ตอนที่ 292

จักรพรรดินีปีศาจหมิงเย่วและเทพกระบี่

นับแต่สมัยโบราณมีการเล่าขานกันว่ามังกรมีบุตรทั้งหมดเก้าตน

แต่ละตนล้วนผิดแผกแตกต่าง

บุตรชายคนที่หกมีนามว่าปี้ซี่

ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามทรราช

รูปร่างของมันนั้นเหมือนกับเต่า

แต่ปากของมันมีฟันแหลมคมที่สามารถกลืนภูเขาและแม่น้ำได้

ตำนานเล่าว่ามันมีพลังอำนาจและความแข็งแกร่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มักจะนั่งยองๆในภูเขาและแม่น้ำทำให้คลื่นในแม่น้ำและทะเลสาบพลิกคว่ำและเกิดน้ำท่วม

ในสมัยโบราณมีเทพองค์หนึ่งได้มองเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์และผู้คนได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ

เทพองค์นั้นที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาก็เข้ามาควบคุมจัดการตระกูลมังกร

เทพบรรพกาลองค์นั้นมีบัญชาให้บุตรมังกรเพื่อเบิกภูผา

ขุดแม่น้ำเพื่อกรุยทางมิให้เกิดอุทกภัยขึ้น

หลังจากหลายปีผ่านไปอุทกภัยท่วมโลกก็ถูกแก้ไขได้ในที่สุด

ชาวประชาสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสุขสงบต่อไป

แน่นอนว่าจี้เทียนซิงย่อมรู้จักตำนานนี้

แต่มันเป็นเพียงตำนานเล่าขานและดูไม่น่าเชื่อถือ

แต่ในห้องโถงอันเก่าแก่คร่ำครึและงดงามแห่งนี้

สิ่งที่เขาเห็นกับตาก็คือเต่ามังกรแบกศิลาที่เล่าขานกันในตำนานเรื่องนั้น

ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น

เขาก้าวข้ามบันไดที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเดินไปที่ด้านหน้าของเต่ามังกรและจ้องมองแผ่นศิลาที่ด้านหลังของมัน

แผ่นศิลาทำจากหินสีดำเข้มและเยือกเย็น

มันถูกจารึกด้วยไว้อักขระโบราณ

คำเหล่านั้นแปลกประหลาดมากมันเหมือนเป็นสัญลักษณ์บิดเบี้ยวและมีการเย็บปะติดปะต่อกันสองสามชิ้น

จี้เทียนซิงสังเกตอักษรโบราณเหล่านี้อยู่ครู่หนึ่งและพบว่ามันมิใช่ภาษาของเผ่าพันธุ์มนุษย์

เขาเต็มไปด้วยความสงสัย

แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ได้เห็นว่าดวงตาของมันส่องแสงสีเขียวอ่อนๆ

วิ้ง  วิ้ง !

ความผันผวนของชีวิตและน้ำเสียงอันหนักอึ้งประดังเข้ามาในใจของเขาทันที

“พันปี !   ผ่านไปนับพันปี ในที่สุดก็มีคนมาที่นี่จนได้

!”

เสียงต่ำและแหบพร่าเต็มไปด้วยมวลอารมณ์ที่ทอดถอน

“!?”

จี้เทียนซิงสะดุ้งโหยงและตื่นตัวในทันที

เขาจ้องมองเต่ามังกรหินเบื้องหน้าและถามอย่างไม่รู้ตัวว่า “นี่เจ้ากำลังพูดอยู่หรือ ?”

ถึงแม้มันยากที่จะเข้าใจยาก

แต่รูปปั้นแกะสลักเต่าหินที่ไร้ชีวิตจะสามารถพูดได้อย่างไร ?

ใจคิดเช่นนั้นแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพบในเทือกเขาหมอกเร้นลับก็ล้วนแล้วแต่จะลึกลับและน่าเหลือเชื่อทั้งสิ้น

ห้องโถงใหญ่ในวิหารโบราณแห่งนี้ยังเผยให้เห็นถึงบรรยากาศลึกลับชนิดหนึ่ง

ดังนั้นเอาเข้าจริงแล้วต่อให้เต่าหินตัวนี้พูดได้จริงเขาก็ไม่ตกใจหรือแปลกใจเท่าใดแล้ว

แสงสีเขียวอ่อนในดวงตาของเต่ากระพริบขึ้นและเสียงต่ำแหบห้าวก็ดังกึกก้องอยู่ในหัวของเขาต่อไปว่า

“เจ้าหนู เจ้าเป็นบุคลแรกที่เข้ามาในวิหารโบราณแห่งดวงดาวหลังจากผ่านมาพันปี นับว่าเจ้าเป็นคนมีวาสนาและโชคลาภที่พิเศษมาก !”

จี้เทียนซิงโน้มศีรษะลงเล็กน้อยและพยักหน้าให้เต่าหินเป็นการคารวะ

เขารู้ว่าเต่าหินตัวนี้กำลังพูดกับเขาด้วยการส่งผ่านเสียงทางจิตวิญญาณ

เขาถามไปว่า “ผู้อาวุโส ท่านคือ……”

ดวงตาของเต่ากระพริบอย่างสดใสและส่งเสียงวิญญาณสะท้อนตอบกลับไปว่า

“ข้า ?  ก็แค่ทาสบริวารเก่าที่คอยปกปักษ์รักษาวิหารโบราณแห่งดวงดาว ตอนนี้ข้าเหลือเพียงจิตวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น”

“เด็กน้อย เจ้าเข้ามาในวิหารโบราณแห่งดวงดาวได้นับว่าเป็นโชคชะตา เสี้ยวจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ของข้าถูกเจ้าปลุกให้ตื่นขึ้นและมิอาจดำรงอยู่ได้นานนัก

อีกไม่นานข้าจะสูญสลายกลับคืนสู่ฟ้าดิน”

“ข้ารับรู้ได้ว่าวิญญาณของเจ้าเต็มไปด้วยความสงสัย หากเจ้ามีคำถามใดๆจงถามมาโดยพลัน หากข้ารู้ข้าจะพยายามตอบเจ้าให้ดีที่สุด”

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะและกล่าวด้วยความจริงใจว่า

“ขอบพระคุณท่านมากแล้วผู้อาวุโส !”

“ผู้อาวุโส ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ?  ใช่อยู่ในทะเลสาบจันทร์เต็มดวงหรือไม่ ?”

เต่าหินกระซิบอย่างเฉือยชาว่า

“ที่นี่คือโถงในวิหารแห่งดวงดาว มันอยู่ก้นทะเลสาบจันทร์เต็มดวงที่ได้รับการปกป้องจากข่ายอาคมสรรพดารา

มีเพียงผู้ที่มีความสามารถและวาสนาเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและเข้าใจในทันที

เขาคาดเดาได้ว่าเหตุผลที่เขาสามารถเข้ามาในวิหารโบราณแห่งนี้ได้อาจเกี่ยวข้องกับการหายไปจนแห้งเหือดของทะเลสาบจันทร์เต็มดวง

ชายหนุ่มไม่เสียเวลาและถามต่อไปว่า

“ผู้อาวุโส

เช่นนั้นเจ้าของวิหารแห่งนี้คือใครหรือ ?”

น้ำเสียงของเต่าหินไต่ระดับขึ้นและตอบอย่างน่าเกรงขามว่า

“เจ้านายของข้ามีฉายาว่าจักรพรรดินีปีศาจหมิงเย่ว

นางเป็นสุดยอดฝีมือของทวีปลมปราณฟ้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและเป็นหนึ่งในหกจักรพรรดิของเผ่าพันธุ์ปีศาจ  วิหารโบราณแห่งดวงดาวแห่งนี้เป็นวังชั่วคราวของเจ้านายข้า”

ยอดฝีมือของเผ่าปีศาจและเผ่าอสูรที่มีพลังในขอบเขตปราณฟ้า

เพียงถูกขนานนามว่าราชาปีศาจหรือราชาอสูร

มีเพียงผู้ที่ทะลวงขีดขั้นปราณฟ้าขึ้นไปและบรรลุด่านพลังที่ทรงพลังยิ่งกว่าถึงจะถูกขนานนามว่าจักรพรรดิ

จักรพรรดินีปีศาจหมิงเย่วซึ่งเป็นเจ้าของวิหารโบราณแห่งนี้มีฉายานำหน้าว่าจักรพรรดิ

ดังนั้นนางย่อมมีพลังยุทธ์ที่เหนือล้ำกว่าขอบเขตปราณฟ้า ซึ่งความรู้นี้ทำให้จี้เทียนซิงรู้สึกตกใจเล็กน้อย

เขาถามอีกครั้ง

“ผู้อาวุโส ข้ามาถึงทะเลสาบจันทร์เต็มดวงแห่งนี้อย่างยากลำบาก

สิ่งที่ข้ากำลังตามหาก็คือลูกปัดแห่งดวงดาราในตำนาน”

“ก่อนหน้านี้ข้าบังเอิญพบตำราโบราณเก่าแก่เล่มหนึ่ง

ในนั้นบันทึกไว้ว่าทะเลสาบจันทร์เต็มดวงที่อยู่ในเทือกเขาหมอกเร้นลับเคยปรากฏกลิ่นอายของลูกปัด....

ไม่ทราบว่ามันอยู่ที่ไหนตอนนี้ ?”

“…….”

เต่าหินเงียบไปครู่หนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า

“เด็กน้อยเรื่องนี้พูดไปแล้วมันยาว

แต่ข้าจะเล่ารวบรัดให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”

“เจ้านายของข้า จักรพรรดินีปีศาจหลิงเย่วได้รับลูกปัดแห่งดวงดารามาจริง

มันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่ามิได้ มันชวนนางให้นึกถึงเทพกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรผู้นั้น"

“อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่เจ้านายของข้าครอบครองลูกปัด

ยอดฝีมือเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งได้ทราบข่าวนี้จึงบุกเข้ามาในวิหารและนำลูกปัดออกไป”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็รู้สึกงงงวยมากขึ้นและถามผ่านจิตใต้สำนึกว่า

“ผู้อาวุโส จักรพรรดินีปีศาจหลิงเย่วและเทพกระบี่.....มีความสัมพันธ์อะไรหรือ ?”

น้ำเสียงของเต่าหินกล่าวเป็นหนักอึ้งและซับซ้อนยิ่งขึ้น

มันกล่าวตอบว่า “เจ้านายของข้าคือเหนือหัวแห่งเผ่าปีศาจ นอกจากนี้นางยังเป็นนางเซียนหญิงของชาติพันธุ์

ครั้งหนึ่งนางได้พบกับเทพกระบี่ที่ทวีปตะวันตกและเกิดตกหลุมรักเข้า

นางตามเขาไปที่นั่น”

“ทว่า เทพกระบี่มิใช่สามัญชนธรรมดา

เขาคือตัวตนพิเศษยิ่ง คนอย่างเขาจะมาตกหลุมรักเม็ดฝุ่นสีแดงบนโลกหรือไร ? น่าเศร้า เจ้านายข้าตกหลุมรักและเต็มไปด้วยความหลงใหล แต่สุดท้ายเรื่องของพวกเขาก็จบลงอย่างไร้ความหวัง

โดดเดี่ยวเดียวดาย  เหอๆ....”

เมื่อกล่าวถึงตอนนี้เต่าหินก็ถอนหายใจ

จี้เทียนซิงพยักหน้าเล็กน้อยและจดจำเรื่องความสัมพันธ์นี้ไว้ในใจ

เขาถามต่อไปว่า “ผู้อาวุโส เช่นนั้นแล้วเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้แข็งแกร่งที่ช่วงชิงลูกปัดแห่งดวงดาราไปเป็นใครกัน

?”

เต่าหินตอบอย่างไม่ลังเลว่า

“ชายผู้นี้เรียกตนเองว่าเย่หวง (จักรพรรดิเย่)

มันเคยถูกเทพกระบี่ชี้แนะและอ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดของเทพกระบี่ คนผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงอย่างมากในดินแดนดาราบรรพกาล

มันทิ้งตำนานเล่าขานให้ชนรุ่นหลังเอาไว้มากมาย”

“เย่หวง ? ผู้สืบทอดของเทพกระบี่

?” จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นและเบิกตากว้าง  เขานึกถึงสุสานพันปีใต้ภูเขามังกรขึ้นมาทันที

เขาโน้มตัวลงเล็กน้อยและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ผู้อาวุโส ไม่นานมานี้ข้าได้พบหลุมฝังศพและสุสานโบราณใต้ภูเขามังกร สุสานโบราณแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นของผู้สืบทอดของเทพกระบี่, สุสานของเย่หวง

ภายในสุสานนั่นมีมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ปกป้องเอาไว้อยู่”

จี้เทียนซิงบอกเล่าสถานการณ์และข้อมูลของสุสานใต้ภูเขามังกรให้เต่าหินได้ฟังอย่างละเอียด

เต่าหินนิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งและกล่าวต่อไปว่า

“เด็กน้อย หากสุสานแห่งนั้นคือสุสานของเย่หวงจริง

ลูกปัดแห่งดวงดาราก็ย่อมอยู่ที่นั่น”

“ส่วนเรื่องมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่ปกป้องสุสานโบราณเอาไว้ได้นานนับพันปี.....นั่น

ด้วยความรู้ความเข้าใจของผู้ฝึกยุทธ์ในยุคปัจจุบันก็นับว่าเป็นการยากที่จะเข้าใจและทำลายมัน”

“อย่างไรก็ตาม

ข้าจะสอนวิธีทำลายมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นั่นให้เจ้า ช่วยให้เจ้าสามารถเข้าสู่สุสานของเย่หวงได้

!”

***

อ้าวตกลงเป็นตัวโกงเหรอ.....ขโมยของไปดองในสุสาน

明月 หมิงเยว่  หมิงแปลว่า กระจ่างหรือสดใส  เย่ว หรือ เยวี่ย แปลว่าจันทราหรือดวงจันทร์