ตอนที่ 358 ข่าวดีสะท้านฟ้า

จากความทรงจำของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

บิดาของนาง, ราชามารโลหิตมีสารรูปน่าเกลียดอัปลักษณ์ยิ่ง

และนางก็รู้ดีว่ายามที่นางทะลวงด่านปราณฟ้า นางจะกลายเป็นมารปีศาจที่มีสภาพน่าเกลียดน่ากลัวไม่ต่างจากบิดา

นี่คือชะตากรรมของมารปีศาจ

ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าใด

สารรูปร่างกายก็จะยิ่งน่าเกลียดอัปลักษณ์มากขึ้นเท่านั้น

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เห็นจนคุ้นชิน

ดังนั้นเมื่อนางได้เห็นร่างน่าเกลียดสูงใหญ่เท่ากับภูเขาของบิดา

นางก็มิได้ตื่นตระหนกหรือขยะแขยง

"ครึ่ก   ครึ่ก  ... "

ร่างกายอันใหญ่โตและน่าเกลียดน่ากลัวของมารโลหิตเริ่มหดตัวลงอย่างรวดเร็ว

ทำให้เกิดหมอกสีดำล้นหลาม

ภายในพริบตาร่างกายของมันก็หายไปและกลายเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่สูงกว่าสามเมตร

มีผิวสีม่วงเข้ม

ยักษ์ตนนี้มีเท้าคู่หนึ่งราวกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่

มีผมสีแดงปกคลุมไปด้วยขนยาวสีม่วงหนาเตอะราวกับกอริลลาสีม่วงคล้ำ

มันสวมสร้อยคอกระดูกที่พันไว้รอบคอและสวมเกราะอ่อนที่ทำจากหนังงูหลามสีดำ  นั่งอยู่บนบัลลังก์กะโหลก

ทั่งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายทรงพลังและกระหายเลือด

นี่คือร่างปีศาจจำแลงของมันที่ผ่านการใช้วิถีลับควบแน่นออกมาเป็นกายกึ่งมนุษย์

แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีร่างกายคล้ายมนุษย์

แต่มันก็ยังดูโหดร้ายและน่าเกลียดน่ากลัว

แต่อย่างน้อยมันก็ดูเหมือนปีศาจทั่วๆไปที่น่ากลัวเหมือนร่างที่เผยในตอนแรก

"เสวี่ยเยวี่ย  จงแจ้งข่าวดีที่ทำให้บิดาพอใจ !"

"เจ้าปฏิบัติภารกิจผ่านมาก็หลายปีแล้ว

อีกทั้งยังได้มหาปุโรหิตเป็นผู้ช่วยคิดวางแผนการเคลื่อนไหวต่างๆในดินแดนดาราบรรพกาล

เรื่องราวสมควรไปคืบหน้าไปมาก”

น้ำเสียงของมารโลหิตเต็มไปด้วยอิ่มเอิบและภาคภูมิใจ

มันพึงพอใจมากกับการทำงานของธิดา

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก้มศีรษะลงและพูดว่า “เสด็จพ่อ นอกจากนี้ผู้บุตรยังมีข่าวที่น่ายินดียิ่งกว่านี้ที่จะต้องแจ้งต่อท่าน"

"ข่าวอะไร ?" มารโลหิตเลิกคิ้วขึ้น

ดวงตาสีแดงของมันเต็มไปด้วยความคาดหวัง

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ยิ้มบางพลางกล่าวว่า “ประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์ฉู่เทียนเซิงรับศิษย์สายตรงคนใหม่

นามว่าจี้เทียนซิง"

"ชายหนุ่มผู้นี้อายุเพียงสิบเจ็ดปี

มันใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนหลังจากเข้านิกาย เติบโตก้าวหน้าในวิถียุทธ์อย่างรวดเร็วผิดสามัญ

มันทำลายแผนการของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สังหารนักรบผู้กล้าหาญของเผ่าพันธุ์เราไปมากมาย"

"ทว่า เมื่อไม่นานนี้ มหาปุโรหิตค้นพบโดยบังเอิญว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นซุกซ่อนจิตวิญญาณกระบี่ไว้ในร่าง

!”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ ดวงตาของมารโลหิตที่เป็นแดงอยู่แล้วกลับยิ่งลุกไหม้เป็นแสงสีแดงเรืองรอง

"จิตวิญญาณแห่งกระบี่ ?!"

"ใช่เป็นจิตวิญญาณกระบี่ของเทพกระบี่หรือไม่

?"

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าและตอบกลับว่า

“เพคะ

!”

"หึ.....  ฮ่าๆๆๆๆ

!!

