ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพสองบุรุษหนึ่งสตรีที่ปรากฏบนเจดีย์ม่วงเก้าชั้นก็คือ
จี้เทียนซิง หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์
มารโลหิตมองไปที่คนทั้งสามในภาพฉาย ดวงตาตรึงแน่นอยู่ที่จี้เทียนซิงและสั่นระริกด้วยความกระหายเลือดอย่างรุนแรง
"กุ้ยโปโป (มารดาผี)
เจ้าเด็กนั่นสำคัญกับเราราชันมาก ตามข่าวของมหาปุโรหิต
เจ้าเด็กนั่นครอบครองลูกปัดแห่งดาราและมีความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างกับเทพกระบี่”
"เราต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า
ลองตรวจจับดูซิว่าลูกปัดดวงดาราอยู่ในตัวมันหรือไม่”
กุ้ยโปโปชำเลืองมองจี้เทียนซิงในภาพและพยักหน้าเบาๆพลางกล่าวว่า
"ลำพังฝีมือเด็กน้อยสามคนกลับกล้าเข้ามาถึงถิ่นข้า
ช่างไม่รู้เสียแล้ว คำว่าตายเขียนยังไง !”
สิ้นเสียง กุ้ยโปโปก็เงียบไปครู่หนึ่งและถามด้วยความสงสัยว่า
“จะว่าไป
เจ้าก็ตามหาลูกปัดแห่งดวงดารามานานกว่าร้อยปี
หนำซ้ำเจ้ายินดีใช้ทุกวิถีทางและทรัพยากรทั้งหมดเพื่อของสิ่งนี้ ทำไมกัน ?”
ราชามารโลหิตลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ
"เราราชันได้ตรวจสอบมา ว่ากันว่าโลหิตเทพกระบี่หยดหนึ่งถูกผนึกไว้ในลูกปัดแห่งดวงดารา
หากเราได้มันมาและถวายแด่องค์จักรพรรดิมาร
พระองค์จะสามารถใช้โลหิตหยดนั้นฟื้นฟูปราณยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์และพลังกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
!"
"ยิ่งไปกว่านั้น การสืบทอดของเทพกระบี่สามารถช่วยเผ่าพันธุ์พวกเราให้บ่มเพาะพลังได้เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป
ไม่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวน่ากลัวอีก !”
กุ้ยโปโปตะลึงงันอยู่พักใหญ่
จากนั้นฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าขนลุกทันทีพลางกล่าวว่า
“นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว ร่างมารแท้จริงของเจ้านั้นน่าเกลียดอัปลักษณ์จริงๆ เคะๆๆ.....”
ราชามารโลหิตหรี่ตาลง จ้องมองลงมากล่าวว่า “เฮอะ ! พูดอย่างกับเจ้าไม่น่าเกลียดเลยสิ ?"
กุ้ยโปโปส่ายหัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน “แม้ข้าจะแก่ชราลงแต่ก็ยังเป็นสาวงามดั่งบุบผาแรกแย้ม
ไม่เช่นนั้นเจ้าจะหลงใหลจนต้องมุดใต้กระโปรงทับทิมของข้าได้อย่างไร ?”
ราชามารโลหิตกลอกตาอย่างเงียบงันและไม่พูดอะไรอีก
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้สีหน้าท่าทางของกุ้ยโปโปที่พูดหน้าตาเฉยเช่นนี้
มันก็ไม่รู้จะพูดคำใดให้เปลืองน้ำลาย
กุ้ยโปโป กลับมาพูดเรื่องสำคัญ
กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า “เอาเถอะ พูดไปแล้วก็น่าเศร้านัก เมื่อคนผู้หนึ่งอยากได้พลังมหาศาลจนใกล้เคียงกับคำว่าเทพ
มันก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนและเครื่องสังเวย...."
เมื่อมารโลหิตได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนของนาง
มันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
มันก้มลงเอื้อมมือไปตบไหล่ของกุ้ยโปโปเบาๆและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“กุ้ยโปโป
อย่าได้คิดมาก เรื่องมันผ่านมานานนมแล้ว
มุ่งมั่นในทางที่พวกเราต้องเดินต่อไปและภารกิจสำคัญกันดีกว่า !”
