ตอนที่ 265

เทือกเขาหมอกเร้นลับ

จี้เทียนซิงหยิบเอาป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและมอบให้ผู้เฝ้าประตูทั้งสองคน

หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยพวกเขาก็เปิดประตูให้

ครืด....  ครืด......

ประตูเมืองสูงกว่าห้าเมตรค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ

จี้เทียนซิงก้าวข้ามประตูเมืองและเข้าไปในเมืองวิญญาณเพลิงเป็นครั้งแรก

เพียงเข้ามาในเมือง

เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏภาพถนนที่กว้างขวางและตรงไปสู่เมือง

เมืองนี้เป็นไปตามรูปแบบโครงสร้างเมืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อน จัตุรัสเมืองอยู่ตรงกลาง ถนนในเมืองทอดยาวมุ่งหน้าตรง

ทางข้ามและทางแยกมีการระบุป้ายบอกทางอย่างชัดเจน

ต่อให้เข้าเมืองมาเป็นครั้งแรก

ตราบใดที่ไม่งี่เง่าเกินไปย่อมไม่มีวันหลงทาง

จี้เทียนซิงเดินไปตามถนนและหันซ้ายหันขวามองสิ่งใหม่ๆที่แปลกตารอบๆ

ทั้งสองด้านของถนนเป็นบ้านเรือน

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือนสองถึงสามชั้น มีร้านขายโอสถเม็ดยา อาวุธอุปกรณ์

คัมภีร์ยุทธ์และร้านขายสัตว์อสูรและสัตว์วิญญาณ...

เขาเดินไปรอบๆเมืองกว่าครึ่งชั่วยามและรู้สึกว่าเมืองโบราณนี้มีความคล้ายคลึงกับเมืองของมนุษย์ทั่วๆไป

อย่างไรก็ตาม

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะเป็นคนเดินถนนทั่วไปก็ยังมีความสัมพันธ์กับวิทยายุทธ์อย่างใกล้ชิด

ยิ่งไปกว่านั้นในแต่ละด้านของเมืองวิญญาณเพลิงยังมีรูปปั้นของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งตะหง่านอยู่

รูปปั้นทั้งหมดสูงกว่าห้าเมตรและมีการแกะสลักที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

เหล่ารูปแกะสลักนั้นต่างก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป

เช่นชายชราผมขาว ชายวัยกลางคนถือไม้เท้าตลอดจนหญิงชราที่ดูโอบอ้อมอารี

จี้เทียนซิงรู้ว่ารูปปั้นโบราณเหล่านี้แกะสลักโดยช่างฝีมือของเมืองวิญญาณเพลิง

พวกมันคือรูปปั้นของบรรพบุรุษนิกายใหญ่ทั้งแปด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดของดินแดน

จี้เทียนซิงหยุดยืนมองอยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อซึมซับกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ของเหล่ายอดฝีมือยุคโบราณเหล่านั้น

มันเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่

เมืองวิญญาณเพลิงแห่งนี้จึงยังไม่คึกคักมากนัก ผู้คนยังคนหลับนอนอยู่ภายในที่พัก

ถนนนั้นเย็นและปลอดโปร่ง

ร้านค้าทั้งสองฝั่งยังไม่เปิดทำการ

จี้เทียนซิงเดินไปตามถนนสู่เมืองและคิดคำนวณภายในใจเงียบๆ

ข่าวและตำนานเกี่ยวกับลูกปัดแห่งดวงดาราได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในดินแดนดาราบรรพกาล

กองกำลังน้อยใหญ่และยอดฝีมือหลายคนต่างก็เคยได้ยินตำนานเล่าขานนี้โดยทั่วกัน

เมื่อข่าวการปรากฏขึ้นของมันเปิดเผยออกไป

ย่อมดึงดูดขุมกำลังทุกฝ่ายให้มาแย่งชิง ดังนั้นจี้เทียนซิงจะไม่เปิดเผยข่าวที่เกี่ยวข้องกับลูกปัดออกไปเด็ดขาด

เขาแค่ต้องการสอบถามเบาะแสเกี่ยวกับความลับในภาพวาดรูปนี้เท่านั้น

...........

เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอย่างช้าๆ

เมืองวิญญาณเพลิงที่หลับใหลก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา

ร้านค้าบนถนนทั้งสองฝั่งได้เปิดทำการ

ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากเริ่มออกมาเดินตามท้องถนน

ทั่วทั้งเมืองค่อยๆมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ

พ่อค้าแม่ขายเริ่มส่งเสียงร่ำร้องเรียกหาลูกค้า ผู้ฝึกยุทธ์ตามถนนเริ่มส่งเสียงเอะอะ

บ้างก็หัวเราะต่อกระซิบ บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความคึกครื้น

จี้เทียนซิงยังคงเดินเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองราวกับต้องการสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อถึงช่วงบ่าย

หลังจากที่ได้สอบถามข้อมูลมามากมายเขาก็รู้ว่าต้องไปที่หมู่ตึกป้าฟาง

ซึ่งหมู่ตึกแห่งนี้เป็นกองกำลังที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทุกชนิด

ชื่อของมันก็หมายถึงการมองไปยังถนนหนทางทั้งหกสายและสดับฟังเสียงจากทุกสารทิศ

(八方 ปาฝาง, ป้าฟาง

= แปดทิศ, ทุกสารทิศ)

หากเราต้องการทราบทุกเรื่องราวภายในดินแดนดาราบรรพกาลก็ย่อมต้องมาเยือนหมู่ตึกป้าฟาง

จี้เทียนซิงเดินไปตามการบอกทางของชาวยุทธ์บนท้องถนนและพบหมู่ตึกป้าฟางที่สุดถนนอันเงียบสงบสายหนึ่ง

มันคือเจดีย์แปดมุมที่มีความสูง

20 เมตร ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางและงดงามโอ่อ่า

เจดีย์ทั้งหมดเป็นสีทองเข้มและมีแสงสีทองเล็กๆที่สอดส่องออกมายามพระอาทิตย์ตกดิน

มุมทั้งแปดของเจดีย์ถูกจารึกไว้ด้วยรูปปั้นสัตว์วิญญาณแปดตัว

ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์วิญญาณที่ลึกลับหายาก

จี้เทียนซิงยืนอยู่บนถนนด้านนอกหมู่ตึกและกวาดสายตามองอยู่ครู่หนึ่ง

ในช่วงเวลานี้เขาเห็นชาวยุทธ์เดินเข้าเดินออกมากมายไม่ขาดสาย

ชาวยุทธ์ที่เข้าไปนั้นบ้างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

บ้างก็ตื่นเต้นวิตกกังวล ทว่าคนที่เดินออกมากลับเต็มไปด้วยแววตาเป็นประกายอย่างมีชีวิตชีวา

เมื่อเห็นฉากนี้จี้เทียนซิงก็ผุดยิ้มบางและก้าวเท้าเข้าไปในหมู่ตึกป้าฟางทันที

หลังจากข้ามผ่านประตูเข้าไปก็พบห้องโถงกว้างและสว่างตา

ทางด้านซ้ายของห้องโถงมีโต๊ะสูงตัวหนึ่ง

หลังโต๊ะมีเสมียนคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนไว้เคราแพะและใส่ผ้าโผกหัวยืนอยู่

ชาวยุทธ์สองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาไล่ๆกับจี้เทียนซิงก็เดินตรงไปที่โต๊ะสูงพลางสอบถามข้อมูล

เสมียนวัยกลางคนผู้นั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์พลางโบกสะบัดพัดขนเบาๆราวกับเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน

ในระหว่างที่บอกเล่าเรื่องราวให้ชายทั้งสองคนฟังอย่างช้าๆ

จี้เทียนซิงก้าวเท้าไปที่โต๊ะสูงทันทีแต่เขาก็ถูกขวางไว้ด้วยชายวัยกลางคนในชุดดำที่ดูแข็งแกร่งผู้หนึ่ง

ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นผู้ดูแลของหมู่ตึกป้าฟาง

เขากล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมโอ่อ่าว่า “สหายน้อย

เจ้ามาหมู่ตึกป้าฟางเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ ?

เจ้าคงมิทราบกฏข้อบังคับของหมู่ตึกเรากระมัง ?”

“ยามที่เหยียนเซียนเซิงสนทนากับแขกเหรื่อ

ห้ามผู้ใดเข้าไปใกล้เป็นอันขาด !”

จี้เทียนซิงตกตะลึงและรีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็วพลางอธิบายด้วยคำขอโทษว่า

“ข้าขออภัยด้วย

ข้าเพิ่งมาเยือนหมู่ตึกป้าฟางเป็นครั้งแรกจึงเผลอทำตัวเสียมารยาทไป

เช่นนั้นข้าจะยืนรอเหยียนเซียนเซิงก็แล้วกัน”

ชายกลางคนผู้นั้นพยักหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ

จากนั้นก็หันหลังจากไป

จี้เทียนซิงยืนกอดอกรอคอยอยู่ที่มุมห้องโถง

เมื่อเขาเห็นว่าชาวยุทธ์สองคนก่อนหน้านี้ที่เข้าไปถามข่าวเดินจากไป

เขาก็รีบไปที่โต๊ะสูงทันที

เหยียนเซียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยปากถามจี้เทียนซิงช้าๆว่า

“น้องชายท่านนี้

มิทราบว่าต้องการทราบข่าวสารเรื่องราวใดหรือ ?”

จี้เทียนซิงไม่พูดไร้สาระ

เขารีบนำภาพวาดขุนเขาลูกนั้นพร้อมกับหินวิญญาณหลายก้อนออกมาทันทีและยื่นไปที่โต๊ะสูงพลางกล่าวว่า

“ขออภัยด้วยเหยียนเซียนเซิง ข้าอยากทราบว่าภาพวาดนี้คือสถานที่ไหนหรือ

?”

เหยียนเซียนเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและหยิบภาพวาดขึ้นมาเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง

เขาเงยหน้าขึ้นมองจี้เทียนซิงอย่างระมัดระวัง

จากนั้นก็โบกพัดขนนกด้วยท่วงท่าสง่างามพลางกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “สหายน้อย ขุนเขาบนภาพวาดนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงยิ่งในโลกยุคโบราณ

มันมีชื่อว่าเทือกเขาหมอกเร้นลับ”

“เทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นไม่เพียงแค่เปี่ยมไปด้วยอันตรายและลึกลับ

แต่มันยังเต็มไปด้วยสัตว์อสูรและสัตว์ดุร้ายจำนวนมาก

อีกทั้งยังมีงูพิษหลากหลายชนิด รวมไปถึงอันตรายที่ไม่คาดคิดแฝงเร้นอยู่อีกมากมาย”

“นอกจากนี้บริเวณนั้นยังมีหมอกหนาปกคลุมมานานหลายปี

ต่อให้มองจากบนท้องฟ้าก็ไม่มีทางเห็นทิวทัศน์ที่ชัดเจนของเทือกเขาแห่งนี้ได้  หมอกที่นั่นแปลกประหลาดมาก มันสามารถปิดกั้นสัมผัสญาณและสัมผัสกายภาพได้อีกด้วย

เคยมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากบุกเข้าไปในเทือกเขานี้แต่ส่วนใหญ่ก็สิ้นชีพไปหมดแล้ว  หากเจ้าไม่มีแผนที่รายละเอียดของเทือกเขาหมอกเร้นลับ

เจ้าจะหลงทางอยู่ในนั้นและไม่มีวันกลับออกมาได้ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนชื่อของดินแดนแห่งนั้นเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง

แต่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้แม้แต่น้อย”

“เทือกเขาหมอกเร้นลับ........”

จี้เทียนซิงพึมพำชื่อสถานที่นี้และจดจำคำพูดของเหยียนเซียนเซิงเป็นอย่างดี

เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดอีกครั้งพลางถามต่อไปว่า

“เหยียนเซียนเซิง เช่นนั้นแล้วข้าจะหาแผนที่ของเทือกเขาหมอกเร้นลับได้จากที่ไหน ?”

เหยียนเซียนเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและสะบัดพัดขนนกกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เจ้าต้องไปที่จตุรัสตงเชินในเมือง จากนั้นไปหาเถ้าแก่บ่อนเหยี่ยวเวหา

ทั่วทั้งเมืองวิญญาณเพลิงอาจมีเพียงบุคลผู้นั้นเพียงผู้เดียวที่มีแผนที่เทือกเขาหมอกเร้นลับในครอบครอง  หากเขาไม่มีก็ไม่มีผู้ใดมีอีกแล้วบนโลกนี้”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวขอบคุณเหยียนเซียนเซิง

จากนั้นก็หันหลังเตรียมออกเดินทาง

“สหายน้อย ช้าก่อน !”

เหยียนเซียนเซิงร้องเรียกจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้มและกล่าวเสริมว่า

“อีกเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้า เถ้าแก่บ่อนเหยี่ยวเวหาไม่พบหน้าผู้คนง่ายๆ”

“สหายน้อย,

เจ้าต้องเข้าไปในตึกพนันเหยี่ยวเวหาเพื่อกระทำสิ่งหนึ่งเสียก่อน

เจ้าถึงจะมีสิทธิ์ขอพบคนผู้นั้น”