ตอนที่ 195

มังกรทะยานเก้านภา

!

“เฮอะ

ศิษย์น้องจี้ เช่นนั้นก็เข้ามาเลย !”

หยินเฟยหยางแสยะยิ้มด้วยท่าทางรังเกียจ

มันยืนสองมือไพล่หลังโดยไม่มีทีท่าจะชักกระบี่

ก่อนหน้านี้มันกล่าวไว้ว่าจะต่อให้จี้เทียนซิงลงมือก่อนสองกระบวนท่าและมันจะเพียงแค่ปัดป้องหรือไม่ก็หลบหลีกโดยไม่ใช้กระบี่

“ย่อมได้

งั้นลองรับนี่ดูซะ!”

จี้เทียนซิงแค่นเสียง

ดวงตาของเขาเปล่งประกายเย็นเยือก

ในเวลาเดียวกันเขาก็โคจรย่างก้าวไร้เงาก่อเป็นท่าร่างอันลี้ลับและพุ่งทะยานดุจเส้นรุ้งเข้าหาหยินเฟยหยาง

ฟ้าว.........

!

เขารวดเร็วมากจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง

เพียงชั่วลัดนิ้วเดียวท่าร่างของเขาก็ทะยานไปไกลกว่าสิบเมตรและหยุดอยู่เบื้องหน้าหยินเฟยหยาง

เช้ง

!

เขาชักกระบี่มังกรดำออกมาด้วยความเร็วดั่งอัสนีบาตและตวัดมันออกไปด้วยพลังปราณทั้งมวล

“มังกรทะยาน..   เก้านภา !”

เมื่อกระบี่มังกรดำพ้นจากฝักมันก็เปล่งแสงเย็นเยือกบาดลูกนัยน์ตาออกมา  มันราวกับสายฟ้าที่ฉีกกระชากรัตติกาล

ขุมพลังปราณอันมหาศาลของจี้เทียนซิงถูกถ่ายเทลงไปในตัวกระบี่มังกรดำและทำให้ตัวกระบี่เปลี่ยนเป็นคลื่นกระบี่ยาวสามเมตรในทันที

คลื่นกระบี่ที่หอบหุ้มด้วยพลังอันไร้เทียมทานตวัดลงมาจากท้องนภาเข้าหาหยินเฟยหยาง

ลำแสงจากคลื่นกระบี่ก่อรูปเป็นมายากระบี่มังกรดำยาวเก้าเมตรที่แผ่กลิ่นไออันเย็นเยือกออกมา

อากาศในรัศมี

20 เมตรรอบแท่นมังกรจันทร์แข็งตัวลงและระเบิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา    ดาบเรืองแสงมีพลังแห่งการเปิดกว้างและไหลลงมาจากท้องฟ้าสู่หยินเฟ่ยหยาง

พลังจากกระบี่นี้รุนแรงอย่างน่าสยดสยองจนทำให้ศิษย์ทั้งสองฝ่ายส่งเสียงอุทานอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

กระบี่มังกรดำยังไม่ทันกระทบเป้า

แต่หยินเฟยหยางผู้อวดดีก็ถูกสยบไว้ด้วยเจตน์กระบี่อันน่าสะพรึงเข้าเสียแล้ว  มันอ้าปากค้างอย่างโง่งม

แววตาสั่นระริกไปด้วยความสยองและความสิ้นหวัง

มันรีบเอื้อมมือไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณและชักกระบี่ออกมาโดยไม่รู้ตัวเพื่อเข้าต่อต้านกระบี่ที่ทรงพลานุภาพเบื้องหน้านี้

อย่างไรก็ตาม  มันสายไปเสียแล้ว

"เปรี้ยง  !!!!!"

เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง

คลื่นกระบี่ยักษ์สามเมตรและมายากระบี่มังกรดำกระแทกใส่หยินเฟยหยางเข้าจังเบอร์

คลื่นกระบี่ส่องแสงสะท้อนบาดลูกตาบนเวทีมังกรจันทร์และกระจายไปตามจุดต่างๆจนทำให้ทั่งทั้งเวทีสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

!

พลังทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ทำให้ทุกคนเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

ชาวนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความกังวลพลางจ้องเขม็งไปยังภาพการทำลายล้างอันวุ่นวายบนเวที

พวกมันพยายามคาดเดาผลลัพธ์ของการปะทะในครั้งนี้

หลังจากไม่กี่ลมหายใจผ่านไปมายากระบี่มังกรดำก็ค่อยๆสลาย

ตามมาด้วยฝุ่นลอยฟุ้งบนท้องฟ้าที่ลดน้อยลง

ตอนนี้ทุกคนสามารถเห็นสถานการณ์บนเวทีได้ชัดเจน

ซึ่งภาพที่ปรากฏก็คือจี้เทียนซิงยืนกุมกระบี่มังกรดำอย่างโอ่อ่าผ่าเผย

สีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจที่ผสานเข้ากับความเฉยชา

บนพื้นหินชนวนที่เวทีเกิดรอยแตกขนาดใหญ่กว้างประมาณครึ่งเมตรและยาวห้าเมตร !

หยินเฟยหยางนั่งคุกเข่าบนรอยร้าวขนาดใหญ่นั้นด้วยร่างกายที่สั่นระริกเป็นเจ้าเข้า

ใบหน้าของมันแดงก่ำเป็นสีเลือดและมีสารรูปที่ดูไม่จืดอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัสและพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้

“จี้…เทียนซิง

เจ้า..... สารเลว นี่....ไม่มีทาง  !”

หยินเฟยหยางเงยหน้าขึ้นและพูดแบบฟังไม่ได้ศัพท์

มันพยายามเชิดศีรษะขึ้นอย่างยากลำบากด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด

ดวงตาแดงก่ำราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย

เสียงของมันแหบพร่าและพูดไม่ปะติดปะต่อ

พูดคำหนึ่งกระอักเลือดคำหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของมันไม่ได้มีแค่ภายนอก

แต่มีทั้งภายในและจิตใจอีกด้วย !

จี้เทียนซิงก้มหน้ามองอีกฝ่ายราวกับราชามองขี้ข้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า

“ศิษย์พี่หยิน

ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าจะต่อให้ข้าลงมือก่อนสองกระบวนท่างั้นสินะ ?”

“นี่เป็นกระบวนท่าแรก โปรดรักษาคำพูดด้วย

ข้าจะลงมือต่อแล้ว !”

ในขณะที่กล่าวเขาก็ชูกระบี่มังกรดำขึ้นอีกครั้งและเตรียมใช้กระบวนท่าที่สอง

“เจ้า !”

หยินเฟยหยางหนังศีรษะชาด้านและสะดุ้งโหยงด้วยความหวาดผวา

มันรู้สึกอัปยศขายหน้าอย่างสุดแสน

เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันยังคงเย่อหยิ่งทะนงตนและเหยียดหยามจี้เทียนซิงอยู่หมาดๆ

แต่ตอนนี้

มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบี่เดียวของจี้เทียนซิงโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้ด้วยซ้ำ ! มันแทบจะตกตายด้วยกระบวนท่าแรก

มันช่างน่าขันและน่าหัวเราะอะไรเช่นนี้

!

แล้วด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้

มันจะมีปัญญารับกระบวนท่าที่สองของจี้เทียนซิงได้อย่างไร ?

การที่จี้เทียนซิงเอ่ยปากดักคอเช่นนี้

มิใช่ว่าจงใจบีบให้มันต้องทนรับกระบี่ที่สองหรอกหรือ ? มันเป็นการมุ่งเอาชีวิตกันชัดๆ !

“จะ...เจ้า …!  ไม่.....

พรู่ดดดดดดดด  !”

หยินเฟยหยางพยายามเปิดปากพูดด้วยความหวาดกลัว

แม้กระทั่งเปิดปากเป็นศรโลหิตที่ฉีดพุ่งออกมา

จี้เทียนซิงแสร้งเป็นตาบอดและโคจรพลังปราณพร้อมกับชูกระบี่มังกรดำขึ้นฟ้า

“หยุดมือ !”

ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้

พ่อบ้านแห่งนิกายกระบี่ฟ้าก็กระโจนลงไปกลางเวทีและหยุดอยู่ข้างหยินเฟยหยาง

ดวงตาของมันเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิง  จากนั้นมันก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “จี้เทียนซิง เจ้าจะทำอะไร ? คิดจะฆ่าคนกลางวันแสกๆงั้นหรือ

?”

จี้เทียนซิงหรี่ตามองพ่อบ้านด้วยสีหน้าเย็นชาและเอ่ยปากถากถางอย่างจงใจว่า

“ข้าผิด ?  ก็ไหนศิษย์พี่หยินผู้ยิ่งใหญ่พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต่อให้ข้าลงมือก่อนสองท่าไง

ผู้อาวุโส

ท่านก็เป็นผู้ใหญ่แล้วจะมาสอดมือให้มากความทำไม ?

อีกอย่าง ศิษย์พี่หยินก็ยังมิได้เอ่ยปากยอมแพ้ แต่ท่านกลับลงมาแทรกระหว่างการประลองเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร

?”

“หรือท่านคิดจะสอดมือช่วยหยินเฟยหยาง ? ก็เอาเลยซี่ ทุกคนจะได้รู้กันไปว่านิกายกระบี่ฟ้าชั่วช้าเล่นตุกติก”

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง

ใบหน้าของพ่อบ้านก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ แววตาทอประกายเย็นเยือกด้วยโทสะ

หากมิใช่อยู่ในการประลองเขาคงซัดฝ่ามือฆ่าเจ้าเด็กฝีปากกล้าผู้นี้ไปแล้ว  หลังจากสูดหายใจลึก

มันก็กัดฟันและตะโกนออกมาว่า “รอบนี้นิกายกระบี่ฟ้าขอยอมแพ้ !”

“ฮึ !”

จี้เทียนซิงแค่นเสียงเย็นและจ้องมองพ่อบ้านด้วยแววตาหยามหยันพลางกล่าวว่า

“ยังดีนะที่ท่านรีบประกาศยอมแพ้แต่เนิ่นๆ

ขืนช้ากว่านี้อีกสักนิดท่านคงได้เก็บซากสุนัขตายกลับไปฝังที่นิกายแทน”

“เจ้า !!!!”

พ่อบ้านกัดฟันแน่น

หว่างคิ้วและหน้าผากเกิดเป็นริ้วๆหงิกงอด้วยโทสะ

ดวงตาของมันเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแทบปริแตก

หากอยู่ในสถานการณ์และสถานที่อื่นมันคงทุบจี้เทียนซิงเป็นชิ้นๆอย่างแน่นอน

แต่ทว่าตอนนี้อยู่ในงานประลองอันศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองนิกาย

ต่อให้จี้เทียนซิงหยามหน้าเพียงใดมันก็ทำได้เพียงต้องอดทน

หลังจากนั้นไม่นานพ่อบ้านก็พาหยินเฟยหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสล่าถอยออกไปรักษาตัว

สีหน้าผู้คนของทางฝั่งนิกายกระบี่ฟ้ามืดมนและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

พวกมันขบฟันแน่นในขณะที่จ้องมองจี้เทียนซิงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ส่วนทางฝั่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เต็มไปด้วยความช็อค

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและตะโกนอย่างตื่นเต้นดีใจ

“วิเศษ !  พวกเราชนะแล้วเว้ย !"

“จี้เทียนซิง เยี่ยมมาก !”

“แน่นอน ! แน่นอนยิ่งนัก

!  นี่สิบุรุษไร้เทียมทานของนิกายฝ่ายนอกเรา  พวกเจ้าเห็นไหม

เพลงกระบี่เมื่อครู่นั่นยิ่งใหญ่ตระการตาแถมยังทรงพลังอย่างน่ากลัวนัก !”

“ฮ่าๆๆ ! เจ้าตัวตลกที่วางท่าโอหังเมื่อครู่โดนซะหมอบกระแตเลย

ดูสิพวกมันยังกล้าปากดีอีกไหม ?!”

ผู้อาวุโสใหญ่ชูไฮว่ซานและฮั่นเฉียวเซิงต่างก็คาดไม่ถึงต่อหวังผลลัพธ์นี้

พวกเขาแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาและกล่าวชมเชยว่า

"ไม่เลว "

“หากไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับเจ้าหนูนี่ เพียงการต่อสู้ในวันนี้อย่างเดียวก็พอจะสร้างชื่อให้มันไปทั่วทั้งดินแดนดาราบรรพกาลแล้ว

!”

“เจ้าเด็กเหลือขอนี่มีพลังเพียงแค่ขอบเขตปราณจิตขั้นแรก  น่าเหลือเชื่อนักที่มันสามารถปะทุพลังต่อสู้อันน่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้

!”

“ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่านิกายกระบี่ฟ้าต้องชนะรวดอย่างแน่นอน  ยิ่งมีฮั่งเชินที่มีพลังในระดับปราณจิตขั้นห้า

พวกเราไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย

แต่ด้วยพลังที่จี้เทียนซิงระเบิดออกมาเมื่อครู่นี้

ข้าเริ่มรู้สึกว่าอาจจะยังพอมีหวัง !”

ถึงแม้จี้เทียนซิงจะได้ยินการสนทนาและการสรรเสริญของทุกคน

แต่เขาก็ยังคงวางสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่เคยเย่อหยิ่งหลงตัวเอง

เขารู้พลังและสถานะของตัวเองดี

ต่อให้ไม่ใช้พลังและกระบวนท่าของกระบี่มังกรดำเขาก็สามารถล้มหยินเฟยหยางได้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง  เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่น่าตกใจเท่านี้

เนื่องจากเสี่ยวเฮยหลงกินอยู่อย่างสุขสบายในตำหนักไท่อันมาร่วมเดือน

ตลอดระยะเวลานี้มันได้กินผลไม้วิญญาณล้ำค่าเป็นจำนวนมากและทำให้พลังของมันฟื้นคืนกลับมาได้อีกสองส่วน

ด้วยเหตุนี้อานุภาพทำลายล้างของกระบวนมังกรทะยานเก้านภาจึงทรงพลังอย่างมาก

ด้วยเหตุผลนี้

จี้เทียนซิงจึงไม่ได้เลือกอาวุธใดๆจากคลังแสงของฝ่ายนอกเลย เขาเลือกแค่เพียงเกราะอ่อนมาชิ้นเดียวเท่านั้น

อาวุธของฝ่ายนอกทั้งหมดล้วนเป็นระดับล้ำลึก

มันจะเปรียบเทียบกับกระบี่มังกรดำในมือของเขาได้อย่างไร ?