เทือกเขาหมอกเร้นลับ
จี้เทียนซิงหยิบเอาป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและมอบให้ผู้เฝ้าประตูทั้งสองคน
หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยพวกเขาก็เปิดประตูให้
ครืด.... ครืด......
ประตูเมืองสูงกว่าห้าเมตรค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ
จี้เทียนซิงก้าวข้ามประตูเมืองและเข้าไปในเมืองวิญญาณเพลิงเป็นครั้งแรก
เพียงเข้ามาในเมือง
เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏภาพถนนที่กว้างขวางและตรงไปสู่เมือง
เมืองนี้เป็นไปตามรูปแบบโครงสร้างเมืองของเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อน จัตุรัสเมืองอยู่ตรงกลาง ถนนในเมืองทอดยาวมุ่งหน้าตรง
ทางข้ามและทางแยกมีการระบุป้ายบอกทางอย่างชัดเจน
ต่อให้เข้าเมืองมาเป็นครั้งแรก
ตราบใดที่ไม่งี่เง่าเกินไปย่อมไม่มีวันหลงทาง
จี้เทียนซิงเดินไปตามถนนและหันซ้ายหันขวามองสิ่งใหม่ๆที่แปลกตารอบๆ
ทั้งสองด้านของถนนเป็นบ้านเรือน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือนสองถึงสามชั้น มีร้านขายโอสถเม็ดยา อาวุธอุปกรณ์
คัมภีร์ยุทธ์และร้านขายสัตว์อสูรและสัตว์วิญญาณ...
เขาเดินไปรอบๆเมืองกว่าครึ่งชั่วยามและรู้สึกว่าเมืองโบราณนี้มีความคล้ายคลึงกับเมืองของมนุษย์ทั่วๆไป
อย่างไรก็ตาม
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะเป็นคนเดินถนนทั่วไปก็ยังมีความสัมพันธ์กับวิทยายุทธ์อย่างใกล้ชิด
ยิ่งไปกว่านั้นในแต่ละด้านของเมืองวิญญาณเพลิงยังมีรูปปั้นของยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งตะหง่านอยู่
รูปปั้นทั้งหมดสูงกว่าห้าเมตรและมีการแกะสลักที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เหล่ารูปแกะสลักนั้นต่างก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป
เช่นชายชราผมขาว ชายวัยกลางคนถือไม้เท้าตลอดจนหญิงชราที่ดูโอบอ้อมอารี
จี้เทียนซิงรู้ว่ารูปปั้นโบราณเหล่านี้แกะสลักโดยช่างฝีมือของเมืองวิญญาณเพลิง
พวกมันคือรูปปั้นของบรรพบุรุษนิกายใหญ่ทั้งแปด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดของดินแดน
จี้เทียนซิงหยุดยืนมองอยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อซึมซับกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ของเหล่ายอดฝีมือยุคโบราณเหล่านั้น
มันเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่
เมืองวิญญาณเพลิงแห่งนี้จึงยังไม่คึกคักมากนัก ผู้คนยังคนหลับนอนอยู่ภายในที่พัก
ถนนนั้นเย็นและปลอดโปร่ง
ร้านค้าทั้งสองฝั่งยังไม่เปิดทำการ
จี้เทียนซิงเดินไปตามถนนสู่เมืองและคิดคำนวณภายในใจเงียบๆ
ข่าวและตำนานเกี่ยวกับลูกปัดแห่งดวงดาราได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในดินแดนดาราบรรพกาล
กองกำลังน้อยใหญ่และยอดฝีมือหลายคนต่างก็เคยได้ยินตำนานเล่าขานนี้โดยทั่วกัน
เมื่อข่าวการปรากฏขึ้นของมันเปิดเผยออกไป
ย่อมดึงดูดขุมกำลังทุกฝ่ายให้มาแย่งชิง ดังนั้นจี้เทียนซิงจะไม่เปิดเผยข่าวที่เกี่ยวข้องกับลูกปัดออกไปเด็ดขาด
เขาแค่ต้องการสอบถามเบาะแสเกี่ยวกับความลับในภาพวาดรูปนี้เท่านั้น
...........
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงอย่างช้าๆ
เมืองวิญญาณเพลิงที่หลับใหลก็ค่อยๆตื่นขึ้นมา
ร้านค้าบนถนนทั้งสองฝั่งได้เปิดทำการ
ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากเริ่มออกมาเดินตามท้องถนน
ทั่วทั้งเมืองค่อยๆมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ
พ่อค้าแม่ขายเริ่มส่งเสียงร่ำร้องเรียกหาลูกค้า ผู้ฝึกยุทธ์ตามถนนเริ่มส่งเสียงเอะอะ
บ้างก็หัวเราะต่อกระซิบ บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความคึกครื้น
จี้เทียนซิงยังคงเดินเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองราวกับต้องการสังเกตสถานการณ์อย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อถึงช่วงบ่าย
หลังจากที่ได้สอบถามข้อมูลมามากมายเขาก็รู้ว่าต้องไปที่หมู่ตึกป้าฟาง
ซึ่งหมู่ตึกแห่งนี้เป็นกองกำลังที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทุกชนิด
ชื่อของมันก็หมายถึงการมองไปยังถนนหนทางทั้งหกสายและสดับฟังเสียงจากทุกสารทิศ
(八方 ปาฝาง, ป้าฟาง
= แปดทิศ, ทุกสารทิศ)
หากเราต้องการทราบทุกเรื่องราวภายในดินแดนดาราบรรพกาลก็ย่อมต้องมาเยือนหมู่ตึกป้าฟาง
จี้เทียนซิงเดินไปตามการบอกทางของชาวยุทธ์บนท้องถนนและพบหมู่ตึกป้าฟางที่สุดถนนอันเงียบสงบสายหนึ่ง
มันคือเจดีย์แปดมุมที่มีความสูง
20 เมตร ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางและงดงามโอ่อ่า
เจดีย์ทั้งหมดเป็นสีทองเข้มและมีแสงสีทองเล็กๆที่สอดส่องออกมายามพระอาทิตย์ตกดิน
มุมทั้งแปดของเจดีย์ถูกจารึกไว้ด้วยรูปปั้นสัตว์วิญญาณแปดตัว
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์วิญญาณที่ลึกลับหายาก
จี้เทียนซิงยืนอยู่บนถนนด้านนอกหมู่ตึกและกวาดสายตามองอยู่ครู่หนึ่ง
ในช่วงเวลานี้เขาเห็นชาวยุทธ์เดินเข้าเดินออกมากมายไม่ขาดสาย
ชาวยุทธ์ที่เข้าไปนั้นบ้างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
บ้างก็ตื่นเต้นวิตกกังวล ทว่าคนที่เดินออกมากลับเต็มไปด้วยแววตาเป็นประกายอย่างมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นฉากนี้จี้เทียนซิงก็ผุดยิ้มบางและก้าวเท้าเข้าไปในหมู่ตึกป้าฟางทันที
หลังจากข้ามผ่านประตูเข้าไปก็พบห้องโถงกว้างและสว่างตา
ทางด้านซ้ายของห้องโถงมีโต๊ะสูงตัวหนึ่ง
หลังโต๊ะมีเสมียนคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนไว้เคราแพะและใส่ผ้าโผกหัวยืนอยู่
ชาวยุทธ์สองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาไล่ๆกับจี้เทียนซิงก็เดินตรงไปที่โต๊ะสูงพลางสอบถามข้อมูล
เสมียนวัยกลางคนผู้นั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์พลางโบกสะบัดพัดขนเบาๆราวกับเป็นบัณฑิตคงแก่เรียน
ในระหว่างที่บอกเล่าเรื่องราวให้ชายทั้งสองคนฟังอย่างช้าๆ
จี้เทียนซิงก้าวเท้าไปที่โต๊ะสูงทันทีแต่เขาก็ถูกขวางไว้ด้วยชายวัยกลางคนในชุดดำที่ดูแข็งแกร่งผู้หนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นผู้ดูแลของหมู่ตึกป้าฟาง
เขากล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมโอ่อ่าว่า “สหายน้อย
เจ้ามาหมู่ตึกป้าฟางเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ ?
เจ้าคงมิทราบกฏข้อบังคับของหมู่ตึกเรากระมัง ?”
“ยามที่เหยียนเซียนเซิงสนทนากับแขกเหรื่อ
ห้ามผู้ใดเข้าไปใกล้เป็นอันขาด !”
จี้เทียนซิงตกตะลึงและรีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็วพลางอธิบายด้วยคำขอโทษว่า
“ข้าขออภัยด้วย
ข้าเพิ่งมาเยือนหมู่ตึกป้าฟางเป็นครั้งแรกจึงเผลอทำตัวเสียมารยาทไป
เช่นนั้นข้าจะยืนรอเหยียนเซียนเซิงก็แล้วกัน”
ชายกลางคนผู้นั้นพยักหน้าและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
จากนั้นก็หันหลังจากไป
จี้เทียนซิงยืนกอดอกรอคอยอยู่ที่มุมห้องโถง
เมื่อเขาเห็นว่าชาวยุทธ์สองคนก่อนหน้านี้ที่เข้าไปถามข่าวเดินจากไป
เขาก็รีบไปที่โต๊ะสูงทันที
เหยียนเซียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ยปากถามจี้เทียนซิงช้าๆว่า
“น้องชายท่านนี้
มิทราบว่าต้องการทราบข่าวสารเรื่องราวใดหรือ ?”
จี้เทียนซิงไม่พูดไร้สาระ
เขารีบนำภาพวาดขุนเขาลูกนั้นพร้อมกับหินวิญญาณหลายก้อนออกมาทันทีและยื่นไปที่โต๊ะสูงพลางกล่าวว่า
“ขออภัยด้วยเหยียนเซียนเซิง ข้าอยากทราบว่าภาพวาดนี้คือสถานที่ไหนหรือ
?”
เหยียนเซียนเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและหยิบภาพวาดขึ้นมาเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองจี้เทียนซิงอย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็โบกพัดขนนกด้วยท่วงท่าสง่างามพลางกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “สหายน้อย ขุนเขาบนภาพวาดนี้เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงยิ่งในโลกยุคโบราณ
มันมีชื่อว่าเทือกเขาหมอกเร้นลับ”
“เทือกเขาหมอกเร้นลับนั้นไม่เพียงแค่เปี่ยมไปด้วยอันตรายและลึกลับ
แต่มันยังเต็มไปด้วยสัตว์อสูรและสัตว์ดุร้ายจำนวนมาก
อีกทั้งยังมีงูพิษหลากหลายชนิด รวมไปถึงอันตรายที่ไม่คาดคิดแฝงเร้นอยู่อีกมากมาย”
“นอกจากนี้บริเวณนั้นยังมีหมอกหนาปกคลุมมานานหลายปี
ต่อให้มองจากบนท้องฟ้าก็ไม่มีทางเห็นทิวทัศน์ที่ชัดเจนของเทือกเขาแห่งนี้ได้ หมอกที่นั่นแปลกประหลาดมาก มันสามารถปิดกั้นสัมผัสญาณและสัมผัสกายภาพได้อีกด้วย
เคยมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากบุกเข้าไปในเทือกเขานี้แต่ส่วนใหญ่ก็สิ้นชีพไปหมดแล้ว หากเจ้าไม่มีแผนที่รายละเอียดของเทือกเขาหมอกเร้นลับ
เจ้าจะหลงทางอยู่ในนั้นและไม่มีวันกลับออกมาได้ เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนชื่อของดินแดนแห่งนั้นเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง
แต่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าเฉียดกรายเข้าไปใกล้แม้แต่น้อย”
“เทือกเขาหมอกเร้นลับ........”
จี้เทียนซิงพึมพำชื่อสถานที่นี้และจดจำคำพูดของเหยียนเซียนเซิงเป็นอย่างดี
เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดอีกครั้งพลางถามต่อไปว่า
“เหยียนเซียนเซิง เช่นนั้นแล้วข้าจะหาแผนที่ของเทือกเขาหมอกเร้นลับได้จากที่ไหน ?”
เหยียนเซียนเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและสะบัดพัดขนนกกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าต้องไปที่จตุรัสตงเชินในเมือง จากนั้นไปหาเถ้าแก่บ่อนเหยี่ยวเวหา
ทั่วทั้งเมืองวิญญาณเพลิงอาจมีเพียงบุคลผู้นั้นเพียงผู้เดียวที่มีแผนที่เทือกเขาหมอกเร้นลับในครอบครอง หากเขาไม่มีก็ไม่มีผู้ใดมีอีกแล้วบนโลกนี้”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวขอบคุณเหยียนเซียนเซิง
จากนั้นก็หันหลังเตรียมออกเดินทาง
“สหายน้อย ช้าก่อน !”
เหยียนเซียนเซิงร้องเรียกจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้มและกล่าวเสริมว่า
“อีกเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้า เถ้าแก่บ่อนเหยี่ยวเวหาไม่พบหน้าผู้คนง่ายๆ”
“สหายน้อย,
เจ้าต้องเข้าไปในตึกพนันเหยี่ยวเวหาเพื่อกระทำสิ่งหนึ่งเสียก่อน
เจ้าถึงจะมีสิทธิ์ขอพบคนผู้นั้น”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved