ตอนที่ 136

แข็งขืนต่อโชคชะตา

ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจี้หลิงก็สะดุ้งตกใจ

เขาหันศีรษะไปมองทันทีและได้เห็นชายหนุ่มเสื้อคลุมสีฟ้ายืนอยู่ห่างจากเขาไปสิบก้าว

ชายหนุ่มผู้นี้คือคนที่เขาเกลียดชังที่สุดในชีวิต  มันเป็นผู้ขัดขวางความใฝ่ฝันและเส้นทางแห่งราชัน

!

เมื่อเห็นจี้เทียนซิงปรากฏตัวขึ้นตามหลังมาติดๆด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

จี้หลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ

เขาทำเป็นใจดีสู้เสือและตะโกนใส่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“จี้เทียนซิง เจ้าต้องการอะไร ?"

“เหอๆ ข้าต้องการอะไร? ยังมีหน้ามาถามอีก เจ้าไม่รู้จริงหรือ ?”

จี้เทียนซิงแสยะยิ้มและเดินเข้าหาด้วยเจตนาฆ่าฟันอันรุนแรง

ทันใดนั้นจี้หลิงก็ตื่นตระหนกและก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว  เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “จี้เทียนซิง เจ้าอย่าได้หลงลืมกำพืดตัวเอง

เจ้ายังคงเป็นข้าราชบริพารของรัฐนภากระจ่างอยู่นะ !”

“ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนพิการ

แต่ข้าก็ยังมีฐานันดรเป็นองค์ชายและราชาอยู่ !”

จี้เทียนซิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม

"เหอะ แต่ที่นี่คือดินแดนดาราบรรพกาลไม่ใช่รัฐนภากระจ่าง

ตัวตนที่เป็นองค์ชายของเจ้าไม่มีค่าห่าเหวอะไรที่นี่ทั้งนั้น !“

“ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงคนพิการที่ถูกขับไล่จากนิกายและเป็นดั่งสุนัขจรจัด

หากตอนนี้ไม่ฆ่าเจ้าแล้วจะให้ข้ารอตอนไหนเล่า ?”

จี้หลิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความหวาดกลัว

ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นดุร้ายเหมือนจะพยายามค้นหาทางรอดทุกวิถีทาง

ในขณะที่ก้าวถอยหลังเขาก็ตะโกนอย่างเย็นชา

“จี้เทียนซิง อย่าได้ลืม ตระกูลจี้ของเจ้ายังอยู่ในเมืองจักรวรรดิ ครอบครัวและคนที่เจ้ารักยังคงเป็นข้าราชบริพารในปกครองของข้า

!”

“หากเจ้ากล้าฆ่าข้า ราชวงศ์จี้จะต้องล้างตระกูลของเจ้า

แม้แต่หมูหมาก็ไม่มีรอด !”

“เจ้าอย่าได้หุนหันเสียดีกว่า ลองคิดถึงตัวเองและคนที่เจ้ารัก…”

จี้หลิงเอ่ยถึงตระกูลจี้และจี้ชางคงเพื่อพยายามข่มขู่จี้เทียนซิงซึ่งทำให้จิตสังหารและความโกรธแค้นของชายหนุ่มปะทุซ่านยิ่งกว่าเดิม

เขาคำรามว่า

“จี้หลิง เจ้านี่มันเดรัจฉานที่โหดเหี้ยมไร้ยางอายสิ้นดี  ! เจ้ายังมีหน้าเอาตระกูลจี้มาข่มขู่ข้าอีกงั้นหรือ

!?”

“ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เจ้าก็ต้องตาย !”

ฟุ่บ

!

ท้ายที่สุดแล้วจี้เทียนซิงก็ไม่คิดต่อปากต่อคำกับจี้หลิงอีกต่อไป

ร่างของเขาก็พุ่งทะยานเข้าหาอีกฝ่ายและเหวี่ยงกำปั้นใส่ศีรษะทันที

จี้หลิงที่ตันเถียนถูกทำลายและกลายเป็นคนธรรมดา

ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีรอดจากหมัดของจี้เทียนซิง

"ผลั่ก !"

