี้ซื่อยิ้มเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า
"นอกจากนี้ จากทั้งเก้าอาณาจักรมีผู้สมัครเป็นนางสนมสวรรค์อยู่สามนาง หนึ่งในสามก็อยู่ในอาณาจักรเทียนเฉิน"
"ตี้จวินสามารถใช้โอกาสนี้ส่งเสริมให้เทียนจือไปเยือนอาณาจักรเทียนเฉิน
เพื่อพบหน้าหนึ่งในผู้สมัครเป็นนางสนมในอนาคตด้วยตนเองได้อีกด้วยขอรับ"
“ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีหรือไม่
ตำแหน่งนางสนมสวรรค์ก็ต้องเลือกด้วยตัวของเทียนจือเอง สุดแล้วแต่หัวใจของมัน"
ตี้จวินพยักหน้าและกล่าวว่า "วิเศษมาก
เช่นนั้นตกลงตามนี้ เราจะส่งหยุนเซียวไปเยือนอาณาจักรเทียนเฉิน"
สิ้นคำ มันก็ออกคำสั่งต่อผู้บัญชาการหยูที่ประตูว่า
“ผู้บัญชาการหยู
ไปแจ้งเทียนจือให้มาพบข้าที่ห้องอักษรทันที"
“ขอรับ”
ผู้บัญชาการหยูรับคำสั่งและหันหลังไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว
...............
ระหว่างชายขอบของอาณาจักรเทียนเฉินและอาณาจักรหยงอันมีเทือกเขาไร้ขอบเขตอยู่แห่งหนึ่ง
เทือกเขาแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากและมียอดเขาอย่างน้อยนับ
100,000 ลูก !
ดังนั้นบริเวณนี้จึงเรียกว่าเทือกเขาซื่ออว๋าน
บริเวณเทือกเขาซื่ออว๋านไร้ซึ่งผู้คน
ถึงแม้มันจะเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรมากมาย แต่ทั่วทั้งบริเวณก็ถูกครอบครองโดยมารปีศาจนับไม่ถ้วน
!
พื้นที่นี้เป็นอันตรายมากและตั้งอยู่ที่ทางแยกระหว่างสองอาณาจักรใหญ่
ดังนั้นมันจึงกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์และไม่มีมนุษย์คนใดกล้าเฉียดผ่าน
ณ จุดที่ลึกที่สุดของเทือกเขาซื่ออว๋าน
มีพื้นที่หนึ่งที่ปกคลุมไว้ด้วยเมฆดำ
ในบริเวณนี้ไม่เพียงแค่รายล้อมไปด้วยยอดเขาสูงชันหลายสิบลูก
แต่ยังมีเส้นชีพจรวิญญาณที่มีกลิ่นไอฟ้าดินมากมายมารวมตัวกัน
มองผิวเผินบริเวณนี้เงียบสงัด ท้องฟ้าและพื้นดินเต็มไปด้วยหมอกที่น่ากลัว
แท้จริงแล้ว ยังมีถ้ำและทางเดินมากมายในยอดเขาและใต้ดินลึกซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นเมืองใต้ดินขนาดมหึมา
กรุใต้ดินที่ทั้งมืดมิดและหดหู่นี้เป็นที่ตั้งของนครมารโลหิตแห่งเผ่ามาร
ภายในตำหนักใหญ่ลึกเข้าไปในนครมารโลหิต
เงาร่างสูงใหญ่กำลังเดินชดช้อยอยู่บนทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปในวัง
นางผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำและมีผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงเข้มเพียงคู่เดียว
ทั้งสองฟากข้างของพื้นทางเดินหินห่างออกไปหลายร้อยก้าวมีนักรบสวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ตลอดแนว
ราวกับกองทหารที่เตรียมทำสงคราม พวกมันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน
เมื่อพวกมันได้เห็นสตรีผ้าคลุมดำนางนี้ เหล่าทหารองครักษ์เกราะดำพลันคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
พร้อมทั้งกำหมัดคารวะทักทายอย่างพร้อมเพรียง
“คารวะองค์หญิง
!”
ไม่ต้องสงสัยเลย
สตรีผู้นี้ก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้นั่นเอง
นางเพิกเฉยต่อการคารวะอย่างนอบน้อมของทหารยามเกราะดำทั้งสองข้างทาง
สาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปจนสุดทางเดิน เข้าไปในวังที่ทั้งมืดมิดและเยือกเย็น
วังนั้นมืดและสลัว อากาศเต็มไปด้วยไอมารแผ่กำจาย
กลิ่นโลหิตคละคลุ้งเข้มข้นจนแทบอาเจียน
ดูราวกับว่าวังที่กว้างใหญ่นี้เป็นดินแดนอันเงียบสงบเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย
อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ภายในสถานที่แห่งนี้
เสวี่ยเยวี่ยจวิจู้กลับไม่มีอาการอึดอัดแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนกลับสู่บ้านเกิดของนาง
เข้าสู่อ้อมกอดของมารดา
นางเดินเข้าไปในวังลึก ยืนอยู่ข้างหน้าหมู่เมฆหมอกอันมืดมิดและโค้งคำนับด้วยความเคารพพลางกล่าวว่า
"คารวะเสด็จพ่อ !"
เมฆทมิฬแผ่รัศมีกว่าร้อยเมตรภายในห้องโถงที่ว่างเปล่า
มันยังคงล่องลอยและพุกพล่านปั่นป่วน
ภายในหมู่เมฆทมิฬที่พลุ่งพล่าน มีเสียงกรนดังเป็นจังหวะเป็นกระแสลมเย็นเยือกชวนขนลุก
จนเมื่อมันได้ยินเสียงของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้
เสียงกรนภายในเมฆทมิฬพลันหยุดลงทันที
ห้องโถงอันมืดยิ่งสงบลง แต่เมฆทมิฬกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว และทันใดนั้นลำแสงสีแดงสองกลุ่มพลันเปล่งประกายส่องสว่างขึ้น
กลุ่มแสงสีสองทั้งสองก้อนนั้นเป็นรูปวงกลมยาวสามเมตรซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดวงตาขนาดใหญ่คู่หนึ่ง
!
ภายในดวงตาคู่นั้นมีรูม่านตาสีเขียวเข้มปรากฏขึ้น
เผยให้เห็นกลิ่นอายอันเย็นชาและไม่แยแสต่อสรรพชีวิต
ดวงตาสีแดงเลือดขนาดใหญ่จ้องมองเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้
จากนั้นมันก็เปล่งเสียงทึมๆออกมาจากหมู่เมฆทมิฬ
“จันทราโลหิต,ธิดาข้า เหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาในเวลานี้
?”
"หรือว่าเจ้าและมหาปุโรหิตทำภารกิจล้มเหลว
ถูกกดดันขับไล่ออกมาจากดินแดนดาราบรรพกาลโดยเหล่านิกายมดปลวกเหล่านั้น ?”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้รีบอธิบายทันที "มิใช่เพคะเสด็จพ่อ ลูกเพียงกลับมาแจ้งข่าวดีต่อท่าน !"
"แผนของพวกเรากำลังจะประสบความสำเร็จ เราทำให้นิกายกระบี่ฟ้าเกิดความบาดหมางกับนิกายพันธมิตรสวรรค์
ในไม่ช้าพวกเราจะเริ่มทำสงคราม"
"มหาปุโรหิตหวังว่าเสด็จพ่อจะเสด็จออกจากหุบเขาด้วยตนเอง
ไปยังดินแดนดาราบรรพกาลเพื่อเป็นองค์ประธานและผู้สั่งการ
ต้อนรับการกลับมาขององค์จักรพรรดิมาร !”
ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้
หมู่เมฆทมิฬขนาดใหญ่พลันยุบตัวลงและกระจายหายไป
สัตว์ร้ายสีดำที่มีความยาวกว่า 100 เมตรปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงทันที
สัตว์ยักษ์คลุมภูผาตนนี้แข็งแรงและทรงพลังราวกับหมียักษ์
ทว่ามันมีหนามเหมือนกระดูกสันหลังปรากฏที่กลางหลังและมีปีกกว้างสีดำกว่าสี่ปีก
ที่ท้องป่องของมันยังมีขาอ้วนพีถึงแปดขา
ปากขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเขี้ยวและฟันคมกริบน่าขนลุก
ช่างเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง
!
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved