ตอนที่ 232

ตำหนักเทียนซิง

จี้เทียนซิงติดตามเซี่ยงหวู่จี้ไปยังตำหนักไท่อัน ในใจครุ่นคิดไปว่าเซี่ยงหวู่จี้น่าจะมอบเม็ดยา

ผลไม้วิญญาณหรือไม่ก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาอื่นใดให้

โดยไม่คาดคิด

เซี่ยงหวู่จี้มิได้ส่งมอบสิ่งของใดๆให้

เพียงแค่บอกให้นำเฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลงออกมา

จี้เทียนซิงคาดเดาเจตนาของอีกฝ่ายไม่ออก

แต่มันก็พยักหน้าและนำเฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลงออกมาจากถุงมิติ

จากนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็บอกให้มันรออยู่ในห้องโถงและเดินเข้าไปในห้องลับพร้อมเฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลง

ชายหนุ่มรอคอยอย่างอดทนโดยการใช้เวลาว่างตรวจสอบสมบัติในแหวนมิติที่ได้รับมาในวันนี้

เขาหยิบแหวนหยกสีดำที่ได้จากฉู่เทียนเซิงออกมาและสำรวจดูจนพบว่าภายในแหวนนี้มีหินวิญญาณที่ส่องแสงเจิดจ้ายี่สิบชิ้น

ยาหยกขาวสิบกว่าเม็ด นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยสมบัติวิเศษที่ช่วยในการบ่มเพาะและยาฟื้นฟูหลากหลายประเภท

นอกจากนี้ยังมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะอีกมากมายซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเคล็ดวิชาระดับล้ำลึก

ซึ่งเคล็ดวิชาเหล่านี้มีสี่ชนิด

วิธีการทำสมาธิ, เคล็ดวิชากระบี่, เคล็ดวิชาตัวเบาและเคล็ดวิชาปรับแต่งร่างกาย

ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาใดก็ล้วนมีราคา

อีกทั้งหินวิญญาณและเม็ดยาทั้งหลายก็ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าเช่นกัน

จี้เทียนซิงประเมินคร่าวๆว่าของขวัญที่ฉู่เทียนเซิงมอบให้มันนี้

หากคิดเป็นค่าเงินของโลกภายนอกก็เป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อ

ท้ายที่สุดแล้ว

โลกของผู้ฝึกยุทธ์ก็แตกต่างจากโลกฆราวาส การสื่อสารแลกเปลี่ยนระหว่างจอมยุทธ์ด้วยกันมักจะใช้เม็ดยาและหินวิญญาณแทนเงินตรา

ส่วนทองคำและเงินนั้นสามารถใช้ได้เพียงในโลกฆราวาสเท่านั้น

จี้เทียนซิงเก็บสมบัติทั้งหมดลงไปในแหวนมิติ

เขาเผยรอยยิ้มที่มุมปากและขบคิดในใจลับๆว่า “ของขวัญรับศิษย์ของท่านอาจารย์นี่ยอดเยี่ยมนัก

ท่านคิดคำนวณอย่างรอบคอบถึงสิ่งของจำเป็นที่ข้าต้องใช้ในภายภาคหน้า”

“น่าเสียดาย

ข้าบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ได้เพียงอย่างเดียว เคล็ดวิชาข้าก็ฝึกเพลงกระบี่ดาราเหิน

ส่วนวิชาตัวเบาข้าก็มีย่างก้าวไร้เงาแล้ว"

“แม้แต่เคล็ดวิชาปรับแต่งกายาที่ท่านอาจารย์ให้มาข้าก็คงไม่ได้มีโอกาสได้ฝึก

เพราะวิถีใจกระบี่เป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการปรับแต่งร่างกายของข้าแล้ว”

นับตั้งแต่ที่จี้เทียนซิงฝึกฝนวิถีใจกระบี่

เขาเริ่มด้วยการควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ จากนั้นก็บรรเทาชีพจรกระบี่และตามด้วยจุดฝังเข็ม

กระบวนการเหล่านี้ทำให้ความแกร่งของร่างกายของเขาเกินกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตเดียวกัน

และด้วยเหตุผลนี้

เคล็ดวิชาทั้งสี่ชนิดที่ฉู่เทียนเซิงมอบให้มาเป็นของขวัญ เขาจึงไม่มีโอกาสได้ใช้พวกมันอย่างน่าเสียดาย

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม

จี้เทียนซิงก็มองทรัพย์สมบัติทั้งหมดในแหวนมิติ ตอนนี้เขามีหินวิญญาณร้อยก้อน วัสดุอุปกรณ์ระดับล้ำลึกมากกว่าสามร้อยชิ้น

ซึ่งเป็นสมุนไพรและวัสดุต่างๆกว่าสิบประเภท

ทรัพยากรบ่มเพาะเหล่านี้เพียงพอให้ใช้ไปถึงปีหน้า

หลังจากจี้เทียนซิงรอคอยกว่าหนึ่งชั่วยาม

ในที่สุดเซี่ยงหวู่จี้ก็เดินออกมาจากห้องลับและมาที่ห้องโถง

เซี่ยงหวู่จี้มีสีหน้าสงบราบเรียบราวกับว่าไม่มีผิดปกติ

แต่ทว่าจี้เทียนซิงสามารถสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ทันใดนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ไอ้หนู ข้าง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะ

รออีกครึ่งชั่วยามเจ้าค่อยไปที่ห้องลับแล้วพาเด็กน้อยทั้งสองกลับไป”

จี้เทียนซิงรีบกล่าวขอบคุณเซี่ยงหวู่จี้อย่างรวดเร็วและใช้สายตาส่งอีกฝ่ายกลับไป

หลังจากรอถึงครึ่งชั่วยามแล้วเขาก็ไปที่ห้องลับด้วยความสงสัย

และเห็นว่าเฉียนเยวี่ยกับเสี่ยวเฮยหลงกำลังนอนหลับอยู่บนพื้น

ขนาดของพวกมันทั้งสองเพิ่มขึ้นหลายเท่าอย่างเห็นได้ชัด

มันเต็มไปด้วยน้ำแข็งสีฟ้าที่เปล่งประกายสดใส

รัศมีพลังรอบๆตัวของมันเต็มไปด้วยพลังปราณที่ยังคงผันผวน

ก่อนหน้านี้เฉียนเยวี่ยมีขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่ง

แต่บัดนี้มันเติบใหญ่ขึ้นจนมีขนาดใหญ่กว่าสามเมตร !

ส่วนเสี่ยวเฮยหลงก่อนหน้านี้ยาวเพียงสามเมตร

และตอนนี้มันยาวถึงหกเมตร อีกทั้งขนาดตัวก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

เมื่อเห็นภาพนี้จี้เทียนซิงก็เข้าใจได้ในทันที

ในใจของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกซาบซึ้ง

“ข้าเดาไม่ผิดไปเลยจริงๆ

ของขวัญที่ผู้อาวุโสมอบให้ข้าก็คือการช่วยให้พลังของเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงฟื้นฟูกลับมา

!”

“ถึงแม้อาวุโสเซี่ยงมักจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวชอบลงไม้ลงมือและหัวร้อนเป็นที่สุด

แต่การดูแลเอาใจใส่ที่เขามีให้ข้านั้นก็นับว่าละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันมาก....”

หลังจากนั้นไม่นานเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงก็ตื่นขึ้น

เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิง พวกมันก็ล้อมรอบเขาด้วยความตื่นเต้นพลางกล่าวว่า

“สหายจี้ เจ้าดูซี่ ! ในที่สุดพลังความสามารถของข้าก็ฟื้นฟูกลับคืนมาได้สามส่วนแล้ว

ตาเฒ่าเซี่ยงนั่นสุดยอดมาก !”

เสี่ยวเฮยหลงก็พยักหน้าเช่นกันและกล่าวว่า

“สหายจี้ความดีความชอบนี้ต้องยกให้อาวุโสเซี่ยง

เขาใช้เวลาไม่นานก็ฟื้นฟูพลังของข้ากลับมาถึงสามส่วน”

จี้เทียนซิงมองไปที่สีหน้าตื่นเต้นยินดีของเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลง

เขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวเตือนว่า

“การที่พวกเจ้าฟื้นพลังได้รวดเร็วเช่นนี้ก็เพราะความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเซี่ยง

จงจำไว้ให้ดี ต่อไปพวกเจ้าต้องเคารพเชื่อฟังเขา เข้าใจไหม ?”

เฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงพยักหน้ารับคำและเต้นแร้งเต้นกาภายในห้องลับด้วยความดีใจ

ตอนนี้ด้วยสถานะศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย

จี้เทียนซิงจึงสามารถนำพวกมันทั้งสองไปไหนมาไหนได้โดยไม่จำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป

เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกมันมีขนาดใหญ่เกินไป

ดังนั้นเขาจึงบอกให้พวกมันลดขนาดตัวลง

เสี่ยวเฮยหลงแปลงกายกลับเป็นกระบี่มังกรดำ

ส่วนเฉียนเยวี่ยเปล่งแสงสีน้ำเงินและย่อขนาดร่างกายกลับมาหดเหลือเท่าลูกแมวทันที

มันหันไปมองจี้เทียนซิงด้วยดวงตาที่กระจ่างใสและแสดงสีหน้าน่าสงสาร

จากนั้นก็กล่าวกึ่งอ้อนว้อนว่า “สหายจี้

ข้ายังไม่กลับเข้าถุงมิติได้เปล่า ?”

“ตอนนี้เจ้าก็เป็นถึงลูกศิษย์สายตรงของประมุขนิกายที่มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง

ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าหากเดินไปเดินมาในนิกายสมควรไม่มีปัญหา

ข้ารับรองว่าจะไม่ละเมิดกฏให้เจ้าต้องเดือดร้อน”

“ข้าอยู่ในอาณาเขตของนิกายนี้มานานแล้วแต่ยังไม่เคยเห็นทิวทัศน์รอบๆนิกายเลย

ขอข้าออกไปบินเล่นยืดเส้นยืดสายบ้างนะ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและตกลง

เขาเก็บกระบี่มังกรดำไว้ในแหวนมิติ

จากนั้นก็พาเฉียนเยวี่ยออกจากห้องลับและตำหนักไท่อัน

เมื่อได้รับอิสระ

เฉียนเยวี่ยก็กระพือปีกบินไปบินมารอบๆแต่ก็ยังหันมามองจี้เทียนซิงเป็นครั้งคราว

มันได้เข้ามาอยู่ในนิกายพันธมิตรสวรรค์พร้อมกับจี้เทียนซิงเป็นเวลานานแล้ว

นี่เป็นครั้งแรกที่มันปรากฏตัวอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ

แน่นอนว่ามันย่อมเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

มันบินขึ้นบินลงพลางถามจี้เทียนซิงตลอดทาง

หลังจากออกจากตำหนักไท่อัน

ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเมฆาสีชาดและผ่านเข้าไปในวิหารที่ฉู่เทียนเซิงพักอาศัยอยู่

ในตอนท้ายของพิธีกราบอาจารย์

ฉู่เทียนเซิงได้บอกแก่มันว่าเสร็จเรื่องแล้วให้มาพบที่นี่เพราะมีเรื่องอื่นที่ต้องอธิบาย

จี้เทียนซิงยืนรออยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นฉู่เทียนเซิงก็พุ่งออกมา

“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์” จี้เทียนซิงคุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อม

ฉู่เทียนเซิงนั่งลงบนเก้าอี้และผงกศีรษะเล็กน้อย

“ลุกขึ้นเถอะ”

“เทียนซิง ในเมื่อพิธีกราบอาจารย์จบลงแล้ว

พรุ่งนี้ให้เจ้าเก็บข้าวของไปที่ฝ่ายใน

จากนั้นตามหาอาวุโสผู้ดูแลกิจการฝ่ายในเพื่อรายงานตัว"

“เจ้าย้ายออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นของฝ่ายนอก

แน่นอนว่าต้องมีตำหนักส่วนตัว อาจารย์ได้จัดเตรียมที่พักให้เจ้าแล้ว

ตำหนักเล็กของฝ่ายในที่ไร้เจ้าของหลังหนึ่งได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักเทียนซิง”

“นับแต่นี้ไปตำหนักเทียนซิงเป็นบ้านและอาณาเขตส่วนตัวของเจ้า

นอกจากนี้อาจารย์ยังได้จัดเตรียมสาวใช้หนึ่งคน,ศิษย์รับใช้สองคนเพื่อคอยดูแลรับผิดชอบภายในตำหนักเทียนซิงและการกินอยู่ในชีวิตประจำวันของเจ้า”

ฉู่เทียนเซิงมีสีหน้าสงบราบเรียบและกล่าวอธิบายต่อชายหนุ่ม

จี้เทียนซิงรับฟังอย่างเงียบงันจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบก็เผยรอยยิ้มและกล่าวขอบคุณว่า

“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่จัดเตรียมความเป็นอยู่อย่างรอบคอบให้ศิษย์ขอรับ”