"

มารโลหิตหัวเราะคำรามลั่นราวกับสิงโตคำราม

มันตะโกนว่า “วิเศษ

!  วิเศษมาก ! นี่เป็นข่าวดีที่น่าสุขใจยิ่ง

คาดไม่ถึงเลยทีเดียว น่าประหลาดมาก  ฮ่าๆๆๆ”

หลังจากหัวเราะอยู่นาน มารโลหิตก็สงบลง

มันกำหมัดแน่นและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าทำได้ดีมากธิดาข้า  !  หลังจากพยายามอย่างหนักมากว่าหนึ่งร้อยปี

ในที่สุดเราราชันก็พบเบาะแสของเทพกระบี่จนได้ !”

"เราราชันหลับมานานเกินไปแล้ว

ถึงเวลาสมควรปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง !”

"คราครั้งนี้เราจะนำนักรบผู้เก่งกล้าสามารถทั้งหมด

สู่ดินแดนดาราบรรพกาล เพื่อดำเนินการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์เรา !”

"ตราบใดที่เราจับตัวเจ้าเด็กมนุษย์ผู้นั้นและคร่ากุมจิตวิญญาณกระบี่เอาไว้ได้

เมื่อนั้นเราก็จะสามารถรู้ความลับทั้งหมดของเทพกระบี่และตามหาสมบัติของเทพกระบี่, ลูกปัดแห่งดวงดารา !”

"หลังจากองค์จักรพรรดิปีศาจกลับสู่โลก

พวกเราจะล้างอาณาจักรเทียนเฉินด้วยเลือด !  ฮ่าๆๆ !”

มารโลหิตหัวเราะอย่างดุเดือด

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็แสยะยิ้มอย่างเงียบๆเช่นกัน

จากนั้นกล่าวเสริมว่า

“เพคะเสด็จพ่อ

!”

...........

ผ่านไปอีกห้าวัน

จี้เทียนซิงฝึกฝนอย่างหนักติดต่อกันห้าวันห้าคืนอยู่ในห้องลับ

ในที่สุดอาการบาดเจ็บของเขาก็หายเป็นปกติ

พลังลมปราณและความแข็งแกร่งทั้งหมดฟื้นฟูกลับสู่จุดสูงสุด

จนกระทั่งถึงตอนเช้าของวันที่หก ในที่สุดเขาก็หยุดการฝึก

หลังจากที่เปิดตาขึ้น จี้เทียนซิงที่นั่งอยู่บนเตียงหยกน้ำแข็งก็ครุ่นคิดเงียบๆ

“ตอนนี้อาการบาดเจ็บของข้าหายดีแล้ว  ความแข็งแกร่งกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์พร้อม  ข้าคงต้องมุ่งหน้าไปยังสุสานพันปี

ทำลายข่ายปราณนั่น”

"สถานการณ์ในดินแดนดาราบรรพกาลเริ่มตึงเครียด

นิกายกระบี่ฟ้าที่เต็มไปด้วยความชิงชังย่อมคิดหาวิธีแก้แค้นแน่นอน"

"พวกมารปีศาจออกอาละวาดมากขึ้น

พวกมันจะต้องฉวยโอกาสช่วยจักรพรรดิของพวกมันที่ถูกผนึกไว้เป็นแน่ !"

"ข้าต้องรีบไปเอาลูกปัดดวงดารามาให้ได้โดยเร็วที่สุดและหลอมรวมโลหิตเทพกระบี่  เมื่อนั้นข้าจะได้มีความสามารถพอที่จะป้องกันตัวเอง”

หลังจากตัดสินใจได้แล้วจี้เทียนซิงก็ออกจากห้องลับและกล่าวขอบคุณอาวุโสหลิงเหยา

เมื่ออีกฝ่ายได้เห็นอาการบาดเจ็บของจี้เทียนซิงที่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

อาวุโสหลิงเหยาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจและรู้สึกเหลือเชื่อ

อาวุโสหลิงเหยาคาดการณ์ไว้ว่า

ด้วยฤทธิ์โอสถและการรักษาของมันอย่างระมัดระวัง

อาการบาดเจ็บของจี้เทียนซิงสมควรใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนและฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ภายในสามสี่เดือน

แต่สิ่งที่มันคาดไม่ถึงก็คือจี้เทียนซิงกลับหายจากอาการบาดเจ็บได้ภายใน

20 วัน ! หนำซ้ำลมปราณก็ยังหนักแน่นมั่นคง

พลังกายฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์พร้อม

อาวุโสหลิงเหยาส่ายหัวต่อความพิเศษของชายหนุ่ม

จากนั้นมอบโอสถฟื้นฟูระดับสูงให้ขวดหนึ่ง มันมีสรรพคุณช่วยปรับเสถียรภาพรากฐานพลังยุทธ์และบรรเทาอาการบาดเจ็บ