เสียงหมัดกระแทกศีรษะดังขึ้น

จี้หลิงถูกชกกระเด็นกลิ้งไปตามต้นไม้ริมถนนหลายเมตร

หลังจากถูกชกอย่างแรงเขาก็ยังไม่ได้สลบหรือตกตาย

แต่ปากและจมูกของเขาเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม

เขาพยายามคลานออกมาจากพุ่มไม้และคำรามอย่างคลั่ง

“จี้เทียนซิง ! ที่นี่คือดินแดนดาราบรรพกาล เจ้ากล้าฆ่าข้า ? ไม่กลัวละเมิดกฎและถูกขับออกจากนิกายหรือไง !?”

จี้เทียนซิงแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน

“เหอะ ที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์เสียหน่อยและเจ้าก็ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายอีกแล้ว  ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงสุนัขจนตรอก

ต่อให้ข้าฆ่าเจ้าก็ไม่มีใครสนใจ !”

“หมัดนี้เพื่อเค่อเค่อ ข้าจะล้างแค้นให้นาง  ไปตายซะจี้หลิง !!"

จี้เทียนซิงคำรามกึกก้องและพุ่งเข้าหาจี้หลิงอีกครั้งพลางเหวี่ยงหมัดไปที่หน้าอกและลำคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี

“ผลั่ก !

ผลั่ก !!” เสียงหมัดกระแทกร่างดังขึ้นอีกครั้งและร่างกายของจี้หลิงก็ลอยกระเด็นออกไปดั่งว่าวหลุดสายป่าน

เขากลิ้งโคโร่ไปหลายตลบก่อนจะกองลงกับพื้นชนกับต้นไม้ใหญ่  จากนั้นคอของเขาก็พับลงไร้ซึ่งเสียงใดๆอีกต่อไป

โลหิตแดงสดไหลท่วมปากจมูกและโรยลงบนพื้นหญ้า  หมัดที่แฝงไว้ด้วยพลังปราณของจี้เทียนซิงทำให้หัวใจและลำคอของจี้หลิงแตกสลาย

จากนั้นจี้เทียนซิงก็เดินตรงไปที่ร่างไร้วิญญาณของอีกฝ่ายเพื่อยื่นมือออกไปแตะชีพจรและลมหายใจ

เมื่อยืนยันแน่ชัดว่าจี้หลิงตายแล้ว

จี้เทียนซิงหันหลังเดินออกจากป่า  เขายืนอยู่บนถนนหินสีฟ้า กำหมัดไว้แน่นแล้วพ่นลมหายใจระบายความคับข้องออกมา

ความอดทนข่มกลั้นและคับแค้นใจเป็นเวลานานทั้งหมดจบสิ้นไปพร้อมกับการตายของจี้หลิง

ในที่สุดเขาก็แก้แค้นให้กับจี้เค่อและระบายความแค้นให้กับตัวเองได้สำเร็จ

!

“เป็นลิขิตฟ้าที่เจ้าสมควรได้รับแล้ว !”

จี้เทียนซิงร่ำร้องสู่ท้องฟ้าเพื่อระบายความเกลียดชังในหัวใจ  หลังจากปรับอารมณ์อยู่ชั่วครู่เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้น

เขาก้าวยาวๆมุ่งหน้ากลับนิกายพันธมิตรสวรรค์ทันที

ส่วนศพของจี้หลิงนั้นเขาขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจ

เทือกเขาแห่งนี้ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัยและเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้ายมากมาย  คาดว่าอีกไม่นานศพของจี้หลิงก็คงถูกสัตว์ป่าแทะกินจนไม่เหลือซาก

............

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

จี้เทียนซิงก็กลับมาถึงนิกายพันธมิตรสวรรค์

เขาไม่ได้กลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋นทันทีแต่มุ่งหน้าไปยังหอวิญญาณโอสถเพื่อเยี่ยมจี้เค่อที่กำลังพักรักษาตัว

แต่ในช่วงที่จี้เทียนซิงสังหารจี้หลิง

เขาไม่ได้รู้เลยว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังจับจ้องเหตุการณ์นั้นอยู่   เมื่อจี้เทียนซิงจากไปไกลแล้วเขาก็ปรากฏตัวออกมา

คนผู้นี้ก็คืออาวุโสชุดดำแห่งหอบัญญัติที่ลากตัวจี้หลิงออกมาทิ้งนอกนิกายนั่นเอง !

เขารีบมุ่งไปยังยอดเขาเมฆาสีชาดและตรงไปที่ตำหนักฉิงเทียน

ภายในห้องโถงหลักว่างเปล่า

มีเพียงฉู่เทียนเซิงเท่านั้นที่กำลังนั่งหลับตาอยู่

ราวกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง....

