ตอนที่ 235

สวนหลิงโซ่ว

จี้เทียนซิงหยอกล้อกับเฉียนเยวี่ยอยู่พักหนึ่ง

จากนั้นก็พามันไปที่ห้อง

สองวันต่อมาก็ยังไม่มีผู้ใดมารบกวนจี้เทียนซิงที่ตำหนักเทียนซิงอีกเลย

เขาปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในห้องลับโดยใช้หินวิญญาณที่ได้รับมาก่อนหน้า

มันช่วยให้เขาบรรเทาจุดฝังเข็มได้รวดเร็วขึ้นจนทำให้พลังฝีมือรุดหน้าไปไม่น้อย

เดือนหน้าจะเป็นการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์

ดังนั้นเขาจึงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อได้รับตำแหน่งดีๆบนรายชื่อขั้นสวรรค์ครั้งแรก

ในช่วงที่จี้เทียนซิงปิดด่านบ่มเพาะ

เสี่ยวเฮยหลงก็กลายร่างเป็นกระบี่มังกรดำและนอนหลับอยู่ในแหวนมิติอย่างสงบเรียบร้อย

มีเพียงเฉียนเยวี่ยผู้เดียวเท่านั้นที่วุ่นวายไปมาอยู่ในตำหนักเทียนซิง

นี่นับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากแล้วสำหรับมัน...

ผ่านไปสองวันเฉียนเยวี่ยได้สำรวจทุกซอกทุกมุมของตำหนักเทียนซิงจนหมดสิ้น

มันเริ่มเบื่อแล้ว

ในเช้าของวันที่สาม

มันบินไปมารอบๆตำหนักเทียนซิง จากนั้นก็ออกนอกประตูไปข้างนอก “เฮ้อ สหายจี้ปิดด่านบ่มเพาะจนลืมวันลืมคืน

ไม่รู้ฟิตอะไรนักหนา ส่วนเจ้ามังกรน้อยก็ไม่เล่นกับข้า

เช่นนั้นข้าออกไปเดินเล่นดีกว่า”

“นิกายพันธมิตรสวรรค์เต็มไปด้วยเส้นชีพจรวิญญาณ

มันเต็มไปด้วยรัศมีพลังฟ้าดินและมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ข้าต้องไปแรดให้ทั่ว !”

เฉียนเยวี่ยฮัมเพลงในลำคอและกระพือปีกบินขึ้นไปบนฟ้า มันลัดเลาะไปตามตึกรามบ้านช่องและตำหนักหลายแห่งภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

จากนั้นก็บินไปชมทิวทัศน์บนยอดเขา

“ว้าว ! เป็นแนวตำหนักที่งดงามนัก

!”

“โอ้ จุดนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศฟ้าดินอันแข็งกร้าว

!”

“ธรณีประตูหุบเขาก็งดงามไม่แพ้เลยกัน !”

“อู้วว

ตรงนั้นมียอดเขาที่เชื่อมต่อกันเป็นมหาข่ายปราณ !”

เฉียนเยวี่ยบินไปมารอบๆนิกายพันธมิตรสวรรค์ด้วยความตื่นตาตื่นใจ มันบินออกพื้นที่นิกายและเข้าสู่ยอดเขาลูกอื่นๆ

ราวๆหนึ่งชั่วยามต่อมามันก็บินขึ้นไปบนจุดสูงสุดของยอดเขาเพื่อชื่นชมต้นไม้สูงตระหง่านและน้ำตกที่ไหลลงมาตามไหล่เขา

หลังจากเดินเล่นไปรอบๆมันก็หยุดอยู่ที่แนวป่าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากน้ำตกและมองไปรอบๆ

“เอ...... แล้วที่นี่มันที่ไหนกันหว่า ?”

“ดูเหมือนว่าแถวๆนี้แทบจะไม่มีศิษย์ของนิกายเลย

หรือว่าจะเป็นถิ่นของสัตว์อสูรวิญญาณ ?”

เฉียนเยวี่ยกระพริบตาและแผ่สัมผัสวิญญาณออกไปเพื่อสำรวจกลิ่นอายรอบๆยอดเขา

ในเวลานี้เอง

ทันใดนั้นตรงทางเดินที่เต็มไปด้วยแมกไม้

มีศิษย์สตรีในชุดขาวคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาที่ยอดเขา

เฉียนเยวี่ยรีบบินไปหยุดตรงหน้าศิษย์หญิงอย่างรวดเร็วและเอ่ยปากถามว่า “พี่สาวท่านนี้โปรดหยุดก่อน ข้ามีเรื่องอยากถาม ที่นี่มันคือที่ไหนกันหว่า ?”

ศิษย์หญิงผู้นั้นชะงักทันทีและเงยหน้ามองเฉียนเยวี่ย

ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างและใบหน้าที่งดงามก็เผยความสุขอย่างลึกล้ำ

“ว้าว...... !  เจ้าตัวน้อย น่ารักจังเลย !”

“เจ้าขนยาว

เจ้าไม่เพียงน่ารักน่าเอ็นดูแต่ยังพูดภาษามนุษย์ได้ด้วย น่ารักอ่า !”

ศิษย์หญิงมองเฉียนเยวี่ยด้วยแววตาเปล่งปลั่งเป็นประกายและอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหางของมัน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางตกตะลึงต่อรูปลักษณ์ที่น่ารักน่าชังของเฉียนเยวี่ย

นางแทบอยากจะคว้ามันมากอดไว้แน่นๆแล้ว

เฉียนเยวี่ยกระพริบตาปริบๆและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโตพลางถามว่า

“พี่สาวคนงาม ที่นี่คือที่ไหนหรือ ? คือข้าหลงทาง...."

ศิษย์หญิงเผยรอยยิ้มอ่อนหวานและตอบทันทีว่า

“ที่นี่คือสวนสัตว์อสูรวิญญาณน่ะ”

“เจ้าตัวน้อย เจ้าวิ่งออกมาจากสวนสัตว์วิญญาณงั้นหรือ

? เจ้าหลงทางได้อย่างไรกันเล่า ?”

เฉียนเยวี่ยกระพริบตาและถามด้วยความสนใจว่า

“หืม ? สวนสัตว์อสูรวิญญาณเหรอ  เช่นนั้นที่นี่ก็มีสัตว์อสูรวิญญาณมากมายเลยสิ ?”

ศิษย์หญิงพยักหน้า "ถูกต้อง

สวนสัตว์อสูรวิญญาณเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์อสูรวิญญาณ แน่นอนว่าต้องมีพวกมันเต็มไปหมด

!”

“อย่างไรก็ตาม สัตว์อสูรในสวนนี้ไม่ได้ฉลาดน่ารักและพูดได้เหมือนเจ้า”

“โอ้ จริงหรือ ?” เฉียนเยวี่ยมีความสุขและอารมณ์ดีมาก

มันรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “พี่สาวคนสวย เจ้าพาข้าเข้าไปในสวนสัตว์วิญญาณได้ไหม

? ข้าหากเห็นสัตว์อสูรวิญญาณพวกนั้น ”

ศิษย์หญิงชื่นชอบเฉียนเยวี่ยมาก

แน่นอนว่านางย่อมไม่ปฏิเสธคำขอของมัน นางพยักหน้าตอบรับทันที

“ได้สิ ตามข้ามา”

“ขอบคุณมาก พี่สาวคนงาม” เฉียนเยวี่ยปากหวานและทำตัวน่ารักพลางกล่าวขอบคุณ

จากนั้นมันก็บินตามศิษย์หญิงผู้นั้นไปที่เชิงเขา

ทันทีที่ทั้งสองลับตาไป

บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยแมกไม้ มีเงาร่างของบุคลผู้หนึ่งโผล่ออกมา

บุคคลผู้นี้คือก็ไป๋หวู่เชินนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ที่เฉียนเยวี่ยบินเล่นบนชมวิวท้องฟ้า

มันก็เห็นอีกฝ่ายอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงติดตามมันไปตลอดทาง

จนกระทั่งได้เห็นเฉียนเยวี่ยติดตามศิษย์สตรีนางนี้ไปที่เชิงเขา

เขาจึงขมวดคิ้วแล้วกระซิบแผ่วเบาว่า “จิ้งจอกบัดซบตัวนั้นมันเข้าไปทำอะไรที่สวนสัตว์อสูรวิญญาณ

?”

ไป๋หวู่เชินขมวดคิ้วและครุ่นคิดเรื่องนี้

จากนั้นเขาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อติดตามทั้งสองเข้าไปในภูเขา

......

หลังจากผ่านไปสองชั่วยามก็เป็นเวลาเที่ยง

จี้เทียนซิงยุติการฝึกซ้อมชั่วคราวและเดินออกจากห้องลับ หลังจากความพยายามอย่างหนักผ่านไปหลายวัน ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในการบรรเทาจุดฝังเข็มจุดที่แปดและนับว่าเสร็จสิ้นการบรรเทาเส้นชีพจรกระบี่เส้นแรกสำเร็จแล้ว

บัดนี้ความแข็งแกร่งของเขาได้มาถึงขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง

!

หลังเดินออกจากห้อง

ชายหนุ่มก็บิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายอยู่ในสวนกลางตำหนัก

เมื่อเหลือบมองไปเห็นศิษย์รับใช้กำลังตักน้ำที่บ่อน้ำตรงมุมสวน เขาก็ถามว่า

“อามู่ เจ้าเห็นเฉียนเยวี่ยมั้ย ? มันไปเล่นถึงไหนแล้ว”

ตั้งแต่ที่จี้เทียนซิงรั้งอยู่ในตำหนักเทียนซิง

เฉียนเยวี่ยก็เทียวไปเทียวอยู่ในในลานเล็กตลอดทั้งวัน

บางทีก็เล่นกับศิษย์รับใช้หรือไม่ก็สาวใช้

ศิษย์รับใช้ที่ชื่ออามู่วางถังน้ำลงอย่างรวดเร็วและรายงานต่อจี้เทียนซิง

“เรียนศิษย์พี่จี้

เฉียนเยวี่ยมิได้อยู่ในบริเวณตำหนักเลยขอรับ มันบินออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า บัดนี้ยังไม่กลับมาเลย”

“อ้อ...”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและไม่ถามต่อ

ในใจลอบเป็นห่วงเล็กน้อย

“ด้วยนิสัยของเฉียนเยวี่ย หากปล่อยมันวิ่งเล่นไปทั่วนิกายนานขนาดนี้ข้าเกรงว่ามันจะป่วนชาวบ้านเขาไปทั่ว  แต่ว่ามันก็นับว่าเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ

คงไม่ก่อเรื่องอันใดกระมัง”

หลังจากคิดเกี่ยวกับมันแล้วจี้เทียนซิงก็หันกลับไปหยิบตำราศาสตร์แห่งอาคมออกมาศึกษาเพื่อรอเฉียนเยวี่ยกลับมา

ทว่า

หนึ่งชั่วยามผ่านไปเฉียนเยวี่ยก็ยังไม่กลับมาอีก แต่สาวใช้นามเสี่ยวซวงรีบแจ้นเข้ามาหน้าประตูห้องตำราและกล่าวว่า

“ศิษย์พี่จี้เจ้าคะ

มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งของสวนสัตว์อสูรวิญญาณรออยู่หน้าประตูตำหนัก

ท่านแจ้งว่ามีธุระต้องพบท่าน”

จี้เทียนซิงวางตำราข่ายอาคมในทันทีและขมวดคิ้วด้วยสีหน้างุนงงว่า

“ผู้ดูแลสวนสัตว์อสูรวิญญาณ ? เขามีธุระอะไรกับข้างั้นหรือ ?"

เสี่ยวซวงตอบอย่างรวดเร็วว่า

“บ่าวก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ

แต่ว่า.....ดูจากสีหน้าของผู้อาวุโสแล้ว บ่าวเกรงว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงไม่น้อย”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและลุกขึ้นเดินออกจากห้องตำราทันที เมื่อมาถึงประตูเขาก็เห็นผู้ดูแลในชุดคลุมสีดำยืนรออยู่

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกมา

ผู้ดูแลก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าคือจี้เทียนซิงใช่หรือไม่

? ข้าคือเซี่ยงหวู่ เป็นผู้ดูแลสวนหลิงโซ่ว” [灵兽 หลิงโซ่ว

แปลว่าสัตว์อสูรวิญญาณ]

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะและถามว่า

“ผู้เยาว์ขอเรียนถาม ไม่ทราบว่าท่านผู้ดูแลเซี่ยงมาหาข้ามีกิจธุระอันใดหรือขอรับ

?”

คิ้วของเซี่ยงหวู่ขมวดจนติดกันและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“จี้เทียนซิง ตอบข้ามา

เจ้าเลี้ยงสัตว์อสูรวิญญาณที่เป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กชื่อว่าเฉียนเยวี่ยใช่ไหม ?”

จี้เทียนซิงเริ่มคาดเดาบางอย่างได้เลือนราง

เขาพยักหน้ารับและกล่าวว่า “ถูกต้อง   แสดงว่าที่ท่านผู้ดูแลเซี่ยงมาหาข้าก็เพราะเฉียนเยวี่ย

?  เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ

?”

เซี่ยงหวู่พยักหน้า

“หนึ่งชั่วยามก่อนสัตว์เลี้ยงของเจ้าบุกเข้าไปในสวนหลิงโซ่วและสังหารสัตว์อสูรวิญญาณระดับสาม

!”