ในเวลานี้ระดับพลังยุทธ์ของจี้เทียนซิงได้มาถึงขีดสุดของขอบเขตปราณจิตแล้ว
เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเขาก็สามารถทะลวงด่าน
ไปถึงขอบเขตปราณโอสถ
น่าเสียดาย แม้จะฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่ได้สมบูรณ์แล้ว
แต่เขากลับไม่สามารถฝึกขั้นที่ห้าได้
วิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้านั้นกำหนดให้เขาต้องหลอมรวมตัวอ่อนกระบี่, เส้นชีพจรกระบี่ทั้งเก้าและจุดฝังเข็มทั้งเจ็ดสิบสองจุด
ควบแน่นเป็นเจี้ยนกง (剑宫)
สิ่งที่เรียกว่าเจี้ยนกงนี้มีพื้นฐานมาจากการก่อตัวของเส้นชีพจรกระบี่ทั้งเก้า
โดยการใช้ตัวอ่อนกระบี่และจุดฝังเข็มทั้งเจ็ดสิบสองเป็นฐานรากในการเพิ่มพลังและเปลี่ยนแปลงเจี้ยนกง
เมื่อเจี้ยนกงถูกควบแน่นเรียบร้อยแล้ว มันจะสามารถเพิ่มพลังลมปราณได้ถึงเก้าเท่า
สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ผู้ฝึกได้อีกมากมาย หนำซ้ำยังมีผลกระทบที่น่าอัศจรรย์ต่างๆ
สรุปแล้วเจี้ยนกงเป็นความลึกลับที่วิเศษ มันแปลงโครงสร้างภายในของร่างกายมนุษย์และผสานกายมนุษย์เข้ากับฟ้าดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่น่าเสียดายที่การฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้านั้น
เห็นได้ชัดว่าคนธรรมดาไม่สามารถฝึกฝนได้
จี้เทียนซิงพยายามหลายสิบครั้งติดต่อกันแล้วก็ล้มเหลวทุกครั้ง
ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้และทำได้เพียงบ่มเพาะเพื่อรักษาตัวเองต่อไป
จนถึงตอนนี้จี้เทียนซิงเข้าใจแล้วว่าคำพูดที่จางเทียนเคยกล่าวไว้ครั้งแรกตอนที่ทั้งสองพบกันนั้นถูกต้องทุกประการ
เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ทั่วไปและทำได้เพียงบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ได้ถึงขั้นที่สี่เท่านั้น
นี่เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
หากไม่สามารถหลอมรวมโลหิตเทพกระบี่
เขาจะไม่สามารถฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้าได้ชั่วชีวิต
ขอบเขตพลังยุทธ์ของเขาจะหยุดอยุ่ที่ปราณจิตและไม่มีวันตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณโอสถ
จี้เทียนซิงทอดถอนใจ
หลังจากสงบใจลงเขาก็เก็บตัวบ่มเพาะต่อไปอีกหลายวัน
จนกว่าอาการบาดเจ็บหายเป็นปกติ พลังกลับคืนสู่จุดสูงสุดเขาจะย้อนกลับไปยังสุสานพันปีใต้ภูเขามังกรเพื่อหาทางทำลายข่ายปราณระดับสวรรค์และตามหาลูกปัดแห่งดวงดารา
ท้ายที่สุดแล้วหลังจากที่เขาบรรลุปราณจิตขั้นสูงสุด
พลังการรบที่แท้จริงและระดับความหนาแน่นของลมปราณก็สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณโอสถทั่วๆไป
ด้วยพลังในตอนนี้ บางทีอาจจะพอมีหวังในการทำลายข่ายปราณที่นั่นก็เป็นได้!
…...............