กุ้ยโปโปพยักหน้าและตอบว่า “อืม”
จากนั้นนางก็คว้ากองฟางสีเหลืองหนึ่งกำมือออกมาจากแขนเสื้อหลวมกว้าง
เมื่อเพ่งมองอย่างใกล้ชิดจะพบว่า พวกมันคือหุ่นไล่กาสิบหกตัว
ซึ่งแต่ละตัวมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ
กุ้ยโปโปวางหุ่นไล่กาสิบหกตัวเรียงรายไว้บนโต๊ะศิลาเป็นแถวเดียวกัน
จากนั้นหยิบยันต์สิบหกแผ่นออกมาจากแขนเสื้ออีกรอบ
ด้วยมนต์มารคาถาที่นิ้วสองข้างในมือซ้าย
ผสานกับไม้เท้างูสองหัวในมือขวา มันก่อเกิดลำแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา
ในขณะที่ปากของนางก็พึมพำท่องมนต์คาถาอันลึกลับ
ทันใดนั้น ยันต์ก็จุดประกายแสงเพลิงสีเขียว
ห่อหุ้มหุ่นไล่กา บินออกจากห้องและหยุดที่ลานกว้างด้านนอก
“ ตึง !”
หุ่นไล่กาที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ
กลายสภาพเป็นชายร่างผอมสูงกว่าสองเมตร
มันสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทและยืนอยู่ในลานกว้างอย่างไม่ไหวติง
ชายผอมในเสื้อคลุมดำมีใบหน้าและร่างกายที่ปกปิดไว้มิดชิดภายใต้เสื้อคลุมดำ
ราวกับว่ามันถูกกลืนกินไว้ด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด
สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็คือไฟสีเขียวที่จุดประกายคู่หนึ่งภายในเสื้อคลุมดำ มันดูเหมือนดวงตาสีเขียวมรกตสองจุด
หลังจากนั้นแทบจะในทันทีกุ้ยโปโปก็ร่ายมนต์คาถาอันลึกลับอีกครั้ง
จากนั้นแปะยันต์ไว้ที่หุ่นไล่กาตัวที่สอง
"ตึง !"
ชายร่างผอมคนที่สองในชุดคลุมสีดำพลันปรากฏตัวขึ้นที่ลานกว้าง
ยืนนิ่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะ
ถัดไป กุ้ยโปโปก็ทำแบบเดิมซ้ำๆต่อเนื่อง
จนชายผอมชุดดำคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวต่อไปเรื่อยๆ
คนที่สาม
คนที่สี่
คนที่ห้า ........
ในช่วงเวลาสั้นๆหุ่นไล่กาสิบหกตัวถูกหล่อหลอมไว้ยันต์คาถาและพุ่งออกไปข้างนอก
กลายเป็นชายชุดดำสิบหกคน
กุ้ยโปโปร่ายมนต์ในมือซ้ายและสั่นไม้เท้างูสองหัวในมือขวาราวกับกำลังออกคำสั่งต่อพวกมัน
ทันใดนั้นชายชุดดำสิบหกคนในเสื้อคลุมสีดำก็กระโจนออกจากลาน
เดินผ่านถนนราวกับภูตผีวิญญาณ ทะยานออกนอกเมือง
หลังจากพวกมันทั้งสิบหกคนจากไป
กุ้ยโปโปก็พูดว่า
“เอาล่ะ
รอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่เถอะ”
มารโลหิตเห็นเคล็ดวิชาน่าพิศวงของนางเต็มสองตา
มันอดไม่ได้ที่จะต้องแสยะยิ้ม
“กุ้ยโปโป
ไม่เจอกันหลายปี เจ้ากลายเป็นยิ่งมายิ่งอาคมแก่กล้านัก”
กุ้ยโปโปหัวเราะคิกคักด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เคะๆๆ ก็แค่หนึ่งในลูกเล่นกิ๊กก๊อกของข้า
รอดูการแสดงที่ดีเถอะ"
...................
ยามนี้เป็นเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์ตกดิน
รัตติกาลกำลังจะมาเยือน
กระเรียนวิญญาณของหยุนเหยาบินติดต่อกันห้าชั่วยาม
ในที่สุดก็ข้ามเส้นทางกว่าสองพันไมล์และมาถึงบริเวณใกล้เคียงของเมืองวิญญาณเพลิง
บนท้องฟ้าสลัว นกกระเรียนวิญญาณกำลังบินวนเวียนอยู่เหนือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
จี้เทียนซิง
หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวยืนอยู่ด้านหลังของมันและมองเห็นทุ่งหญ้า
หลงหยุนเซียวขมวดคิ้ว
หันไปมองหยุนเหยาที่อยู่ด้านหน้าพลางถามว่า “พวกเรามาถึงเมืองวิญญาณเพลิงแล้วหรือ ?"
หยุนเหยาไม่ตอบคำ
แต่จี้เทียนซิงเปิดปากอธิบายว่า "เทียนจือ ทุ่งหญ้าด้านล่างเป็นทางเข้าเมืองวิญญาณเพลิง
เมืองนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยมหาข่ายปราณซึ่งมิอาจมองเห็นได้โดยง่าย"
หลงหยุนเซียวพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
กระเรียนวิญญาณก็กระพือปีกอยู่หลายครั้งและร่อนลงบนพื้นหญ้าอย่างช้าๆ
ทั้งสามกระโดดจากกลางหลังของมัน
เดินไปตามทุ่งหญ้า ส่วนหยุนเหยาก็โบกมือเก็บกระเรียนวิญญาณไว้ในจี้หยกที่ห้อยคอ
จี้เทียนซิงกวาดสายตามองไปมองมารอบๆเพื่อหาศิลาหินซึ่งเป็นด่านแรก
ทั้งหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวยืนนิ่งและมองไปรอบๆอย่างเงียบงัน
ปล่อยให้จี้เทียนซิงเป็นคนนำทาง
แสงสลัวและความเงียบบนทุ่งหญ้า เผยให้เห็นกลิ่นอายอันเย็นยะเยือก
จี้เทียนซิงเดินเป็นวงกลมและค้นหาจนพบศิลาหินที่อยู่ร้อยเมตรเบื้องหน้า
ในขณะที่เขากำลังจะกวักมือเรียกทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง
ทันใดนั้น ในทุ่งหญ้าข้างหลังเขาปรากฏกลุ่มไฟที่ลุกโชนสิบกว่าจุดระเบิดขึ้น
"ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ .....!"
ภายในพริบตาเดียว บนพื้นหญ้าที่ว่างเปล่ามีชายร่างผอมชุดดำสนิทสิบกว่าคนโผล่พุ่งขึ้นมาจากอากาศที่เบาบาง
ชายในชุดคลุมดำทุกคนเต็มไปด้วยไอมรณะที่เย็นยะเยือกจับจิต
ราวกับวิญญาณชั่วร้ายที่ผุดมาจากขุมนรกอเวจี !
พวกมันปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงันและจู่โจมอย่างไม่รีรอ
พุ่งทะยานไปหาจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็วราวกับระเบิด
ถึงแม้พวกมันจะไม่มีอาวุธในมือ
แต่กรงเล็บในสองมือของพวกมันนั้นก็เรียวแหลมและคมกริบราวกับมีดสั้นชั้นเลิศ
เหมือนมิใช่มือของมนุษย์
ชายชุดดำสิบหกคนล้อมรอบจี้เทียนซิงในทันที พวกมันกางกรงเล็บสีดำทมิฬที่แหลมคม
คว้าตะกุยไปที่ส่วนสำคัญทั้งหมดทั่วร่างกาย
ในขณะนั้น จี้เทียนซิงรู้สึกแค่เพียงว่ามีสายลมเย็นพัดผ่านใบหน้า
ทั่วร่างของเขากลายเป็นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง
หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวรู้สึกผิดสังเกตเช่นกัน
พวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่เข้าท่า
สีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีและตะโกนร้องเตือน
"เทียนซิง ระวัง !"
"ระวัง ! มีบางอย่างกำลังโจมตี !"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved