ตอนที่ 231

ของขวัญชิ้นใหญ่ที่เตรียมให้เจ้า

จี้เทียนซิงกวาดของขวัญจากเหล่าผู้อาวุโสและคนอื่นๆใส่ไว้ในแหวนมิติ

จนถึงปีหน้าเขาคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรบ่มเพาะอีกแล้ว

เนื่องจากของกำนัลส่วนใหญ่ที่คนเหล่านี้มอบให้ล้วนเป็นเม็ดยา, สมุนไพรและหินวิญญาณอีกเล็กน้อย

สิ่งของเหล่านี้จี้เทียนซิงจดจำได้เป็นอย่างดี

เขาสามารถคำนวณปริมาณที่ต้องใช้ตลอดปีและมูลค่าโดยประมาณได้

มีเพียงของขวัญของฉู่เทียนเซิงเท่านั้นที่บรรจุอยู่ในหยกสีดำและไม่รู้ว่าเป็นสมบัติอะไร

ภายในห้องโถงหลักนั้นแออัดไปด้วยผู้คนและจี้เทียนซิงก็ไม่อาจสำรวจได้ว่าของสิ่งนั้นมีอะไรอยู่ข้างใน

แต่สิ่งที่เขามั่นใจและคาดเดาได้ก็คือ

ของขวัญจากมือของฉู่เทียนเซิงนั้นย่อมล้ำค่ายิ่ง

มันสมควรล้ำค่ายิ่งกว่าของขวัญจากเหล่าผู้อาวุโส

.......

หนึ่งชั่วยามผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลตลอดจนสมาชิกต่างๆของนิกายล้วนมอบของขวัญให้จี้เทียนซิงครบหมดแล้ว

ตอนนี้ก็ถึงตาของเหล่าศิษย์ที่เหลือ

เป็นที่น่าสนใจว่า

ยกเว้นเพียงของขวัญแสดงความยินดีของหัวหน้าศิษย์หยุนเหยาที่มีให้จี้เทียนซิง

ศิษย์ที่เหลือต่างไม่มีใครแสดงอาการใดๆเลย

ไม่ว่าจะเป็นไป๋หวู่เชิน, ฮ่าวเมิ่งและศิษย์ฝ่ายในอีกสองคน พวกมันทั้งหมดเพียงแค่โค้งมือแสดงความยินดีด้วยวาจาต่อจี้เทียนซิงเท่านั้น

ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของประมุขนิกายและเหล่าอาวุโส

พวกเขาเข้าใจในทันทีถึงทัศนคติของเหล่าศิษย์หัวกะทิที่มีต่อจี้เทียนซิง

พวกมันดูเหมือนจะไม่ยอมรับการเลื่อนขั้นพรวดพราดของจี้เทียนซิงสักเท่าไหร่นัก

แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ยาก

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประมุขนิกาย

เซี่ยงหวู่จี้และผู้อาวุโสทั้งหมดต่างก็ไม่พูดอะไรและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

หลังจากนั้นไม่นาน

พิธีการทั้งหมดก็จบลง

ในเวลานี้เองศิษย์รับใช้ที่อยู่หน้าประตูห้องโถงใหญ่ก็เดินเข้ามาและตะโกนว่า

“เรียนท่านประมุข อาวุโสใหญ่ของนิกายฤทัยจันทราขอเข้าพบขอรับ

!”

เมื่อผู้คนในห้องโถงใหญ่ได้ยินเสียงตะโกนของศิษย์ผู้นั้นก็เงียบลงทันที

ฉู่เทียนเซิงดูเหมือนจะรู้แต่แรกแล้วว่าคนของนิกายฤทัยจันทราจะต้องมาเยือน

เขาพยักหน้าเล็กน้อยและบอกแก่ศิษย์ผู้นั้น “เชิญเขาเข้ามา

!”

“ขอรับท่านประมุข !”

ศิษย์รับใช้กำหมัดคารวะและหันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปที่ประตูเพื่อถ่ายทอดคำสั่ง

ครู่ต่อมา

สตรีในเสื้อคลุมสีม่วงที่ดูสง่างามก็เดินชดช้อยเข้ามาในห้องโถงใหญ่

นางคือผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายฤทัยจันทราและยังมีฐานะเป็นอาจารย์ของซู่หลานอีกด้วย

เมื่อนางมาถึงห้องโถงใหญ่ก็โค้งคำนับให้ฉู่เทียนเซิงและกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า

“ต้าจางเหลาแห่งนิกายฤทัยจันทรา, จวินอวี้คารวะท่านประมุขฉู่ !” (ต้าจางเหลา = ผู้อาวุโสใหญ่)

“ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันฉลองรับศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่านประมุขฉู่

จวินอวี้จึงขอร่วมแสดงความยินดีกับท่านประมุขด้วย”

ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะและเผยรอยยิ้ม

“อาวุโสจวินอวี้ช่างมีน้ำใจยิ่งนัก”

แท้จริงแล้วนิกายพันธมิตรสวรรค์กับนิกายฤทัยจันทราล้วนมีสัมพันธ์อันดีที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ทั้งสองนิกายนี้ค่างเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นต่อกัน

ก่อนหน้านี้จวินอวี้เคยเข้าออกนิกายพันธมิตรสวรรค์อยู่หลายครั้งหลายครา

ดังนั้นนางไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าสำหรับทุกคน

หลังจากที่ทุกคนทักทายกันเล็กน้อย

จวินอวี้ก็พูดธุระทันที

นางกำหมัดคารวะและกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนว่า

“ท่านประมุขฉู่ วันนี้จวินอวี้มาเยือน

หลักๆเลยก็คือต้องการขอขมาโทษต่อท่าน”

“ก่อนหน้านี้จวินอวี้ส่งศิษย์ผู้หนึ่งนามว่าซู่หลานให้มาส่งยาให้ศิษย์สตรีคนหนึ่งในนิกายท่าน

ข้าไม่คิดว่านางจะถูกเผ่าปีศาจใช้เป็นเครื่องมือ

มันแนบรากวิญญาณเข้ามาสิงร่างของซู่หลานและลอบเข้ามาในนิกายพันธมิตรสวรรค์จนเกือบจะกลายเป็นหายนะแล้ว”

“หลังจากได้ทราบข่าวนี้จวินอวี้และท่านประมุขต่างก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง

จวินอวี้จึงอาสาท่านประมุขมาเยี่ยมคารวะและขอขมาต่อท่านประมุขฉู่

หวังว่าท่านประมุขจะให้อภัยต่อความผิดพลาดเลินเล่อของทางนิกายเรา”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า

“อาวุโสจวินอวี้มีน้ำใจ

ฝากทักทายท่านประมุขของพวกท่านด้วยเช่นกัน”

“ส่วนเรื่องเกี่ยวกับซู่หลานนั้น

นางถูกนังปีศาจครอบงำไม่เป็นตัวของตัวเอง ข้ามิอาจตำหนินิกายท่านได้ เพียงได้แต่สาปแช่งเผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นที่ใช้แผนการชั่วช้าเช่นนี้

ยังดีที่พวกเราตรวจพบความผิดปกติได้ทันเวลา"

“อาวุโสจวินอวี้โปรดอย่าตำหนิตัวเอง

ต่อไปขอให้ท่านระมัดระวังรอบคอบเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันอันตรายจากการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ”

“ขอบคุณท่านประมุขฉู่กระตุ้นเตือน

จวินอวี้จะนำกลับไปปฏิบัติตาม”

จากนั้นนางก็กล่าวต่อไปว่า

“ส่วนเรื่องที่สองคือจวินอวี้ขอรับศพของศิษย์ซู่หลานกลับนิกายเพื่อทำพิธีให้นาง”

“ศิษย์ผู้นี้ขยันอดทน

กริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามและมีระเบียบวินัย นางเป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของจวินอวี้และนิกายฤทัยจันทรา”

“เฮ้อ..... สวรรค์ไม่ช่วยคนดี น่าเสียดายที่นางต้องมาพบจุดจบเช่นนี้

มันเป็นชะตาฟ้าลิขิตที่น่าสงสารยิ่งนัก  ดังนั้นจวินอวี้ขออนุญาตท่านประมุขฉู่นำศพนางกลับนิกายให้นางได้หลับอย่างสงบสุข”

สำหรับคำขอนี้

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและกล่าวว่า “อาวุโสจวินอวี้รักถนอมและมีเมตตาต่อศิษย์ นับเป็นวาสนาของนางแล้ว

ร่างของแม่นางซู่หลานนั้นเก็บรักษาไว้ในห้องลับของซวนซวน ท่านสามารถไปพบนางเพื่อจัดการเรื่องนี้ได้ตามสะดวก”

“ขอบคุณท่านประมุขฉู่”  จวินอวี้โค้งคารวะอีกครั้งและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราบเรียบพลางกล่าวต่อไปว่า

“ส่วนเรื่องที่สาม จวินอวี้เป็นตัวแทนท่านประมุขเพื่อมาแสดงความยินดีกับประมุขฉู่ในการรับศิษย์สายตรงคนใหม่

ท่านประมุขได้ฝากของขวัญเล็กน้อยมาร่วมแสดงความยินดี

หวังว่าท่านประมุขฉู่จะไม่หัวเราะ”

จากนั้นจวินอวี้ก็หยิบแหวนหยกวิญญาณออกมาและมอบให้แก่ฉู่เทียนเซิง

ของขวัญจากประมุขนิกายฤทัยจัทราย่อมมีคุณค่าและประเมินค่าไม่ได้

แต่ฉู่เทียนเซิงก็มิได้ส่งสัมผัสญาณตรวจสอบของที่อยู่ในแหวนวงนั้น เขารับของมาทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอบคุณสำหรับน้ำใจของอาวุโสจวินอวี้และประมุขของท่าน

โปรดแจ้งนางด้วยว่าหากมีโอกาสฉู่เทียนเซิงจะไปเยี่ยมคารวะด้วยตนเองแน่”

จากนั้นจวินอวี้ก็หยิบขวดหยกสีขาวสองขวด

หินวิญญาณสิบก้อนออกมาและมอบให้จี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหนุ่ม ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้กราบอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้

นับแต่นี้ไปอนาคตของเจ้าจะไร้ที่สิ้นสุด”

จี้เทียนซิงตะลึงงัน

เขาคาดไม่ถึงว่าอาวุโสท่านนี้ไม่เพียงแค่มอบของขวัญให้ฉู่เทียนเซิง

แต่ยังมอบของให้เขาอีกด้วย

เขาคารวะอีกฝ่ายและรับของพวกนั้นมาพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มจริงใจ

หลังจากเสร็จภารกิจทุกอย่าง

จวินอวี้ก็คารวะฉู่เทียนเซิงและกล่าวว่า “ธุระของจวินอวี้เสร็จสิ้นหมดแล้ว  แต่มีอีกเรื่องที่อยากเรียนถามประมุขฉู่

อีกสิบวันให้หลังจะมีการประชุมแปดนิกายใหญ่ที่ยอดเขาดวงดาว

ไม่ทราบว่าประมุขฉู่จะเข้าร่วมหรือไม่ ?”

ฉู่เทียนเซิงเงียบไปครู่หนึ่งและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้  จากนั้นเขาก็ยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “หากไม่ติดกิจธุระย่อมไม่พลาด แต่ถ้าไม่สะดวกข้าจะส่งตัวแทนไป”

จวินอวี้พยักหน้า

“เข้าใจแล้ว

จวินอวี้จะนำถ้อยคำของประมุขฉู่ไปแจ้งให้ท่านประมุขทราบ  จวินอวี้ขออำลา”

ฉู่เทียนเซิงยืนขึ้นรับการคารวะจากอีกฝ่ายและเฝ้ามองเงาหลังของจวินอวี้ที่เดินออกไปจากห้องโถงใหญ่

หลังจากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็ประกาศเลิกพิธี

เหล่าผู้อาวุโส

ผู้ดูแลและศิษย์หัวกะทิเริ่มทยอยเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป

ฉู่เทียนเซิงแตะไหล่จี้เทียนซิงและพยักหน้า

จากนั้นก็เดินออกไปเช่นกัน

ขณะนี้เหลือเพียงจี้เทียนซิงกับเซี่ยงหวู่จี้สองคนในห้องโถง  ทันใดนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็หรี่ตาลงและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มหยอกเย้า

ชายหนุ่มเห็นสีหน้าท่าทางของเซี่ยงหวู่จี้ดูต่างจากปกติ

เขาจึงยิ้มและถามว่า “ผู้อาวุโส ทำหน้าเช่นนี้

หรือว่าท่านมีอะไรจะชี้แนะศิษย์ ?”

เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“เฮอะ ไอ้เด็กเหลือขอ

ทุกคนรุมล้อมกันประเคนของขวัญให้เจ้า มีเพียงข้าที่ไม่ได้ให้ เจ้าผิดหวังล่ะซี่ ?”

จี้เทียนซิงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวกลั้วหัวเราะว่า

“มิกล้า

ผู้เยาว์รบกวนผู้อาวุโสมาหลายครั้งหลายคราแล้ว

จะกล้าเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ได้เล่า ?”

“เพ้ย ! ไอ้เด็กผีจอมเจ้าเล่ห์

!” เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงและสบถใส่อีกฝ่าย

แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า “ไป  ตามข้าไปที่ตำหนักไท่อัน

ตาเฒ่าผู้นี้จะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้าเอง !”