ทางตอนเหนือของอาณาจักรเทียนเฉิน ไกลแสนไกลออกไปหลายร้อยล้านไมล์
มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและเจริญรุ่งเรือง
บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของทวีปลมปราณฟ้า
มันไม่เพียงแค่เป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดเท่านั้น
แต่ยังเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะการต่อสู้ เป็นแหล่งชุมนุมเสือมังกรที่แข็งแกร่งมากมายดั่งก้อนเมฆบนฟ้า
เหล่ายอดยุทธ์ที่แข็งแกร่งจากทุกเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในทวีปลมปราณฟ้าเรียกบริเวณนี้ว่า
จ้งโจว ! (แผ่นดินกลาง)
ในพื้นที่ทางตอนใต้ของจ้งโจวมีทิวเขาสูงตระหง่านและเรียกว่าภูเขาเหลียนเทียน
ใจกลางของหุบเขาเหลียนเทียน มียอดเขามหึมาสูงตระหง่านนับ
10,000 เมตรตั้งอยู่บนเส้นชีพจรมังกร
ยอดเขายักษ์นี้มีชื่อว่ายอดเขาเจี๋ยเทียน มันเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก
ที่เชิงเขาถัดจากยอดเขาเจี๋ยเทียน มีชินโต* (神道)ขนาดใหญ่และกว้างใหญ่ซึ่งทอดตัวไปตามภูเขาสูงชันจนถึงยอดเขา
*ชินโต เป็นลัทธิตามความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่น คำว่า ชินโต
มาจากตัวอักษรจีน หรือคันจิ 2 ตัวรวมกัน คือ ชิน หมายถึงเทพเจ้า และ โต
หมายถึงวิถีทางหรือศาสตร์วิชา หรือ เต๋า ในลัทธิเต๋านั่นเอง เมื่อรวมกันแล้ว
จะหมายถึงศาสตร์แห่งเทพเจ้า หรือวิถีแห่งเทพเจ้า*
อย่างไรก็ตาม จากเชิงเขาด้านล่างไปจนถึงยอดเขาล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวหนาแน่น
ครึ่งหนึ่งของยอดเขาเจี๋ยเทียนตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลเมฆ
ราวกับภูเขานางฟ้าบนท้องฟ้า
ตำหนักที่งดงามและสง่างามมากมายหลายแห่งตั้งอยู่บนยอดเขา
มันดูราวกับวิหารของเหล่าทวยเทพ
นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ลานแห่งจักรพรรดิที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและยิ่งใหญ่สง่างามบนแผ่นดินใหญ่ !
ณ ลานใหญ่แห่งนี้มีสามตำหนัก เก้าวิหารและลานย่อยอีกสิบแปดแห่ง
ตำหนักและวิหารแต่ละหลังนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยมีขนาดกว้างใหญ่
เผยให้เห็นแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวและการครอบงำอันยิ่งใหญ่
และที่ตั้งของตำหนักและสนามหญ้าเหล่านี้ ล้วนแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางคณิตศาสตร์ของฟ้าดิน, สุริยัน, จันทราและดวงดาราอันลี้ลับ
ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาในลานจักรพรรดิจะรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และกลิ่นอายแห่งทวยเทพ
เจตจำนงแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่ตระการตาจนทำให้ผู้คนต้องนมัสการด้วยความยำเกรงและความเคารพ
ทั่วทั้งลานจักรพรรดิราวกับว่ารวมเอาความเชื่อของสิ่งมีชีวิตนับล้านชนิดเข้าไว้ด้วยกัน รวบรวมกลิ่นไอของขุนเขาและสายน้ำนับพันล้านแห่ง
หยัดยืนอยู่เหนือทะเลเมฆาอันไพศาล เปล่งแสงสว่างราวกับสุริยันเจิดจ้า
ในเวลานี้เอง ณ ตำหนักเฉียนคุนภายในลานจักรพรรดิ
ที่ซึ่งกว้างใหญ่ สว่างไสว ละเอียดอ่อนและวิจิตรงดงาม
ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมมังกรทอง สวมมงกุฎหยกสีม่วงผู้หนึ่ง
กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอันโอ่อ่าขนาดใหญ่
สายตาคบกริบจับจ้องไปที่จดหมายและตัวอักษรที่เขียนไว้บนนั้น
ชายผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาดี ขนคิ้วเหยียดตรงเต็มไปด้วยความชอบธรรม
นอกจากจะมีเรือนกายที่โอ่อ่าครอบงำผู้คนแล้ว
มันยังมีกลิ่นอายอันเจิดจรัสที่ราวกับจะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับโลกทั้งใบ
เพียงมันนั่งหลังตรงอยู่บนโต๊ะก็ดูเหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่งที่กำลังจ้องมองดูสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลก
บนโต๊ะสีแดงมีตำราโบราณหนาเตอะอยู่หลายเล่ม
รวมไปถึงเทียบเชิญและจดหมายกองเป็นภูเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเอกสารจากภูมิภาคต่างๆในตอนใต้ของทวีป
ในเวลานี้เองชายในชุดทองได้หยิบจดหมายเคลือบผนึกปราณฉบับหนึ่งขึ้นมาและเห็นคำว่า
‘อาณาจักรเทียนเฉิน’ ที่สลักไว้ตรงมุมขวาล่างของจดหมาย คนพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ฟู่......
หลังจากคนผู้นี้โบกฝ่ามือแผ่วเบา
ผนึกปราณบนจดหมายก็สลายใบ มันจึงหยิบกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งออกมาและตรวจอ่านอย่างละเอียด
"ทูลตี้จวิน ข้าน้อยผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์ ขณะนี้เป็นประมุขแห่งนิกายกระบี่ฟ้าในอาณาจักรเทียนเฉิน, อาศัยอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาลที่กำลังปกป้องหลายชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย
แน่นอนว่าแกนนำของอาณาจักรเทียนเฉินปัจจุบันคือนิกายพันธมิตรสวรรค์
นิกายที่ซึ่งดำรงอยู่มานับพันปี แต่ทว่านิกายนี้กลับกำเริบเสิบสาน ไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกมันได้บุกเข้านิกายของข้าน้อยอย่างอุกอาจ
ข่มเหงรังแกอย่างไร้เหตุผล ทำลายยอดเขาและอาคารบ้านเรือนพินาศสิ้น”
“ภายใต้บารมีของฝ่าบาท
ข้าน้อยเพียงต้องการร้องเรียนให้สืบสาวราวเรื่องต่อสิ่งอยุติธรรมที่เกิดขึ้น ด้วยความคารวะ.....”
ไม่ต้องสงสัย
ชายกลางคนในชุดสีทองผู้นี้ก็คือราชาแห่งลานจักรพรรดิ
ผู้นำซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์บนแผ่นดินใหญ่
ตี้จวิน
หลงเซวียนคุน !
หลังจากอ่านจดหมายจบ มันก็วางจดหมายบนโต๊ะพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
พลันเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ผู้บัญชาการหยู จงเรียกตัวตี้ซื่อมาพบเราที่ห้องอักษร
เรามีเรื่องคิดหารือ”
นอกประตูห้องอักษร
ชายกำยำร่างสูงกว่าสองเมตรในชุดเกราะทอง โค้งคำนับ รับคำสั่งและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้นผู้บัญชาการหยูก็นำชายชราผมขาวเสื้อคลุมม่วง
ในมือถือแปรงสีทอง มาถึงหน้าประตูห้องอักษร
ชายชราผู้นี้มีผมขาวโพลนทั่วศีรษะ
รูปร่างผอมเพรียวแลดูเหมือนชายชราทั่วๆไป
แต่ทว่ามันกลับมีใบหน้าที่เยาว์วัยเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและชีวิตชีวา
ลมหายใจของมันทั้งหนักแน่นและลึกลับ
รอบๆร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศอันไพศาลราวกับดาวดวงหนึ่ง
ท่วงท่าดูสบายๆดั่งเมฆาที่ล่องลอยบนท้องฟ้า
"ทูลฝ่าบาท ตี้ซื่อต้าเหรินมาถึงแล้วขอรับ”
ผู้บัญชาการหยูคำนับพลางส่งเสียงกระซิบ
ตี้ซื่อเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาในห้องอักษร
โค้งตัวคำนับเล็กน้อยและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “คารวะตี้จวิน
มิทราบว่าพระองค์เรียกตัวคนแก่อย่างข้าน้อยมาพูดคุยเป็นการด่วนเช่นนี้
มีเรื่องอะไรหรือขอรับ ?”
ตี้จวินไม่ตอบอันใด เพียงดีดนิ้วสะบัดจดหมายสีทองส่งไปให้มัน
หลังจากที่ตี้ซื่อได้อ่านจดหมาย ตี้จวินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตี้ซื่อ อาณาจักรเทียนเฉินมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง พันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้าเกิดความขัดแย้งถึงขั้นส่งจดหมายร้องเรียนมาให้เรา
คาดว่าคงมีสงครามในเร็วๆนี้”
"เรากำลังคิดอยู่ว่าอาจจะมีเรื่องราวอื่นใดเกิดขึ้น
ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร ?”
ตี้ซื่อวางจดหมายลง
เหยียดมือผอมบางออกไปลูบหนวดเครายาวสีขาวโพลนของมัน รอยยิ้มเบาบางสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าสีแดงฝาดพลางกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
"ทูลตี้จวิน ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
เราผู้เฒ่าได้ทำนายชะตาฟ้าจนทราบว่า ไอทมิฬในอาณาจักรเทียนเฉินรังแต่จะเพิ่มขึ้น
จะเกิดการจราจลและโกลาหลจนไร้ความสงบสุข”
"ข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดก็คือแม้อาณาจักรเทียนเฉินจะสงบสุขมานานนับพันปี
ทว่าสองนิกายใหญ่กลับเขม่นกันและกำลังจะเริ่มสงครามได้ทุกขณะ เรื่องนี้ไม่สามัญธรรมดา
เป็นไปได้ว่ามีที่มาที่ไป หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเผ่าพันธุ์มารร้ายที่เหลือรอดกำลังใช้แผนการอะไรบางอย่าง
ปั่นหัวพวกมัน”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved