ตอนที่ 229

เจตนามุ่งร้ายจากศิษย์ฝ่ายใน

นิกายพันธมิตรสวรรค์เต็มไปด้วยบรรยากาศที่สนุกสนานครื้นเครง หลังจากข่าวแพร่กระจายออกไปเข้าหูผู้คน พวกเขาจึงได้ทราบว่านิกายพันธมิตรสวรรค์มีเรื่องน่ายินดีสองเรื่องด้วยกัน

เรื่องแรกคืออันตรายใหญ่หลวงที่ซุกซ่อนและคอยคุกคามนิกายเสมอมาได้ถูกจองจำไว้เรียบร้อยแล้ว

อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปีที่นิกายพันธมิตรสวรรค์จะปลอดภัยและมั่นคง

ส่วนเรื่องที่สองก็คือการที่ประมุขนิกายฉู่เทียนเซิงประกาศรับศิษย์ฝ่ายนอกจี้เทียนซิงเป็นศิษย์สายตรงและมีคำสั่งให้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในทันที

ก่อนหน้านี้

จี้เทียนซิงแสดงฝีมืออันเจิดจรัสบนภูเขามังกร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ทราบกันแล้ว  ในสายตาของศิษย์ฝ่ายนอกแทบทุกคน

จี้เทียนซิงโดดเด่นอย่างมากที่สามารถเอาชนะศิษย์อัจฉริยะแห่งนิกายกระบี่ฟ้าลงได้ถึงสองคน

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นจอมยุทธ์อัจฉริยะก็ไม่น่าจะมีความสำคัญมากถึงขั้นที่ประมุขนิกายประกาศยอมรับเป็นศิษย์สายตรงมิใช่หรือ

?

เรื่องนี้ทำให้ศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนทั้งงุนงงสงสัย

พวกเขาทั้งอิจฉาตาร้อนอย่างแรง

ต่อมาก็ได้มีข่าวแพร่กระจายในนิกายเพิ่มขึ้นอีก  ว่ากันว่าจี้เทียนซิงไม่เพียงแค่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในเชิงยุทธ์โดยกำเนิด

แต่เขายังเชี่ยวชาญข่ายอาคมจนสามารถเปิดใช้งานอาคมเก้ามังผนึกปีศาจและช่วยเหลือนิกายให้รอดพ้นจากวิกฤติไปได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากนิกาย

หลังจากศิษย์จำนวนมากได้ทราบข่าวนี้

พวกเขาก็รู้สึกตื่นตะลึงกันยกใหญ่ ศิษย์ฝ่ายนอกเต็มไปด้วยความอิจฉาเลื่อมใส,ส่วนศิษย์ฝ่ายในมีท่าทีซับซ้อน

ซึ่งศิษย์ฝ่ายในของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั้นมีไม่มากนัก

ในจำนวนนี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะในเชิงยุทธ์

ก่อนหน้าพวกเขาหลายคนแทบไม่รู้จักจี้เทียนซิงและไม่ได้สนใจวีรกรรมของอีกฝ่าย

ภายในช่วงเวลาลัดนิ้วเดียว

จู่ๆชายหนุ่มผู้นี้ก็ทะยานจากศิษย์ฝ่ายนอกเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในได้โดยไม่ต้องผ่านการประเมินแต่อย่างใด

มิหนำซ้ำยังถูกประกาศเป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอีกต่างหาก !

สิ่งนี้ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในหลายคนรู้สึกอัดอัดคับข้อง

บ้างก็ไม่พอใจ บ้างก็รู้สึกอับอาย บ้างก็ด่าทอสาดเสียเทเสียว่ามีเส้นสาย

ด้วยการคาดเดาต่างๆและการพูดต่อๆกัน

ในที่สุดก็ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นปรปักษ์จากศิษย์ฝ่ายในบางกลุ่ม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์สายในหัวกะทิและอาวุโสบางกลุ่ม

พวกเขาเหล่านี้ล้วนใฝ่ฝันจะได้รับการเหลือบแลจากประมุขมานานแล้ว

ซึ่งศิษย์เหล่านี้ต่างก็เข้านิกายมาเป็นเวลาหลายปีแต่ก็ยังไม่อาจบรรลุความปรารถนาได้

แต่วันนี้, จี้เทียนซิง ชายหนุ่มรุ่นเยาว์จากโลกภายนอกที่เพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานกลับได้รับเกียรติยศและศักดิ์ฐานะที่พุ่งทะยานถึงเพียงนี้

อนาคตของเขาเจิดจรัสสดใสไร้ที่สิ้นสุด

เช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงและโกรธแค้นได้อย่างไร ?

..........