จากนั้นไม่นานอาวุโสชุดดำก็เดินเข้ามาในห้องโถง

หลังจากโค้งคำนับฉู่เทียนเซิงแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ๆเพื่อกล่าวรายงาน

“รายงานท่านประมุข

จี้เทียนซิงติดตามจี้หลิงไปตลอดทางจนถึงตีนเขาห่างจากนิกายหลายไมล์และขวางทางเขาไว้ขอรับ”

ฉู่เทียนเซิงเหมือนจะคาดหวังต่อผลลัพธ์นี้ไว้แล้ว

สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง เพียงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าจี้หลิงตายแล้ว”

อาวุโสชุดดำพยักหน้าพลางตอบว่า

“ตายแน่นอนขอรับ !”

“ก็ดี” ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เสร็จธุระแล้ว เจ้ากลับไปได้”

“ขอรับท่านประมุข”

อาวุโสชุดดำกำหมัดคารวะและหันหลังเดินออกจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็พึมพำกับตัวเอง

“เรื่องจบลงเช่นนี้นับว่าถูกต้องและดีที่สุดแล้ว  จี้หลิงรู้ความลับของนิกาย

ข้าไม่อาจปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไปได้....”

เห็นได้ชัดถึงเจตนาที่แท้จริงของฉู่เทียนเซิง

ทันทีที่เขาขับไล่จี้หลิงออกจากนิกายก็เหมือนฆ่าเขาทางอ้อมไปแล้ว เขาดูออกว่าจี้เทียนซิงจะต้องตามไปฆ่าจี้หลิงอย่างแน่นอน

......

พลบค่ำ  ท้องเริ่มมืดมิด

ร่างกายไร้วิญญาณของจี้หลิงยังคงนอนอยู่บนพื้นไกลจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ออกไปหลายไมล์

เลือดสีแดงสดของเขาที่ติดอยู่ตามหญ้าเริ่มแห้งจนแข็งตัวแล้ว  ร่างของเขาก็เริ่มเย็นลงและค่อยๆแข็งตัว

สัตว์อสูรตัวเล็กเริ่มเข้ามาใกล้อยู่หลายครั้ง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าศพของจี้หลิงกำลังจะกลายเป็นมื้อค่ำของสัตว์ร้ายเหล่านี้

แต่ในขณะนั้นเองภายในป่าทึบก็มีลมแรงและเกิดหมอกสีดำสองกลุ่มปรากฏขึ้นจากอากาศที่เบาบาง

“วูบ ! วูบ

!”

ร่างสูงโปร่งสองร่างที่สวมเสื้อคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้นในป่า

พวกเขาเดินออกมาจากหมอกสีดำ

ทั้งสองคนนี้ก็คือมหาปุโรหิตและองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยแห่งเผ่ามาร

!

พวกเขาเดินผ่านพุ่มไม้อย่างเงียบงันจนมาถึงศพของจี้หลิง  องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยกระซิบแผ่วเบาว่า “จากที่สังเกตการมา เจ้าเด็กคนนี้ได้เข้าไปในมหาข่ายอาคมพร้อมกับฉู่เทียนเซิง

บางทีมันอาจเป็นประโยชน์ต่อแผนการของพวกเรา มหาปุโรหิต, มันเพิ่งตายไม่นาน เจ้าลองสำรวจดูซิว่าสามารถแยกวิญญาณของมันด้วยวิถีลับมารโลหิตได้หรือเปล่า  หวังว่ามันจะฝืนชะตาสวรรค์ได้”

มหาปุโรหิตพยักหน้าและกางฝ่ามือหยาบกร้านออกมา

หมอกสีดำทมิฬแผ่ออกมาปกคลุมทั่วร่างของจี้หลิงทันที

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หันหน้าไปมององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยพลางพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

ดวงตาขององค์เสวี่ยเยวี่ยเปล่งประกายแห่งความสุขและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“วิเศษ ! พาตัวมันกลับไป ให้มันทำประโยชน์ให้พวกเรา”

วูบ

!

หลังจากนั้นมหาปุโรหิตก็เอื้อมมือออกไปคว้าศพของจี้หลิงและเดินตามหลังองค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยหายเข้าไปในหมอกสีดำ.....

***แมงสาบชิบหาย.....