ตอนที่ 389 ลอบจู่โจม

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพสองบุรุษหนึ่งสตรีที่ปรากฏบนเจดีย์ม่วงเก้าชั้นก็คือ

จี้เทียนซิง หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์

มารโลหิตมองไปที่คนทั้งสามในภาพฉาย ดวงตาตรึงแน่นอยู่ที่จี้เทียนซิงและสั่นระริกด้วยความกระหายเลือดอย่างรุนแรง

"กุ้ยโปโป (มารดาผี)

เจ้าเด็กนั่นสำคัญกับเราราชันมาก ตามข่าวของมหาปุโรหิต

เจ้าเด็กนั่นครอบครองลูกปัดแห่งดาราและมีความสัมพันธ์ลึกลับบางอย่างกับเทพกระบี่”

"เราต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า

ลองตรวจจับดูซิว่าลูกปัดดวงดาราอยู่ในตัวมันหรือไม่”

กุ้ยโปโปชำเลืองมองจี้เทียนซิงในภาพและพยักหน้าเบาๆพลางกล่าวว่า

"ลำพังฝีมือเด็กน้อยสามคนกลับกล้าเข้ามาถึงถิ่นข้า

ช่างไม่รู้เสียแล้ว คำว่าตายเขียนยังไง !”

สิ้นเสียง กุ้ยโปโปก็เงียบไปครู่หนึ่งและถามด้วยความสงสัยว่า

“จะว่าไป

เจ้าก็ตามหาลูกปัดแห่งดวงดารามานานกว่าร้อยปี

หนำซ้ำเจ้ายินดีใช้ทุกวิถีทางและทรัพยากรทั้งหมดเพื่อของสิ่งนี้   ทำไมกัน ?”

ราชามารโลหิตลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ

"เราราชันได้ตรวจสอบมา ว่ากันว่าโลหิตเทพกระบี่หยดหนึ่งถูกผนึกไว้ในลูกปัดแห่งดวงดารา

หากเราได้มันมาและถวายแด่องค์จักรพรรดิมาร

พระองค์จะสามารถใช้โลหิตหยดนั้นฟื้นฟูปราณยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์และพลังกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

!"

"ยิ่งไปกว่านั้น การสืบทอดของเทพกระบี่สามารถช่วยเผ่าพันธุ์พวกเราให้บ่มเพาะพลังได้เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป

ไม่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวน่ากลัวอีก !”

กุ้ยโปโปตะลึงงันอยู่พักใหญ่

จากนั้นฉีกยิ้มกว้างอย่างน่าขนลุกทันทีพลางกล่าวว่า

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว  ร่างมารแท้จริงของเจ้านั้นน่าเกลียดอัปลักษณ์จริงๆ  เคะๆๆ.....”

ราชามารโลหิตหรี่ตาลง จ้องมองลงมากล่าวว่า “เฮอะ ! พูดอย่างกับเจ้าไม่น่าเกลียดเลยสิ ?"

กุ้ยโปโปส่ายหัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวน “แม้ข้าจะแก่ชราลงแต่ก็ยังเป็นสาวงามดั่งบุบผาแรกแย้ม

ไม่เช่นนั้นเจ้าจะหลงใหลจนต้องมุดใต้กระโปรงทับทิมของข้าได้อย่างไร ?”

ราชามารโลหิตกลอกตาอย่างเงียบงันและไม่พูดอะไรอีก

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้สีหน้าท่าทางของกุ้ยโปโปที่พูดหน้าตาเฉยเช่นนี้

มันก็ไม่รู้จะพูดคำใดให้เปลืองน้ำลาย

กุ้ยโปโป กลับมาพูดเรื่องสำคัญ

กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกว่า “เอาเถอะ พูดไปแล้วก็น่าเศร้านัก เมื่อคนผู้หนึ่งอยากได้พลังมหาศาลจนใกล้เคียงกับคำว่าเทพ

มันก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนและเครื่องสังเวย...."

เมื่อมารโลหิตได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนของนาง

มันก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

มันก้มลงเอื้อมมือไปตบไหล่ของกุ้ยโปโปเบาๆและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“กุ้ยโปโป

อย่าได้คิดมาก เรื่องมันผ่านมานานนมแล้ว

มุ่งมั่นในทางที่พวกเราต้องเดินต่อไปและภารกิจสำคัญกันดีกว่า !”