บริเวณหนึ่งภายในพื้นที่ของฝ่ายใน มีลานกว้างเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีบรรยากาศอันเงียบสงบ

มันมีต้นไม้สูงตระหง่านตั้งอยู่กลางลานกว้าง

ใต้ต้นไม้มีโต๊ะหินและม้านั่งสี่ตัว

ไป๋หวู่เชินในชุดสีขาวกำลังนั่งอยู่บนม้าหิน

ใบหน้าของเขาดูมืดมนและเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองโกรธแค้น

มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามกับเขา

นั่นก็คือฮ่าวเมิ่งนั่นเอง

เขาหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่มพลางเหล่ตามองไป๋หวู่เชินที่มีสีหน้าบูดบึ้ง

พวกเขาสองคนนั่งกันอยู่ท่ามกลางบรรยากาศมาคุเช่นนี้มานานแล้ว

จนในที่สุดฮ่าวเมิ่งก็อดไม่ไหวที่จะส่ายหัวและกล่าวว่า

“ศิษย์พี่ไป๋ เมื่อไหร่ท่านถึงจะหายหงุดหงิด ?”

ไป๋หวู่เชินกำหมัดและขมวดคิ้วแน่นพลางกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“มารดามันเถอะ ! ไอ้หนูนั่นเพิ่งเข้านิกายได้เพียงสามเดือนเท่านั้น

เหตุใดมันถึงได้ก้าวหน้าเร็วเพียงนี้ ?!”

“ฮ่าวเมิ่ง เจ้าบอกข้าซิ

ตลอดร้อยปีที่ผ่านมามีศิษย์คนไหนบ้างภายในนิกายเราที่สามารถไต่เต้าจากศิษย์ชั้นนอกมาเป็นศิษย์ชั้นในภายในเวลาสามเดือนบ้าง

?”

ฮ่าวเมิ่งครุ่นคิดและส่ายหัว

“เหมือนจะไม่เคยมีมาก่อน

เจ้าหนูจี้เทียนซิงนั่นยอดเยี่ยมมาก”

“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย

ท่านประมุขประกาศในที่สาธารณะแล้ว ผู้อาวุโสก็ไม่คัดค้าน

ท่านไม่เต็มใจแล้วจะทำอะไรได้เล่า ?”

ไป๋หวู่เชินเงียบลง

ในใจเต็มไปด้วยระลอกคลื่นความคิด เขากำลังวิเคราะห์ปฏิกิริยาตามหลังของเรื่องนี้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ฮ่าวเมิ่งจิบชาอีกสองอึกและวางจอกลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ศิษย์พี่ไป๋

จำเป็นด้วยหรือที่ต้องโกรธแค้นกันถึงเพียงนี้ ?”

“ทุกคนมีวิถีชีวิตของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างสวรรค์ได้ลิขิตไว้ ท่านไม่เข้าใจอีกหรือไง ?  พูดก็พูดนะ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ชอบพอเจ้าหนูจี้เทียนซิงนัก

แต่มันก็ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจถึงขั้นอยู่ร่วมโลกไม่ได้”

“ศิษย์พี่ไป๋

เห็นอาการท่านเช่นนี้แล้วข้าก็สงสัยว่าเจ้าหนูนั่นทำอะไรให้ท่านเคียดแค้น ? ทำไมท่านถึงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเช่นนี้หลังจากได้ยินข่าว ?”

ไป๋หวู่เชินขมวดคิ้วและกล่าวเสียงแผ่วเบา

“มันไม่ได้ทำให้ข้าโกรธแค้น

แต่มันขวางทางข้า

รูปร่างหน้าตาและบุคลิกของมันจะทำให้แผนการของข้าพินาศหมดสิ้น !”

“ห๊ะ ? แผนเหรอ

? แผนอะไรของท่านเนี่ย ?”

ฮ่าวเมิ่งใช้ดวงตาคู่โตดุจกระดิ่งจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

ไป๋หวู่เชินหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางโบกมืออย่างรำคาญและกล่าวว่า

“อย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอก”

“เฮอะ ! หากศิษย์นิกายเราเป็นพวกไร้หัวจิตหัวใจแบบศิษย์น้องฮ่าวได้ก็คงดีไม่น้อย

ไม่ต้องเหนื่อยหน่ายใจ !”

ฮ่าวเมิ่งเบิกตากว้างและกล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“ท่านว่าใครไร้หัวใจอ่า ? อย่างข้าเนี่ยเขาเรียกว่าโสดชิลๆพริ้วไปทั่ว !

ในเมื่อไม่มีความปรารถนาก็ไม่เครียด ว่างๆก็ไปบ่มเพาะพลัง

เช่นนี้เก๋ไก๋ดีออก”

“นอกจากนี้นะศิษย์พี่ไป๋ ความคิดในใจของท่าน

ท่านคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆหรือ ?”

ฮ่าวเมิ่งโค้งริมฝีปากขึ้นและกระซิบด้วยเสียงแปลกประหลาดว่า

“ไม่ใช่ว่าท่านอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับศิษย์พี่ใหญ่หรอกหรือ

? เพียงท่านไม่กล้าใช่มั้ยเล่า ? โถๆศิษย์พี่ไป๋ ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นใคร

นางมีอารมณ์แบบไหน”

“ด้วยคุณสมบัติและปูมหลังของนาง ท่านคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่จะหยุดอยู่แค่อาณาจักรเทียนเฉินเล็กๆหรือไง

?”

“นางเป็นจอมยุทธ์หญิงที่แข็งแกร่งและเป็นนางฟ้าที่ชื่นชอบของผู้คน

ท่านจะให้นางพูดคุยเรื่องรักๆใคร่ๆกับท่านง่ายๆได้อย่างไร ?”

“ท่านคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าหนูจี้เทียนซิงเกินไป

หลังจากนี้อีกไม่นานพวกเขาทั้งคู่จะกลายเป็นหัวหน้าศิษย์ผู้สูงส่งที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก

ดังนั้นในใจของท่านจึงคิดว่าเจ้าหนูนั่นเป็นศัตรูหัวใจ ข้าพูดถูกไหม ?”

“ศิษย์น้องฮ่าว ...... นี่เจ้า”

ไป๋หวู่เชินตกตะลึง

สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างพิลึกพิลั่นราวกับว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก

เขาจ้องมองฮ่าวเมิ่งด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นและหัวเราะเยาะกับตัวเองพลางกล่าวว่า

“ตลอดมาข้าคิดว่าศิษย์น้องฮ่าวเป็นพวกมุทะลุบ้าบิ่นใช้แต่กำลัง ที่แท้ข้ามองผิดไป

เจ้าเป็นคนละเอียดอ่อนและช่างสังเกตมาก”

“เมื่อเจ้ามองออกหมดเช่นนี้ ข้าปฏิเสธไปก็นับว่ามิใช่ลูกผู้ชาย  ถูกต้อง คำพูดที่เจ้าพูดมาทั้งหมดก็คือสิ่งที่อยู่ในใจข้า

!”

ฮ่าวเมิ่งยิ้มกรุ้มกริ่มและลดเสียงลงกระซิบว่า

“และข้าก็รู้ด้วยว่าการเข้าใกล้ศิษย์ใหญ่เป็นแค่หนึ่งในแผนของท่าน

นอกจากนี้ท่านยังต้องการเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขเพื่อช่วงชิงโอกาสขึ้นเป็นประมุขนิกายเช่นกัน"

เมื่อได้ยินประโยคนี้

ไป๋หวู่เชินก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ศิษย์น้องฮ่าว เรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะพูด”

ฮ่าวเมิ่งบุ้ยปากและกล่าวอย่างเฉยชาว่า

“ที่แห่งนี้มีเพียงท่านกับข้าอยู่สองหน่อ  มีอะไรที่พูดไม่ได้ ?”

“อย่าว่าแต่ท่านเลย

เรื่องการชิงตำแหน่งประมุขนิกายเนี่ยศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆเขาก็คิดเหมือนกัน  พวกท่านทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายเหมือนกัน”

“ในบรรดาศิษย์สายในทั้งหมด นอกจากข้าที่ไร้ความทะเยอทะยาน

พวกเขาทั้งหมดรวมถึงท่านต่างก็เป็นศิษย์หัวกะทิ

สักวันพวกท่านก็ต้องแข่งขันกันเพื่อความเป็นที่สุด

ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว”

ไป๋หวู่เชินขมวดคิ้วและไม่ได้กล่าวอันใด  ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่ฮ่าวเมิ่งพูดมาทั้งหมดก็เป็นความจริง

ภายในนิกายส่วนในนี้ไม่มีความลับ

ศิษย์ทุกคนต่างก็รู้กันดี

นอกจากนี้ทางนิกายก็ล่วงรู้ถึงการต่อสู้แข่งขันระหว่างศิษย์หัวกะทิทั้งหลาย

แต่ก็ไม่เคยมีการสอดมือเข้ามาแทรกแซง พวกเขาเพียงนิ่งเฉย

ท้ายที่สุดแล้วหากไม่มีการแข่งขันก็จะไม่มีแรงจูงใจในการฝึกฝนให้ก้าวหน้า

สุดท้ายนิกายก็จะขาดพลังจากศิษย์รุ่นใหม่ๆ

นิกายพันธมิตรสวรรค์มีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีเหนืออาณาจักรเทียนเฉินมาเป็นเวลานับพันปีก็เป็นเพราะระบบการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรง

มันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เหล่าศิษย์บ่มเพาะจนก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

ศิษย์สายในระดับหัวกะทิทุกคนล้วนมีโอกาสในการแข่งขันกันขึ้นเป็นว่าที่ประมุขนิกายคนต่อไป

บัดนี้ในรายชื่อผู้มีสิทธิ์นั้นก็ได้นับรวมจี้เทียนซิงเข้าไปด้วยอีกคนแล้ว !