เจตนาซ่อนเร้น
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่หดหู่มาก ฮั่นเฉียวเซิงนั่งบนเก้าอี้ใหญ่ ดวงตาของเขาหรี่ลงและใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
เหล่าศิษย์ต่างก็รู้สึกประหม่าและรอคอยผลอย่างเงียบเชียบ
มีเพียงซื่อจิงเฉิงและอี้โม่เท่านั้นที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับโอสถสมุนไพรอยู่ก่อนแล้ว
พวกเขาจึงไม่ได้ไปที่สวนโอสถวิญญาณ ดังนั้นทั้งคู่จึงมีสีหน้าผ่อนคลายและไร้ซึ่งความกระวนกระวายใดๆ
พวกเขาทั้งสองหันไปมองหน้าศิษย์ร่วมหออีก
8 คน เช่นจี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงตู้หวู่และผู้ดูแลมู่ก็กลับมาที่ห้องโถงใหญ่
ที่มือของผู้ดูแลมู่มีผลไม้วิญญาณสีขาวแดงอยู่
แน่นอนว่านี่คือผลหยางขาว !
ตู้หวู่ชำเลืองมองไปที่จี้เทียนซิง
จากนั้นก็เดินไปหาฮั่นเฉียวเซิงพลางกระซิบกระซาบอยู่สองสามคำ
เมื่อได้เห็นฉากนี้
จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดคับข้อง
ส่วนฮั่นเฉียวเซิงก็แสดงสีหน้าแปลกๆและจ้องมองจี้เทียนซิงเช่นกัน
“จี้เทียนซิง ! เจ้าเป็นศิษย์หอยุทธ์ฟงอวิ๋น
หากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถร้องขอผลหยางขาวได้อย่างง่ายดาย เหตุใดถึงต้องประพฤติตัวเยี่ยงโจร ?!”
ฮั่นเฉียวเซิงมีสีหน้าผิดหวังและถามอีกฝ่ายด้วยเสียงเย็น
จี้เทียนซิงสีหน้าเปลี่ยนไปและกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ครูฝึกฮั่น ถึงแม้ว่าผลหยางขาวจะล้ำค่ามาก
แต่ศิษย์ก็มิใช่คนละโลบ เป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์จะลอบขโมยมันมาเก็บเป็นสมบัติส่วนตัว เรื่องนี้จะต้องเป็นการเข้าใจผิดหรือไม่ก็มีคนชั่วช้าคิดใส่ความข้า
ขอให้ครูฝึกให้ความเป็นธรรมด้วย !”
ฮั่นเฉียวเซิงยังคงมีสีหน้าเย็นชาและตะโกนด้วยน้ำเสียงต่ำ
“จี้เทียนซิง หากเจ้าไม่ได้ขโมยแล้วผลหยางขาวจะโผล่มาในห้องของเจ้าได้อย่างไร !?”
จี้เทียนซิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
เขาทำได้เพียงตอบว่า “ครูฝึกฮั่น ข้าไม่ได้ทำจริงๆ! มีคนโยนความผิดมาให้ข้า !”
ฮั่นเฉียวเซิงมุ่นหัวคิ้วจนหน้าผากมีรอยย่นและตะโกนเสียงต่ำ
“ยังจะปากแข็งอีก ! หลักฐานก็เห็นกันอยู่โท่นโท่
หรือเจ้าจะบอกว่าผู้ดูแลมู่กลั่นแกล้งเจ้า ?”
“เอาเถอะ
เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานอีกทั้งยังเป็นความผิดครั้งแรก
ข้าจะลงโทษสถานเบา ต่อไปนี้เจ้าจะต้องไปทำความสะอาดที่วังไท่อันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
!”
จี้เทียนซิงขบกรามและกำหมัดแน่นจนมือปูดโปนกระดูกส่งเสียงกร๊อบแกร๊บ
มันรู้ว่าตนเองถูกใส่ความแต่ครูฝึกกลับไม่ฟังคำอธิบายของมันจนมันต้องถูกลงโทษและเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน
ที่สำคัญกว่านั้น
มันถูกลงโทษเป็นเวลาหนึ่งเดือนซึ่งจะชะลอเวลาการฝึกฝนเข้าไปอีก !
หน้าอกของเขาพองเข้าออกจนแทบระเบิดและเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
แต่สุดท้ายก็สามารถข่มความโกรธเอาไว้ได้และกล่าวด้วยใบหน้าราบเรียบ
“ศิษย์.... ทราบแล้ว !”
หลังจากประสานมือคารวะทั้งสามคน
จี้เทียนซิงก็หันหลังเดินออกจากห้องโถงใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยังวังไท่อันเพื่อกวาดพื้นตามคำสั่ง
แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู
แต่เขาก็รู้ว่าต้องอดทนและไม่ควรหุนหันพลันแล่น
......
หลังจากจี้เทียนซิงออกไปแล้วผู้ดูแลมู่ก็จากไปพร้อมกับนำผลหยางขาวกลับไปด้วย
ฮั่นเฉียวเซิงให้โอวาทบรรดาศิษย์ที่เหลืออีกเล็กน้อย
จากนั้นก็ออกจากห้องโถงพร้อมกับตู้หวู่
เมื่อครูฝึกทั้งสองจากไปแล้ว
ศิษย์ที่เหลือก็อดไม่ได้ที่จะสนทนาและหัวเราะแผ่วเบา
“เหอๆ จี้เทียนซิงผู้แสนโง่เง่า
เพิ่งเข้านิกายได้ไม่กี่วันก็กล้าฝืนกฎนิกายขโมยของ อนาคตของมันจบสิ้นแล้ว !”
“เหอะ ! เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นถูกส่งไปกวาดพื้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน มันจะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาโอสถ คอยดูเถอะหลังผ่านการประเมินผลการหลอมโอสถในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
มันจะต้องอยู่อันดับรั้งท้ายแน่นอน !”
ริมฝีปากของซื่อจิงเฉิงยกโค้งขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“จี้เทียนซิงผู้นั้นเป็นถึงรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง
แต่กลับกล้าลักเล็กขโมยน้อย ข้าไม่เข้าใจคนเยี่ยงนี้เลย !”
อี้โม่แสยะยิ้ม
“เหอๆ มันมาจากมืองเล็กๆในรัฐ
พอได้เข้านิกายชั้นสูงและเห็นสมบัติล้ำค่าย่อมเกิดความโลภเป็นธรรมดา”
คำพูดถากถางของทั้งสองคนนี้ทำให้จี้หลิงและเนี่ยห่าวสีหน้าเปลี่ยนไป
ตอนแรกที่จี้หลิงเห็นจี้เทียนซิงถูกลงโทษในที่สาธารณะ
เขาลอบหัวเราะเยาะเย้ยในความโชคร้ายของผู้อื่นอยู่ในใจ อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำพูดของซื่อจิงเฉิงและอี้โม่
จี้หลิงก็ไม่อาจวางสีหน้าให้เป็นปกติได้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด
ทั้งสองคนนี้ได้พูดจาดูถูกเมืองจักรวรรดิในรัฐนภากระจ่างว่าเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งจี้หลิงเองก็เป็นราชาของเมืองนั้นอยู่
ดังนั้นคำพูดของทั้งสองก็เหมือนด่าจี้หลิงทางอ้อมไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม
จี้หลิงทำได้เพียงขมวดคิ้วและไม่โต้แย้งอย่างเปิดเผย เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีความจำเป็นต้องกล้ำกลืนเพราะที่นี่เขาไม่ใช่ราชาอีกแล้ว
แต่ทว่าเนี่ยห่าวกลับยืนขึ้นและจ้องไปที่ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่พลางกล่าวด้วยเสียงเย็น
“ซื่อจิงเฉิง อี้โม่ พวกเจ้าเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า
เหตุใดถึงได้นินทาว่าร้ายจี้เทียนซิงลับหลังเช่นนี้?”
“พวกเราทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ร่วมหอยุทธ์เดียวกัน
พวกเจ้านินทาศิษย์พี่ศิษย์น้องเช่นนี้มีความละอายบ้างหรือไม่ ?”
เนี่ยห่าวเกิดในตระกูลขุนนางและเป็นหลานของจอมพลเฉียนคุนที่รับได้การอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีตั้งแต่เด็ก
ทำให้เขาเป็นคนมากน้ำใจคนหนึ่ง
นอกจากนี้ตัวเขาเองกับจี้เทียนซิงก็นับว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน แน่นอนว่าเนี่ยห่าวย่อมต้องออกหน้าปกป้องสหายอยู่แล้ว
ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่ใบหน้าแข็งค้างและหันไปมองเนี่ยห่าวอย่างตกตะลึง
“เหอๆ พวกเราพูดถึงจี้เทียนซิง เจ้ายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย, เนี่ยห่าว ?”
“ยิ่งไปกว่านั้น
คนอย่างมันที่ทำตัวเยี่ยงโจรลักเล็กขโมยน้อย
ข้าไม่คิดจะนับถือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องหรอก !”
"ถูกต้อง ! เนี่ยห่าว เจ้าออกหน้าให้มัน
เจ้าเป็นพวกเดียวกับมันใช่ไหม ?”
เนี่ยห่าวจ้องมองทั้งสองและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ใช่ ข้าเป็นสหายของพี่จี้
ข้ารุ้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร
เขาเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งและไม่มีทางทำเรื่องนี้เช่นนี้แน่ ! ข้าเชื่อว่าเขาถูกใส่ความ !”
ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่แสยะยิ้มและหัวเราะดังยิ่งกว่าเดิม
“ฮ่าๆๆๆ
เพ้อเจ้อ!
ผู้อาวุโสทั้งสองพบหลักฐานในห้องของมันเอง ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งเราก็เห็นกันแล้ว เจ้าอยากจะจมปลักกับคนอย่างมันหรือไง ?”
“ไอหยา อยู่ใกล้หนูก็มีกลิ่นเหมือนหนู
ชอบลักขโมยของกิน”
“ข้าไม่คิดเลยว่าคนอย่างเนี่ยห่าวถึงกับต้องลดคุณค่าของตัวเองไปคบหากับโจร พวกเราควรอยู่ให้ห่างจากมันและจี้เทียนซิง …”
ซื่อจิงเฉิงและอี้โม่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
จากนั้นก็จากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
เนี่ยห่าวแค่นเสียงเย็นชาและไม่พูดอะไรอีก
เขารับรู้แล้วว่าศิษย์ร่วมหอเหล่านี้มีนิสัยอย่างไร พวกมันสนใจแต่ตัวเองและดูถูกผู้อื่น
ในใจของเนี่ยห่าวมีเพียงจี้เทียนซิงเท่านั้นที่ไว้ใจและคบหาเป็นสหายได้อย่างสนิทใจ
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความสงสัยและถอนหายใจ
“พี่จี้ ท่านเพิ่งเข้านิกายมาหมาดๆแต่กลับมีคนคิดใส่ความ ที่แท้ท่านมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดกันนะ ?”
......
ภายในห้องๆหนึ่ง
ฮั่นเฉียวเซิงนั่งอยู่บนโต๊ะและเปิดตำราเพื่อจัดการกับเรื่องราวต่างๆภายในนิกาย
ตู้หวู่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากแสดงสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านพี่ฮั่น
เรื่องเมื่อครู่นี้.... เราท่านต่างรู้กันดีว่าจี้เทียนซิงถูกคนใส่ความ
เหตุใดท่านถึงยังลงโทษมันอีก ?”
ฮั่นเฉียวเซิงวางตำราในมือลงบนโต๊ะและกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า
“ก่อนนี้ ข้าเป็นผู้รับผิดชอบในการคัดเลือกศิษย์ใหม่ทั้งรอบแรกและรอบสุดท้ายที่รัฐนภากระจ่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับมันเรียกได้ว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า”
“ในตอนแรกเด็กคนนี้ถูกหอบร่างที่หมดสติไปทดสอบระดับพลังยุทธ์
ผลที่ออกมาปรากฏว่ามันมีพลังเพียงปรับแต่งกายาขั้นที่สามและกลายเป็นที่หัวเราะเย้ยหยันไปทั่วเมืองว่าไม่รู้จักประมาณตน”
“หนึ่งเดือนต่อมา
เจ้าหนูคนนี้กลับมาอีกครั้งด้วยพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง อีกทั้งยังเป็นคนเดียวที่ฝ่าด่านค่ายกลหมากรุกไปได้
นอกจากนี้ในการประลองหาอันดับหนึ่ง มันก็ล้มผู้ที่มีพลังเหนือกว่าได้อีกด้วย !”
“ข้าได้เห็นการต่อสู้ของมันมาแล้ว
มันเป็นชายที่มากด้วยพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในรอบร้อยปี
หากได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้อง อนาคตของมันจะไร้ซึ่งขีดจำกัด !”
หลังจากได้ยินคำสรรเสริญเหล่านี้จากปากของฮั่นเฉียวเซิง ตู้หวู่ก็ยิ่งมีสีหน้าสันสนมากขึ้นและถามว่า “ท่านพี่ฮั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะลงโทษให้มันคับแค้นใจไปเพื่ออันใดเล่า
?”
ฮั่นเฉียวเซิงเผยรอยยิ้มลี้ลับที่ดูน่าสนใจและอธิบายว่า
“บุปผาไร้ลมนั้นบอบบาง ลูกนกอินทรีที่ถูกปกป้องจากแม่ก็ไม่มีวันบินได้เอง”
“เช่นเดียวกันกับการฝึกฝนวิทยายุทธ มันย่อมไม่ราบรื่นและต้องผ่านความยากลำบากเสียก่อน”
“ครั้งนี้ข้าลงโทษจี้เทียนซิงก็จริง
แต่เป็นเพียงสถานเบา ข้าหวังว่าเจ้าหนูนี่จะเรียนรู้อะไรได้บ้างและฉลาดขึ้น
อย่าหลงกลผู้อื่น”
“ข้าอยากให้มันรู้ว่านิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตของมันสะดวกสบาย
ต่อให้มีพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์เพียงใดแต่ไร้ซึ่งมันสมองก็ไม่มีทางเป็นสุดยอดฝีมือได้
!”
“นอกจากนี้ ที่ข้าลงโทษให้มันไปกวาดพื้นที่วังไท่อันก็มีเจตนาแฝงเล็กน้อย”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตาเฒ่าผู้นั้นก็อยู่ในวังไท่อันและไม่ได้ออกมาร่วมครึ่งปีแล้ว”
เมื่อตู้หวู่ได้ยินคำว่า
'ตาเฒ่า' ดวงตาของเขาก็เจิดจ้าทันทีและมุมปากเกิดรอยยิ้มลี้ลับขึ้น
“จริงด้วย
ข้าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย เหอๆ
ดูเหมือนว่าท่านพี่ฮั่นจะดีต่อเจ้าหนูนั่นไม่น้อย”
“ข้าก็แค่หยิบยื่นโอกาสให้มัน
ที่เหลือก็อยู่ที่โชควาสนาของมันเองแล้ว”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved