ตอนที่ 357 โอรสสวรรค์จะมาเยือน !

หลังจากได้ยินคำพูดของตี้ซื่อ  ตี้จวินพลันพยักหน้าเป็นเชิงคล้อยตามเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า

"เราคลับคล้ายคลับคลาว่าเมื่อพันกว่าปีก่อน

จักรพรรดิมารก่อความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักรเทียนเฉิน

มันสังหารหมู่ประชาชนของเราอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน”

"ในเวลานั้น

เทพกระบี่ได้ยื่นมือเข้าช่วยครั้งหนึ่ง

สะกดมารตนนั้นไว้ในอาณาจักรเทียนเฉิน......"

เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘เทพกระบี่’  ดวงตาของตี้ซื่อพลันส่องแสงแวววาวสลัวๆออกมา  ความทรงจำที่รุนแรงเกิดขึ้นโดยพลัน

คนจมอยู่ในห้วงคำนึงเล็กน้อย

และหลังจากผ่านความเงียบงันไปครู่ใหญ่ มันก็พยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้วขอรับ หนึ่งพันปีราวกับอาชาขาวทะยานผ่านช่องแคบ, เพียงพริบตาเดียวจริงๆ...”

"หลังจากที่เทพกระบี่สะกดจักรพรรดิมาร

มีผู้เยาว์คนหนึ่งในอาณาจักรเทียนเฉินได้รับการชี้แนะจากเทพกระบี่

มันสร้างนิกายขึ้นทับผนึกแห่งจักรพรรดิมารเอาไว้

ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คือนิกายพันธมิตรสวรรค์"

ตี้จวินขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึกว่า

“ไอมารแผ่ซ่านปั่นป่วนไปทั่วอาณาจักรเทียนเฉิน

นิกายพันธมิตรสวรรค์และนิกายกระบี่ฟ้าอาจทำสงครามกันได้ทุกเวลา

เรื่องที่ประจวบเหมาะเช่นนี้เป็นไปได้สูงว่าเกี่ยวข้องกับผนึกจักรพรรดิมาร"

"ท่าทางเราคงต้องส่งใครสักคนไปเยือนอาณาจักรเทียนเฉินเพื่อเป็นคนกลางและควบคุมสถานการณ์ให้มีเสถียรภาพกว่านี้"

"มิฉะนั้นแล้วล่ะก็

หลังจากจักรพรรดิจุติ มันจะนำมาซึ่งโลหิตชโลมพสุธา

การล้างสังหารจะเกิดขึ้นอย่างมิอาจหยุดยั้ง"

ตี้ซื่อโบกแปรงหางม้าในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า

“ความเห็นของตี้จวินถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง, ข้าน้อยเห็นด้วยทุกประการขอรับ"

ตี้จวินพยักหน้า

สีหน้าครุ่นคิดและถามอีกฝ่ายว่า “ในความเห็นของตี้ซื่อ คิดว่าเราควรจะส่งสี่มหาจักรพรรดิคนใดไปถึงจะเหมาะสมกับภารกิจนี้กว่ากัน

?”

ตี้ซื่อชั่งน้ำหนักครุ่นคิดในใจ จากนั้นส่ายหัวแล้วพูดว่า

"ทูลตี้จวิน มหาจักรพรรดิทั้งสี่ไม่เหมาะสมกับเรื่องนี้เลยสักคนขอรับ”

"ทั้งสี่ท่านล้วนแต่มีภาระหน้าที่หนักอึ้งที่ต้องแบกรับ

พวกมันประจำการอยู่ในจ้งโจวคอยปกปักษ์ต้านทานกองกำลังผู้รุกรานจากทางทิศตะวันออก

ตะวันตกและทิศเหนือ  อีกทั้งภายในลานจักรพรรดิของพวกเราเองก็ยังมีทั้งปัญหาภายในภายนอกซึ่งต่างก็เป็นงานที่หนักหนาสาหัส"

"จากความเห็นของคนแก่อย่างข้าน้อย

มีบุคลหนึ่งที่เหมาะสมมากที่จะไปอาณาจักรเทียนเฉินและทำให้เรื่องนี้สงบลง"

ตี้จวินยกคิ้วขึ้นและถามด้วยความสับสน

“โฮ่

? เราชักอยากรู้รายละเอียดเสียแล้วสิ

ไหนท่านลองว่ามา"

ตี้ซื่อลูบหนวดเคราะขาวโพลนของมันด้วยรอยยิ้มบาง

จากนั้นกล่าวต่อไปว่า

"เทียนจือ !"    (โอรสสวรรค์)

"หยุนเซียว ?" (เมฆานภาลัย)

ตี้จวินขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คนก็พยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวต่อไป

"หยุนเซียวยังด้อยประสบการณ์

ถึงแม้มันจะมีพลังระดับปราณฟ้าแต่ก็ทำได้เพียงบ่มเพาะอยู่แต่ในจ้งโจว

ไม่เคยเดินทางไปเยือนเก้าอาณาจักรทางใต้"

"เรื่องนี้เราเห็นด้วยกับท่าน

นี่นับเป็นโอกาสที่ดีของมัน ปล่อยมันเดินทางลงใต้เพียงลำพัง

ได้รับรู้ความเป็นอยู่ของโลกภายนอกและราษฎร์

ไม่เพียงเป็นการฝึกฝนตัวมันเองเท่านั้น

แต่ยังจะเพิ่มประสบการณ์ชีวิตให้มันอีกด้วย"

"ความวุ่นวายภายในอาณาจักรเทียนเฉินครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันเหมาะสมกับมันแล้ว”

ตี้ซื่อยิ้มเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า

"นอกจากนี้ จากทั้งเก้าอาณาจักรมีผู้สมัครเป็นนางสนมสวรรค์อยู่สามนาง  หนึ่งในสามก็อยู่ในอาณาจักรเทียนเฉิน"

"ตี้จวินสามารถใช้โอกาสนี้ส่งเสริมให้เทียนจือไปเยือนอาณาจักรเทียนเฉิน

เพื่อพบหน้าหนึ่งในผู้สมัครเป็นนางสนมในอนาคตด้วยตนเองได้อีกด้วยขอรับ"

“ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีหรือไม่

ตำแหน่งนางสนมสวรรค์ก็ต้องเลือกด้วยตัวของเทียนจือเอง สุดแล้วแต่หัวใจของมัน"

ตี้จวินพยักหน้าและกล่าวว่า "วิเศษมาก

เช่นนั้นตกลงตามนี้ เราจะส่งหยุนเซียวไปเยือนอาณาจักรเทียนเฉิน"

สิ้นคำ มันก็ออกคำสั่งต่อผู้บัญชาการหยูที่ประตูว่า

“ผู้บัญชาการหยู

ไปแจ้งเทียนจือให้มาพบข้าที่ห้องอักษรทันที"

“ขอรับ”

ผู้บัญชาการหยูรับคำสั่งและหันหลังไปปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว

...............

ระหว่างชายขอบของอาณาจักรเทียนเฉินและอาณาจักรหยงอันมีเทือกเขาไร้ขอบเขตอยู่แห่งหนึ่ง

เทือกเขาแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากและมียอดเขาอย่างน้อยนับ

100,000 ลูก !

ดังนั้นบริเวณนี้จึงเรียกว่าเทือกเขาซื่ออว๋าน

บริเวณเทือกเขาซื่ออว๋านไร้ซึ่งผู้คน

ถึงแม้มันจะเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรมากมาย แต่ทั่วทั้งบริเวณก็ถูกครอบครองโดยมารปีศาจนับไม่ถ้วน

!

พื้นที่นี้เป็นอันตรายมากและตั้งอยู่ที่ทางแยกระหว่างสองอาณาจักรใหญ่

ดังนั้นมันจึงกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับมนุษย์และไม่มีมนุษย์คนใดกล้าเฉียดผ่าน

ณ จุดที่ลึกที่สุดของเทือกเขาซื่ออว๋าน

มีพื้นที่หนึ่งที่ปกคลุมไว้ด้วยเมฆดำ

ในบริเวณนี้ไม่เพียงแค่รายล้อมไปด้วยยอดเขาสูงชันหลายสิบลูก

แต่ยังมีเส้นชีพจรวิญญาณที่มีกลิ่นไอฟ้าดินมากมายมารวมตัวกัน

มองผิวเผินบริเวณนี้เงียบสงัด ท้องฟ้าและพื้นดินเต็มไปด้วยหมอกที่น่ากลัว

แท้จริงแล้ว ยังมีถ้ำและทางเดินมากมายในยอดเขาและใต้ดินลึกซึ่งถูกสร้างขึ้นเป็นเมืองใต้ดินขนาดมหึมา

กรุใต้ดินที่ทั้งมืดมิดและหดหู่นี้เป็นที่ตั้งของนครมารโลหิตแห่งเผ่ามาร

ภายในตำหนักใหญ่ลึกเข้าไปในนครมารโลหิต

เงาร่างสูงใหญ่กำลังเดินชดช้อยอยู่บนทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปในวัง

นางผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำและมีผ้าคลุมหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตาสีแดงเข้มเพียงคู่เดียว

ทั้งสองฟากข้างของพื้นทางเดินหินห่างออกไปหลายร้อยก้าวมีนักรบสวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ตลอดแนว

ราวกับกองทหารที่เตรียมทำสงคราม พวกมันยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นหิน

เมื่อพวกมันได้เห็นสตรีผ้าคลุมดำนางนี้ เหล่าทหารองครักษ์เกราะดำพลันคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

พร้อมทั้งกำหมัดคารวะทักทายอย่างพร้อมเพรียง

“คารวะองค์หญิง

!”

ไม่ต้องสงสัยเลย

สตรีผู้นี้ก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้นั่นเอง

นางเพิกเฉยต่อการคารวะอย่างนอบน้อมของทหารยามเกราะดำทั้งสองข้างทาง

สาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปจนสุดทางเดิน เข้าไปในวังที่ทั้งมืดมิดและเยือกเย็น

วังนั้นมืดและสลัว อากาศเต็มไปด้วยไอมารแผ่กำจาย

กลิ่นโลหิตคละคลุ้งเข้มข้นจนแทบอาเจียน

ดูราวกับว่าวังที่กว้างใหญ่นี้เป็นดินแดนอันเงียบสงบเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย

อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ภายในสถานที่แห่งนี้

เสวี่ยเยวี่ยจวิจู้กลับไม่มีอาการอึดอัดแม้แต่น้อย  มีเพียงแต่ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนกลับสู่บ้านเกิดของนาง

เข้าสู่อ้อมกอดของมารดา

นางเดินเข้าไปในวังลึก ยืนอยู่ข้างหน้าหมู่เมฆหมอกอันมืดมิดและโค้งคำนับด้วยความเคารพพลางกล่าวว่า

"คารวะเสด็จพ่อ !"

เมฆทมิฬแผ่รัศมีกว่าร้อยเมตรภายในห้องโถงที่ว่างเปล่า

มันยังคงล่องลอยและพุกพล่านปั่นป่วน

ภายในหมู่เมฆทมิฬที่พลุ่งพล่าน มีเสียงกรนดังเป็นจังหวะเป็นกระแสลมเย็นเยือกชวนขนลุก

จนเมื่อมันได้ยินเสียงของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

เสียงกรนภายในเมฆทมิฬพลันหยุดลงทันที

ห้องโถงอันมืดยิ่งสงบลง แต่เมฆทมิฬกลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว  และทันใดนั้นลำแสงสีแดงสองกลุ่มพลันเปล่งประกายส่องสว่างขึ้น

กลุ่มแสงสีสองทั้งสองก้อนนั้นเป็นรูปวงกลมยาวสามเมตรซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดวงตาขนาดใหญ่คู่หนึ่ง

!

ภายในดวงตาคู่นั้นมีรูม่านตาสีเขียวเข้มปรากฏขึ้น

เผยให้เห็นกลิ่นอายอันเย็นชาและไม่แยแสต่อสรรพชีวิต

ดวงตาสีแดงเลือดขนาดใหญ่จ้องมองเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

จากนั้นมันก็เปล่งเสียงทึมๆออกมาจากหมู่เมฆทมิฬ

“จันทราโลหิต,ธิดาข้า เหตุใดเจ้าถึงได้กลับมาในเวลานี้

?”

"หรือว่าเจ้าและมหาปุโรหิตทำภารกิจล้มเหลว

ถูกกดดันขับไล่ออกมาจากดินแดนดาราบรรพกาลโดยเหล่านิกายมดปลวกเหล่านั้น ?”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้รีบอธิบายทันที  "มิใช่เพคะเสด็จพ่อ  ลูกเพียงกลับมาแจ้งข่าวดีต่อท่าน !"

"แผนของพวกเรากำลังจะประสบความสำเร็จ เราทำให้นิกายกระบี่ฟ้าเกิดความบาดหมางกับนิกายพันธมิตรสวรรค์

ในไม่ช้าพวกเราจะเริ่มทำสงคราม"

"มหาปุโรหิตหวังว่าเสด็จพ่อจะเสด็จออกจากหุบเขาด้วยตนเอง

ไปยังดินแดนดาราบรรพกาลเพื่อเป็นองค์ประธานและผู้สั่งการ

ต้อนรับการกลับมาขององค์จักรพรรดิมาร !”

ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้

หมู่เมฆทมิฬขนาดใหญ่พลันยุบตัวลงและกระจายหายไป

สัตว์ร้ายสีดำที่มีความยาวกว่า 100 เมตรปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงทันที

สัตว์ยักษ์คลุมภูผาตนนี้แข็งแรงและทรงพลังราวกับหมียักษ์

ทว่ามันมีหนามเหมือนกระดูกสันหลังปรากฏที่กลางหลังและมีปีกกว้างสีดำกว่าสี่ปีก

ที่ท้องป่องของมันยังมีขาอ้วนพีถึงแปดขา

ปากขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเขี้ยวและฟันคมกริบน่าขนลุก

ช่างเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง

!