จี้เทียนซิงกล่าวขอบคุณ  หลังออกจากหอวิญญาณโอสถก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียนเพื่อขอพบกับฉู่เทียนเซิง

เนื่องจากก่อนหน้านี้ฉู่เทียนเซิงเคยออกคำสั่งอย่างเข้มงวด

สุสานพันปีในภูเขามังกรนั้นลึกลับและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ห้ามมิให้ผู้อาวุโส

ผู้ดูแลหรือศิษย์คนใดทำลายข่ายปราณที่นั่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

ดังนั้นจี้เทียนซิงจำเป็นจะต้องได้รับการอนุมัติจากฉู่เทียนเซิงเสียก่อน

หากเขาต้องการจะเข้าไปในสุสาน

เขายืนรออยู่ครู่หนึ่งที่ห้องโถง จากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็ตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว

มันกวาดสายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอยู่หลายรอบ

จากนั้นก็กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เทียนซิง นี่ผ่านไปแค่ 20 วัน

เจ้าหายดีแล้วหรือ ?"

จี้เทียนซิงโค้งคำนับและกล่าวตอบว่า “ขอรับท่านอาจารย์"

“วิเศษมาก!”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยความโล่งใจและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ในเมื่ออาการบาดเจ็บของเจ้าหายขาดแล้ว

อาจารย์ก็วางใจได้เสียที”

เงียบไปครุ่หนึ่งฉู่เทียนเซิงก็ถามต่อไปว่า

“เอาล่ะ

ว่ามาสิ  เจ้ามาหาข้ามีเรื่องด่วนอันใด ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ

คนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านอาจารย์

หากนิกายกระบี่ฟ้าถูกพวกมารปีศาจหลอกใช้จริง

ความทะเยอทะยานของพวกมันย่อมเผยออกมาในไม่ช้า”

“ถึงแม้นิกายเราจะเข้มแข็ง

แต่มันก็ยากที่จะป้องกันการสมรู้ร่วมคิดของพวกมัน เราควรเสริมการป้องกันให้หนาแน่นกว่านี้"

"นับตั้งแต่ที่เราพบสุสานในภูเขามังกร

ศิษย์ได้พยายามศึกษาข่ายอาคมระดับปราณฟ้าอย่างจริงจัง

ตลอดจนปรึกษาหารือกับเหล่าผู้อาวุโสมากมายผ่านการทดลองซ้ำๆ........"

"หลังจากได้ฝึกฝนอย่างหนักกว่าสองเดือน ศิษย์เชี่ยวชาญในวิถีแห่งข่ายอาคมจนพบวิธีทำลายข่ายปราณที่นั่น"

"ดังนั้นศิษย์ต้องการความเห็นชอบจากท่าน

อนุญาตให้เข้าไปทดลองทำลายมัน ศิษย์จะทำให้สำเร็จขอรับ !”

ฉู่เทียนเซิงเลิกคิ้วขึ้น

ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าพลางถามด้วยตกใจว่า

“เทียนซิง

นี่เจ้าพูดจริง ?”

"การก่อตัวของข่ายปราณระดับสวรรค์ในสุสานนั่น

แม้แต่อาจารย์ก็ยังจนปัญญา  เช่นนั้นแล้ว.....เจ้าหาวิธีทำลายมันได้อย่างไร

?”

จี้เทียนซิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ท่านอาจารย์ ศิษย์บังเอิญพานพบโชควาสนาระหว่างเดินทาง

ได้สืบทอดวิถีแห่งข่ายอาคมมาจากสถานที่แห่งหนึ่ง

ดังนั้นศิษย์จึงขออนุญาตท่าน เข้าไปในสุสานพันปี ทำลายข่ายปราณพิทักษ์"

ความจริงข้อนี้สร้างความตระหนกและประหลาดใจอย่างมากต่อฉู่เทียนเซิง

มันเผยสีหน้าลังเลและกล่าวอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “เทียนซิง

หากเจ้าคิดทำลายข่ายปราณระดับสวรรค์ เจ้าต้องมีความแข็งแกร่งในขอบเขตปราณฟ้า"

"อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ในขั้นปราณโอสถ

ถึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะทำการใดๆต่อข่ายปราณและข่ายอาคม  แต่เจ้าตอนนี้......"

จี้เทียนซิงกล่าวต่อไปอย่างหนักแน่นว่า

“ท่านอาจารย์

ข้าบรรลุถึงขอบเขตปราณจิตขั้นสูงสุดแล้ว

ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้สามารถเทียบได้กับระดับปราณโอสถขอรับ"

ฉู่เทียนเซิงลังเลและขมวดคิ้วเป็นเวลานานก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วย

"ก็ได้ อาจารย์อนุญาตให้เจ้าได้ลองดูสักครั้ง

แต่เพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน  เจ้าพาหยุนเหยาไปด้วย"