ของขวัญชิ้นใหญ่ที่เตรียมให้เจ้า
จี้เทียนซิงกวาดของขวัญจากเหล่าผู้อาวุโสและคนอื่นๆใส่ไว้ในแหวนมิติ
จนถึงปีหน้าเขาคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรบ่มเพาะอีกแล้ว
เนื่องจากของกำนัลส่วนใหญ่ที่คนเหล่านี้มอบให้ล้วนเป็นเม็ดยา, สมุนไพรและหินวิญญาณอีกเล็กน้อย
สิ่งของเหล่านี้จี้เทียนซิงจดจำได้เป็นอย่างดี
เขาสามารถคำนวณปริมาณที่ต้องใช้ตลอดปีและมูลค่าโดยประมาณได้
มีเพียงของขวัญของฉู่เทียนเซิงเท่านั้นที่บรรจุอยู่ในหยกสีดำและไม่รู้ว่าเป็นสมบัติอะไร
ภายในห้องโถงหลักนั้นแออัดไปด้วยผู้คนและจี้เทียนซิงก็ไม่อาจสำรวจได้ว่าของสิ่งนั้นมีอะไรอยู่ข้างใน
แต่สิ่งที่เขามั่นใจและคาดเดาได้ก็คือ
ของขวัญจากมือของฉู่เทียนเซิงนั้นย่อมล้ำค่ายิ่ง
มันสมควรล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญจากเหล่าผู้อาวุโส
.......
หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลตลอดจนสมาชิกต่างๆของนิกายล้วนมอบของขวัญให้จี้เทียนซิงครบหมดแล้ว
ตอนนี้ก็ถึงตาของเหล่าศิษย์ที่เหลือ
เป็นที่น่าสนใจว่า
ยกเว้นเพียงของขวัญแสดงความยินดีของหัวหน้าศิษย์หยุนเหยาที่มีให้จี้เทียนซิง
ศิษย์ที่เหลือต่างไม่มีใครแสดงอาการใดๆเลย
ไม่ว่าจะเป็นไป๋หวู่เชิน, ฮ่าวเมิ่งและศิษย์ฝ่ายในอีกสองคน พวกมันทั้งหมดเพียงแค่โค้งมือแสดงความยินดีด้วยวาจาต่อจี้เทียนซิงเท่านั้น
ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของประมุขนิกายและเหล่าอาวุโส
พวกเขาเข้าใจในทันทีถึงทัศนคติของเหล่าศิษย์หัวกะทิที่มีต่อจี้เทียนซิง
พวกมันดูเหมือนจะไม่ยอมรับการเลื่อนขั้นพรวดพราดของจี้เทียนซิงสักเท่าไหร่นัก
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยาก
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประมุขนิกาย
เซี่ยงหวู่จี้และผู้อาวุโสทั้งหมดต่างก็ไม่พูดอะไรและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
หลังจากนั้นไม่นาน
พิธีการทั้งหมดก็จบลง
ในเวลานี้เองศิษย์รับใช้ที่อยู่หน้าประตูห้องโถงใหญ่ก็เดินเข้ามาและตะโกนว่า
“เรียนท่านประมุข อาวุโสใหญ่ของนิกายฤทัยจันทราขอเข้าพบขอรับ
!”
เมื่อผู้คนในห้องโถงใหญ่ได้ยินเสียงตะโกนของศิษย์ผู้นั้นก็เงียบลงทันที
ฉู่เทียนเซิงดูเหมือนจะรู้แต่แรกแล้วว่าคนของนิกายฤทัยจันทราจะต้องมาเยือน
เขาพยักหน้าเล็กน้อยและบอกแก่ศิษย์ผู้นั้น “เชิญเขาเข้ามา
!”
“ขอรับท่านประมุข !”
ศิษย์รับใช้กำหมัดคารวะและหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปที่ประตูเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง
ครู่ต่อมา
สตรีในเสื้อคลุมสีม่วงที่ดูสง่างามก็เดินชดช้อยเข้ามาในห้องโถงใหญ่
นางคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายฤทัยจันทราและยังมีฐานะเป็นอาจารย์ของซู่หลานอีกด้วย
เมื่อนางมาถึงห้องโถงใหญ่ก็โค้งคำนับให้ฉู่เทียนเซิงและกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า
“ต้าจางเหลาแห่งนิกายฤทัยจันทรา, จวินอวี้คารวะท่านประมุขฉู่ !” (ต้าจางเหลา = ผู้อาวุโสใหญ่)
“ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันฉลองรับศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่านประมุขฉู่
จวินอวี้จึงขอร่วมแสดงความยินดีกับท่านประมุขด้วย”
ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะและเผยรอยยิ้ม
“อาวุโสจวินอวี้ช่างมีน้ำใจยิ่งนัก”
แท้จริงแล้วนิกายพันธมิตรสวรรค์กับนิกายฤทัยจันทราล้วนมีสัมพันธ์อันดีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
ทั้งสองนิกายนี้ค่างเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นต่อกัน
ก่อนหน้านี้จวินอวี้เคยเข้าออกนิกายพันธมิตรสวรรค์อยู่หลายครั้งหลายครา
ดังนั้นนางไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคน
หลังจากที่ทุกคนทักทายกันเล็กน้อย
จวินอวี้ก็พูดธุระทันที
นางกำหมัดคารวะและกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนว่า
“ท่านประมุขฉู่ วันนี้จวินอวี้มาเยือน
หลักๆเลยก็คือต้องการขอขมาโทษต่อท่าน”
“ก่อนหน้านี้จวินอวี้ส่งศิษย์ผู้หนึ่งนามว่าซู่หลานให้มาส่งยาให้ศิษย์สตรีคนหนึ่งในนิกายท่าน
ข้าไม่คิดว่านางจะถูกเผ่าปีศาจใช้เป็นเครื่องมือ
มันแนบรากวิญญาณเข้ามาสิงร่างของซู่หลานและลอบเข้ามาในนิกายพันธมิตรสวรรค์จนเกือบจะกลายเป็นหายนะแล้ว”
“หลังจากได้ทราบข่าวนี้จวินอวี้และท่านประมุขต่างก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง
จวินอวี้จึงอาสาท่านประมุขมาเยี่ยมคารวะและขอขมาต่อท่านประมุขฉู่
หวังว่าท่านประมุขจะให้อภัยต่อความผิดพลาดเลินเล่อของทางนิกายเรา”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า
“อาวุโสจวินอวี้มีน้ำใจ
ฝากทักทายท่านประมุขของพวกท่านด้วยเช่นกัน”
“ส่วนเรื่องเกี่ยวกับซู่หลานนั้น
นางถูกนังปีศาจครอบงำไม่เป็นตัวของตัวเอง ข้ามิอาจตำหนินิกายท่านได้ เพียงได้แต่สาปแช่งเผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นที่ใช้แผนการชั่วช้าเช่นนี้
ยังดีที่พวกเราตรวจพบความผิดปกติได้ทันเวลา"
“อาวุโสจวินอวี้โปรดอย่าตำหนิตัวเอง
ต่อไปขอให้ท่านระมัดระวังรอบคอบเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันอันตรายจากการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ”
“ขอบคุณท่านประมุขฉู่กระตุ้นเตือน
จวินอวี้จะนำกลับไปปฏิบัติตาม”
จากนั้นนางก็กล่าวต่อไปว่า
“ส่วนเรื่องที่สองคือจวินอวี้ขอรับศพของศิษย์ซู่หลานกลับนิกายเพื่อทำพิธีให้นาง”
“ศิษย์ผู้นี้ขยันอดทน
กริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามและมีระเบียบวินัย นางเป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของจวินอวี้และนิกายฤทัยจันทรา”
“เฮ้อ..... สวรรค์ไม่ช่วยคนดี น่าเสียดายที่นางต้องมาพบจุดจบเช่นนี้
มันเป็นชะตาฟ้าลิขิตที่น่าสงสารยิ่งนัก ดังนั้นจวินอวี้ขออนุญาตท่านประมุขฉู่นำศพนางกลับนิกายให้นางได้หลับอย่างสงบสุข”
สำหรับคำขอนี้
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและกล่าวว่า “อาวุโสจวินอวี้รักถนอมและมีเมตตาต่อศิษย์ นับเป็นวาสนาของนางแล้ว
ร่างของแม่นางซู่หลานนั้นเก็บรักษาไว้ในห้องลับของซวนซวน ท่านสามารถไปพบนางเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้ตามสะดวก”
“ขอบคุณท่านประมุขฉู่” จวินอวี้โค้งคารวะอีกครั้งและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าวต่อไปว่า
“ส่วนเรื่องที่สาม จวินอวี้เป็นตัวแทนท่านประมุขเพื่อมาแสดงความยินดีกับประมุขฉู่ในการรับศิษย์สายตรงคนใหม่
ท่านประมุขได้ฝากของขวัญเล็กน้อยมาร่วมแสดงความยินดี
หวังว่าท่านประมุขฉู่จะไม่หัวเราะ”
จากนั้นจวินอวี้ก็หยิบแหวนหยกวิญญาณออกมาและมอบให้แก่ฉู่เทียนเซิง
ของขวัญจากประมุขนิกายฤทัยจัทราย่อมมีคุณค่าและประเมินค่าไม่ได้
แต่ฉู่เทียนเซิงก็มิได้ส่งสัมผัสญาณตรวจสอบของที่อยู่ในแหวนวงนั้น เขารับของมาทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของอาวุโสจวินอวี้และประมุขของท่าน
โปรดแจ้งนางด้วยว่าหากมีโอกาสฉู่เทียนเซิงจะไปเยี่ยมคารวะด้วยตนเองแน่”
จากนั้นจวินอวี้ก็หยิบขวดหยกสีขาวสองขวด
หินวิญญาณสิบก้อนออกมาและมอบให้จี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหนุ่ม ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้กราบอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้
นับแต่นี้ไปอนาคตของเจ้าจะไร้ที่สิ้นสุด”
จี้เทียนซิงตะลึงงัน
เขาคาดไม่ถึงว่าอาวุโสท่านนี้ไม่เพียงแค่มอบของขวัญให้ฉู่เทียนเซิง
แต่ยังมอบของให้เขาอีกด้วย
เขาคารวะอีกฝ่ายและรับของพวกนั้นมาพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มจริงใจ
หลังจากเสร็จภารกิจทุกอย่าง
จวินอวี้ก็คารวะฉู่เทียนเซิงและกล่าวว่า “ธุระของจวินอวี้เสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่มีอีกเรื่องที่อยากเรียนถามประมุขฉู่
อีกสิบวันให้หลังจะมีการประชุมแปดนิกายใหญ่ที่ยอดเขาดวงดาว
ไม่ทราบว่าประมุขฉู่จะเข้าร่วมหรือไม่ ?”
ฉู่เทียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่งและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นเขาก็ยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “หากไม่ติดกิจธุระย่อมไม่พลาด แต่ถ้าไม่สะดวกข้าจะส่งตัวแทนไป”
จวินอวี้พยักหน้า
“เข้าใจแล้ว
จวินอวี้จะนำถ้อยคำของประมุขฉู่ไปแจ้งให้ท่านประมุขทราบ จวินอวี้ขออำลา”
ฉู่เทียนเซิงยืนขึ้นรับการคารวะจากอีกฝ่ายและเฝ้ามองเงาหลังของจวินอวี้ที่เดินออกไปจากห้องโถงใหญ่
หลังจากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็ประกาศเลิกพิธี
เหล่าผู้อาวุโส
ผู้ดูแลและศิษย์หัวกะทิเริ่มทยอยเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป
ฉู่เทียนเซิงแตะไหล่จี้เทียนซิงและพยักหน้า
จากนั้นก็เดินออกไปเช่นกัน
ขณะนี้เหลือเพียงจี้เทียนซิงกับเซี่ยงหวู่จี้สองคนในห้องโถง ทันใดนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็หรี่ตาลงและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า
ชายหนุ่มเห็นสีหน้าท่าทางของเซี่ยงหวู่จี้ดูต่างจากปกติ
เขาจึงยิ้มและถามว่า “ผู้อาวุโส ทำหน้าเช่นนี้
หรือว่าท่านมีอะไรจะชี้แนะศิษย์ ?”
เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เฮอะ ไอ้เด็กเหลือขอ
ทุกคนรุมล้อมกันประเคนของขวัญให้เจ้า มีเพียงข้าที่ไม่ได้ให้ เจ้าผิดหวังล่ะซี่ ?”
จี้เทียนซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวกลั้วหัวเราะว่า
“มิกล้า
ผู้เยาว์รบกวนผู้อาวุโสมาหลายครั้งหลายคราแล้ว
จะกล้าเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ได้เล่า ?”
“เพ้ย ! ไอ้เด็กผีจอมเจ้าเล่ห์
!” เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงและสบถใส่อีกฝ่าย
แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า “ไป ตามข้าไปที่ตำหนักไท่อัน
ตาเฒ่าผู้นี้จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้าเอง !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved