ตอนที่ 356 ลานจักรพรรดิจ้งโจว

ในเวลานี้ระดับพลังยุทธ์ของจี้เทียนซิงได้มาถึงขีดสุดของขอบเขตปราณจิตแล้ว

เหลืออีกเพียงก้าวเดียวเขาก็สามารถทะลวงด่าน

ไปถึงขอบเขตปราณโอสถ

น่าเสียดาย แม้จะฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่สี่ได้สมบูรณ์แล้ว

แต่เขากลับไม่สามารถฝึกขั้นที่ห้าได้

วิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้านั้นกำหนดให้เขาต้องหลอมรวมตัวอ่อนกระบี่, เส้นชีพจรกระบี่ทั้งเก้าและจุดฝังเข็มทั้งเจ็ดสิบสองจุด

ควบแน่นเป็นเจี้ยนกง (剑宫)

สิ่งที่เรียกว่าเจี้ยนกงนี้มีพื้นฐานมาจากการก่อตัวของเส้นชีพจรกระบี่ทั้งเก้า

โดยการใช้ตัวอ่อนกระบี่และจุดฝังเข็มทั้งเจ็ดสิบสองเป็นฐานรากในการเพิ่มพลังและเปลี่ยนแปลงเจี้ยนกง

เมื่อเจี้ยนกงถูกควบแน่นเรียบร้อยแล้ว มันจะสามารถเพิ่มพลังลมปราณได้ถึงเก้าเท่า

สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ผู้ฝึกได้อีกมากมาย หนำซ้ำยังมีผลกระทบที่น่าอัศจรรย์ต่างๆ

สรุปแล้วเจี้ยนกงเป็นความลึกลับที่วิเศษ มันแปลงโครงสร้างภายในของร่างกายมนุษย์และผสานกายมนุษย์เข้ากับฟ้าดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่น่าเสียดายที่การฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้านั้น

เห็นได้ชัดว่าคนธรรมดาไม่สามารถฝึกฝนได้

จี้เทียนซิงพยายามหลายสิบครั้งติดต่อกันแล้วก็ล้มเหลวทุกครั้ง

ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้และทำได้เพียงบ่มเพาะเพื่อรักษาตัวเองต่อไป

จนถึงตอนนี้จี้เทียนซิงเข้าใจแล้วว่าคำพูดที่จางเทียนเคยกล่าวไว้ครั้งแรกตอนที่ทั้งสองพบกันนั้นถูกต้องทุกประการ

เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ทั่วไปและทำได้เพียงบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ได้ถึงขั้นที่สี่เท่านั้น

นี่เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

หากไม่สามารถหลอมรวมโลหิตเทพกระบี่

เขาจะไม่สามารถฝึกฝนวิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้าได้ชั่วชีวิต

ขอบเขตพลังยุทธ์ของเขาจะหยุดอยุ่ที่ปราณจิตและไม่มีวันตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณโอสถ

จี้เทียนซิงทอดถอนใจ

หลังจากสงบใจลงเขาก็เก็บตัวบ่มเพาะต่อไปอีกหลายวัน

จนกว่าอาการบาดเจ็บหายเป็นปกติ พลังกลับคืนสู่จุดสูงสุดเขาจะย้อนกลับไปยังสุสานพันปีใต้ภูเขามังกรเพื่อหาทางทำลายข่ายปราณระดับสวรรค์และตามหาลูกปัดแห่งดวงดารา

ท้ายที่สุดแล้วหลังจากที่เขาบรรลุปราณจิตขั้นสูงสุด

พลังการรบที่แท้จริงและระดับความหนาแน่นของลมปราณก็สามารถเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณโอสถทั่วๆไป

ด้วยพลังในตอนนี้ บางทีอาจจะพอมีหวังในการทำลายข่ายปราณที่นั่นก็เป็นได้!

…...............

ทางตอนเหนือของอาณาจักรเทียนเฉิน   ไกลแสนไกลออกไปหลายร้อยล้านไมล์

มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลและเจริญรุ่งเรือง

บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของทวีปลมปราณฟ้า

มันไม่เพียงแค่เป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดเท่านั้น

แต่ยังเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของศิลปะการต่อสู้ เป็นแหล่งชุมนุมเสือมังกรที่แข็งแกร่งมากมายดั่งก้อนเมฆบนฟ้า

เหล่ายอดยุทธ์ที่แข็งแกร่งจากทุกเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในทวีปลมปราณฟ้าเรียกบริเวณนี้ว่า

จ้งโจว !  (แผ่นดินกลาง)

ในพื้นที่ทางตอนใต้ของจ้งโจวมีทิวเขาสูงตระหง่านและเรียกว่าภูเขาเหลียนเทียน

ใจกลางของหุบเขาเหลียนเทียน มียอดเขามหึมาสูงตระหง่านนับ

10,000 เมตรตั้งอยู่บนเส้นชีพจรมังกร

ยอดเขายักษ์นี้มีชื่อว่ายอดเขาเจี๋ยเทียน มันเป็นหนึ่งในยอดเขาที่สูงที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก

ที่เชิงเขาถัดจากยอดเขาเจี๋ยเทียน มีชินโต* (神道)ขนาดใหญ่และกว้างใหญ่ซึ่งทอดตัวไปตามภูเขาสูงชันจนถึงยอดเขา

*ชินโต เป็นลัทธิตามความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่น คำว่า ชินโต

มาจากตัวอักษรจีน หรือคันจิ 2 ตัวรวมกัน คือ ชิน หมายถึงเทพเจ้า และ โต

หมายถึงวิถีทางหรือศาสตร์วิชา หรือ เต๋า ในลัทธิเต๋านั่นเอง เมื่อรวมกันแล้ว

จะหมายถึงศาสตร์แห่งเทพเจ้า หรือวิถีแห่งเทพเจ้า*

อย่างไรก็ตาม จากเชิงเขาด้านล่างไปจนถึงยอดเขาล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวหนาแน่น

ครึ่งหนึ่งของยอดเขาเจี๋ยเทียนตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลเมฆ

ราวกับภูเขานางฟ้าบนท้องฟ้า

ตำหนักที่งดงามและสง่างามมากมายหลายแห่งตั้งอยู่บนยอดเขา

มันดูราวกับวิหารของเหล่าทวยเทพ

นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ลานแห่งจักรพรรดิที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและยิ่งใหญ่สง่างามบนแผ่นดินใหญ่ !

ณ ลานใหญ่แห่งนี้มีสามตำหนัก เก้าวิหารและลานย่อยอีกสิบแปดแห่ง

ตำหนักและวิหารแต่ละหลังนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยมีขนาดกว้างใหญ่

เผยให้เห็นแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวและการครอบงำอันยิ่งใหญ่

และที่ตั้งของตำหนักและสนามหญ้าเหล่านี้ ล้วนแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางคณิตศาสตร์ของฟ้าดิน, สุริยัน, จันทราและดวงดาราอันลี้ลับ

ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาในลานจักรพรรดิจะรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และกลิ่นอายแห่งทวยเทพ

เจตจำนงแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่ตระการตาจนทำให้ผู้คนต้องนมัสการด้วยความยำเกรงและความเคารพ

ทั่วทั้งลานจักรพรรดิราวกับว่ารวมเอาความเชื่อของสิ่งมีชีวิตนับล้านชนิดเข้าไว้ด้วยกัน   รวบรวมกลิ่นไอของขุนเขาและสายน้ำนับพันล้านแห่ง

หยัดยืนอยู่เหนือทะเลเมฆาอันไพศาล เปล่งแสงสว่างราวกับสุริยันเจิดจ้า

ในเวลานี้เอง ณ ตำหนักเฉียนคุนภายในลานจักรพรรดิ

ที่ซึ่งกว้างใหญ่ สว่างไสว ละเอียดอ่อนและวิจิตรงดงาม

ชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมมังกรทอง สวมมงกุฎหยกสีม่วงผู้หนึ่ง

กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอันโอ่อ่าขนาดใหญ่

สายตาคบกริบจับจ้องไปที่จดหมายและตัวอักษรที่เขียนไว้บนนั้น

ชายผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาดี ขนคิ้วเหยียดตรงเต็มไปด้วยความชอบธรรม

นอกจากจะมีเรือนกายที่โอ่อ่าครอบงำผู้คนแล้ว

มันยังมีกลิ่นอายอันเจิดจรัสที่ราวกับจะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับโลกทั้งใบ

เพียงมันนั่งหลังตรงอยู่บนโต๊ะก็ดูเหมือนเทพเจ้าองค์หนึ่งที่กำลังจ้องมองดูสรรพชีวิตทั้งหลายบนโลก

บนโต๊ะสีแดงมีตำราโบราณหนาเตอะอยู่หลายเล่ม

รวมไปถึงเทียบเชิญและจดหมายกองเป็นภูเขา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเอกสารจากภูมิภาคต่างๆในตอนใต้ของทวีป

ในเวลานี้เองชายในชุดทองได้หยิบจดหมายเคลือบผนึกปราณฉบับหนึ่งขึ้นมาและเห็นคำว่า

‘อาณาจักรเทียนเฉิน’ ที่สลักไว้ตรงมุมขวาล่างของจดหมาย  คนพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ฟู่......

หลังจากคนผู้นี้โบกฝ่ามือแผ่วเบา

ผนึกปราณบนจดหมายก็สลายใบ มันจึงหยิบกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งออกมาและตรวจอ่านอย่างละเอียด

"ทูลตี้จวิน  ข้าน้อยผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์  ขณะนี้เป็นประมุขแห่งนิกายกระบี่ฟ้าในอาณาจักรเทียนเฉิน, อาศัยอยู่ในดินแดนดาราบรรพกาลที่กำลังปกป้องหลายชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย

แน่นอนว่าแกนนำของอาณาจักรเทียนเฉินปัจจุบันคือนิกายพันธมิตรสวรรค์

นิกายที่ซึ่งดำรงอยู่มานับพันปี แต่ทว่านิกายนี้กลับกำเริบเสิบสาน ไม่กี่วันที่ผ่านมาพวกมันได้บุกเข้านิกายของข้าน้อยอย่างอุกอาจ

ข่มเหงรังแกอย่างไร้เหตุผล ทำลายยอดเขาและอาคารบ้านเรือนพินาศสิ้น”

“ภายใต้บารมีของฝ่าบาท

ข้าน้อยเพียงต้องการร้องเรียนให้สืบสาวราวเรื่องต่อสิ่งอยุติธรรมที่เกิดขึ้น   ด้วยความคารวะ.....”

ไม่ต้องสงสัย

ชายกลางคนในชุดสีทองผู้นี้ก็คือราชาแห่งลานจักรพรรดิ

ผู้นำซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์บนแผ่นดินใหญ่

ตี้จวิน

หลงเซวียนคุน !

หลังจากอ่านจดหมายจบ มันก็วางจดหมายบนโต๊ะพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

พลันเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ผู้บัญชาการหยู  จงเรียกตัวตี้ซื่อมาพบเราที่ห้องอักษร

เรามีเรื่องคิดหารือ”

นอกประตูห้องอักษร

ชายกำยำร่างสูงกว่าสองเมตรในชุดเกราะทอง โค้งคำนับ รับคำสั่งและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานหลังจากนั้นผู้บัญชาการหยูก็นำชายชราผมขาวเสื้อคลุมม่วง

ในมือถือแปรงสีทอง มาถึงหน้าประตูห้องอักษร

ชายชราผู้นี้มีผมขาวโพลนทั่วศีรษะ

รูปร่างผอมเพรียวแลดูเหมือนชายชราทั่วๆไป

แต่ทว่ามันกลับมีใบหน้าที่เยาว์วัยเต็มไปด้วยจิตวิญญาณและชีวิตชีวา

ลมหายใจของมันทั้งหนักแน่นและลึกลับ

รอบๆร่างเต็มไปด้วยบรรยากาศอันไพศาลราวกับดาวดวงหนึ่ง

ท่วงท่าดูสบายๆดั่งเมฆาที่ล่องลอยบนท้องฟ้า

"ทูลฝ่าบาท ตี้ซื่อต้าเหรินมาถึงแล้วขอรับ”

ผู้บัญชาการหยูคำนับพลางส่งเสียงกระซิบ

ตี้ซื่อเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาในห้องอักษร

โค้งตัวคำนับเล็กน้อยและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “คารวะตี้จวิน

มิทราบว่าพระองค์เรียกตัวคนแก่อย่างข้าน้อยมาพูดคุยเป็นการด่วนเช่นนี้

มีเรื่องอะไรหรือขอรับ ?”

ตี้จวินไม่ตอบอันใด  เพียงดีดนิ้วสะบัดจดหมายสีทองส่งไปให้มัน

หลังจากที่ตี้ซื่อได้อ่านจดหมาย  ตี้จวินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตี้ซื่อ  อาณาจักรเทียนเฉินมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง  พันธมิตรสวรรค์และกระบี่ฟ้าเกิดความขัดแย้งถึงขั้นส่งจดหมายร้องเรียนมาให้เรา

คาดว่าคงมีสงครามในเร็วๆนี้”

"เรากำลังคิดอยู่ว่าอาจจะมีเรื่องราวอื่นใดเกิดขึ้น

ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร ?”

ตี้ซื่อวางจดหมายลง

เหยียดมือผอมบางออกไปลูบหนวดเครายาวสีขาวโพลนของมัน  รอยยิ้มเบาบางสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าสีแดงฝาดพลางกล่าวอย่างแช่มช้าว่า

"ทูลตี้จวิน ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

เราผู้เฒ่าได้ทำนายชะตาฟ้าจนทราบว่า ไอทมิฬในอาณาจักรเทียนเฉินรังแต่จะเพิ่มขึ้น

จะเกิดการจราจลและโกลาหลจนไร้ความสงบสุข”

"ข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดก็คือแม้อาณาจักรเทียนเฉินจะสงบสุขมานานนับพันปี

ทว่าสองนิกายใหญ่กลับเขม่นกันและกำลังจะเริ่มสงครามได้ทุกขณะ  เรื่องนี้ไม่สามัญธรรมดา

เป็นไปได้ว่ามีที่มาที่ไป หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะเผ่าพันธุ์มารร้ายที่เหลือรอดกำลังใช้แผนการอะไรบางอย่าง

ปั่นหัวพวกมัน”