กุ้ยโปโปพยักหน้าและตอบว่า “อืม”

จากนั้นนางก็คว้ากองฟางสีเหลืองหนึ่งกำมือออกมาจากแขนเสื้อหลวมกว้าง

เมื่อเพ่งมองอย่างใกล้ชิดจะพบว่า พวกมันคือหุ่นไล่กาสิบหกตัว

ซึ่งแต่ละตัวมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ

กุ้ยโปโปวางหุ่นไล่กาสิบหกตัวเรียงรายไว้บนโต๊ะศิลาเป็นแถวเดียวกัน

จากนั้นหยิบยันต์สิบหกแผ่นออกมาจากแขนเสื้ออีกรอบ

ด้วยมนต์มารคาถาที่นิ้วสองข้างในมือซ้าย

ผสานกับไม้เท้างูสองหัวในมือขวา มันก่อเกิดลำแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา

ในขณะที่ปากของนางก็พึมพำท่องมนต์คาถาอันลึกลับ

ทันใดนั้น ยันต์ก็จุดประกายแสงเพลิงสีเขียว

ห่อหุ้มหุ่นไล่กา บินออกจากห้องและหยุดที่ลานกว้างด้านนอก

“ ตึง !”

หุ่นไล่กาที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวไฟ

กลายสภาพเป็นชายร่างผอมสูงกว่าสองเมตร

มันสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทและยืนอยู่ในลานกว้างอย่างไม่ไหวติง

ชายผอมในเสื้อคลุมดำมีใบหน้าและร่างกายที่ปกปิดไว้มิดชิดภายใต้เสื้อคลุมดำ

ราวกับว่ามันถูกกลืนกินไว้ด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นสิ่งใด

สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนก็คือไฟสีเขียวที่จุดประกายคู่หนึ่งภายในเสื้อคลุมดำ  มันดูเหมือนดวงตาสีเขียวมรกตสองจุด

หลังจากนั้นแทบจะในทันทีกุ้ยโปโปก็ร่ายมนต์คาถาอันลึกลับอีกครั้ง

จากนั้นแปะยันต์ไว้ที่หุ่นไล่กาตัวที่สอง

"ตึง !"

ชายร่างผอมคนที่สองในชุดคลุมสีดำพลันปรากฏตัวขึ้นที่ลานกว้าง

ยืนนิ่งและเต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะ

ถัดไป กุ้ยโปโปก็ทำแบบเดิมซ้ำๆต่อเนื่อง

จนชายผอมชุดดำคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวต่อไปเรื่อยๆ

คนที่สาม

คนที่สี่

คนที่ห้า  ........

ในช่วงเวลาสั้นๆหุ่นไล่กาสิบหกตัวถูกหล่อหลอมไว้ยันต์คาถาและพุ่งออกไปข้างนอก

กลายเป็นชายชุดดำสิบหกคน

กุ้ยโปโปร่ายมนต์ในมือซ้ายและสั่นไม้เท้างูสองหัวในมือขวาราวกับกำลังออกคำสั่งต่อพวกมัน

ทันใดนั้นชายชุดดำสิบหกคนในเสื้อคลุมสีดำก็กระโจนออกจากลาน

เดินผ่านถนนราวกับภูตผีวิญญาณ ทะยานออกนอกเมือง

หลังจากพวกมันทั้งสิบหกคนจากไป

กุ้ยโปโปก็พูดว่า

“เอาล่ะ

รอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่เถอะ”

มารโลหิตเห็นเคล็ดวิชาน่าพิศวงของนางเต็มสองตา

มันอดไม่ได้ที่จะต้องแสยะยิ้ม

“กุ้ยโปโป

ไม่เจอกันหลายปี เจ้ากลายเป็นยิ่งมายิ่งอาคมแก่กล้านัก”

กุ้ยโปโปหัวเราะคิกคักด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เคะๆๆ ก็แค่หนึ่งในลูกเล่นกิ๊กก๊อกของข้า

รอดูการแสดงที่ดีเถอะ"

...................

ยามนี้เป็นเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์ตกดิน

รัตติกาลกำลังจะมาเยือน

กระเรียนวิญญาณของหยุนเหยาบินติดต่อกันห้าชั่วยาม

ในที่สุดก็ข้ามเส้นทางกว่าสองพันไมล์และมาถึงบริเวณใกล้เคียงของเมืองวิญญาณเพลิง

บนท้องฟ้าสลัว นกกระเรียนวิญญาณกำลังบินวนเวียนอยู่เหนือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

จี้เทียนซิง

หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวยืนอยู่ด้านหลังของมันและมองเห็นทุ่งหญ้า

หลงหยุนเซียวขมวดคิ้ว

หันไปมองหยุนเหยาที่อยู่ด้านหน้าพลางถามว่า “พวกเรามาถึงเมืองวิญญาณเพลิงแล้วหรือ ?"

หยุนเหยาไม่ตอบคำ

แต่จี้เทียนซิงเปิดปากอธิบายว่า "เทียนจือ ทุ่งหญ้าด้านล่างเป็นทางเข้าเมืองวิญญาณเพลิง

เมืองนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยมหาข่ายปราณซึ่งมิอาจมองเห็นได้โดยง่าย"

หลงหยุนเซียวพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

กระเรียนวิญญาณก็กระพือปีกอยู่หลายครั้งและร่อนลงบนพื้นหญ้าอย่างช้าๆ

ทั้งสามกระโดดจากกลางหลังของมัน

เดินไปตามทุ่งหญ้า ส่วนหยุนเหยาก็โบกมือเก็บกระเรียนวิญญาณไว้ในจี้หยกที่ห้อยคอ

จี้เทียนซิงกวาดสายตามองไปมองมารอบๆเพื่อหาศิลาหินซึ่งเป็นด่านแรก

ทั้งหยุนเหยาและหลงหยุนเซียวยืนนิ่งและมองไปรอบๆอย่างเงียบงัน

ปล่อยให้จี้เทียนซิงเป็นคนนำทาง

แสงสลัวและความเงียบบนทุ่งหญ้า เผยให้เห็นกลิ่นอายอันเย็นยะเยือก

จี้เทียนซิงเดินเป็นวงกลมและค้นหาจนพบศิลาหินที่อยู่ร้อยเมตรเบื้องหน้า

ในขณะที่เขากำลังจะกวักมือเรียกทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง

ทันใดนั้น ในทุ่งหญ้าข้างหลังเขาปรากฏกลุ่มไฟที่ลุกโชนสิบกว่าจุดระเบิดขึ้น

"ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ .....!"

ภายในพริบตาเดียว บนพื้นหญ้าที่ว่างเปล่ามีชายร่างผอมชุดดำสนิทสิบกว่าคนโผล่พุ่งขึ้นมาจากอากาศที่เบาบาง

ชายในชุดคลุมดำทุกคนเต็มไปด้วยไอมรณะที่เย็นยะเยือกจับจิต

ราวกับวิญญาณชั่วร้ายที่ผุดมาจากขุมนรกอเวจี !

พวกมันปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงันและจู่โจมอย่างไม่รีรอ

พุ่งทะยานไปหาจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็วราวกับระเบิด

ถึงแม้พวกมันจะไม่มีอาวุธในมือ

แต่กรงเล็บในสองมือของพวกมันนั้นก็เรียวแหลมและคมกริบราวกับมีดสั้นชั้นเลิศ

เหมือนมิใช่มือของมนุษย์

ชายชุดดำสิบหกคนล้อมรอบจี้เทียนซิงในทันที พวกมันกางกรงเล็บสีดำทมิฬที่แหลมคม

คว้าตะกุยไปที่ส่วนสำคัญทั้งหมดทั่วร่างกาย

ในขณะนั้น จี้เทียนซิงรู้สึกแค่เพียงว่ามีสายลมเย็นพัดผ่านใบหน้า

ทั่วร่างของเขากลายเป็นเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง

หยุนเหยาและหลงหยุนเซียวรู้สึกผิดสังเกตเช่นกัน

พวกเขารู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่เข้าท่า

สีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีและตะโกนร้องเตือน

"เทียนซิง ระวัง !"

"ระวัง ! มีบางอย่างกำลังโจมตี !"