ตอนที่ 282

รอดจากนรกกลับต้องผจญทะเลเพลิง

?

ป่าสงบลงและกลับสู่ความเงียบงันเช่นกาลก่อน

ตุบ

!

จี้เทียนซิงร่างทรุดลงกับพื้นโดยใช้กระบี่มังกรดำแทนเสาค้ำยัน

จากนั้นก็เอนกายพิงต้นไม้เหี่ยวเฉาด้วยใบหน้าสีเทาหม่นหมอง

คนอ้าปากค้างหอบหายใจอย่างรุนแรง

เมื่อได้เห็นยักษ์กระดูกขาวที่สูงใหญ่ล้มลงและกลายเป็นกองกระดูกผุพัง

ในที่สุดเขาก็รู้สึกผ่อนคลายได้เสียที

เพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่กี่ชั่วยาม

เขาถูกไล่ล่าโดยยักษ์กระดูก มันเป็นช่วงเวลาวิกฤติอันตรายที่สุดราวกับยืนอยู่ขอบมรณะ

โชคดีที่เขากัดฟันสู้อย่างแข็งขืนและรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้

จนกระทั่งพบจุดอ่อนของยักษ์กระดูกและล้มมันได้ในท้ายที่สุด

จี้เทียนซิงเอนกายแหงนศีรษะขึ้นอ้าปากค้างหอบหายใจถี่รัวและคว้าโอสถฟื้นฟูจากแหวนมิติอย่างรวดเร็ว

เพื่อใช้รักษาอาการบาดเจ็บที่ผิดปรกติ

สำหรับแก่นชีวิตของเขาที่ถูกเพลิงวิญญาณฟ้ากลืนหายไปนั้น

ยังมิอาจรักษาให้หายหรือฟื้นฟูได้ในทันที

ในเวลานี้เองกองกระดูกแตกหักที่สุมทับเท่าภูเขาได้เริ่มมีการเคลื่อนไหว

ตามมาด้วยเสียงแกร่ก แกร่ก ของกระดูกที่เสียดสีกัน

กระดูกหักผุพังจำนวนมากเริ่มมารวมตัวกันและดูเหมือนว่าพวกมันพยายามจะก่อตัวเป็นยักษ์กระดูกขึ้นอีกครั้ง

“มารดามันเถอะ !”

จี้เทียนซิงหนังศีรษะชาด้านและสบถออกมา

เขารับรู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ควรรั้งอยู่นาน เขาจะต้องรีบจากไปโดยเร็วที่สุด

ถึงแม้ว่าเขาจะล้มยักษ์กระดูกได้แล้ว

แต่มันก็ยังไม่จบเสียทีเดียว

มันยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมายและมีแนวโน้มว่าจะหนักหนายิ่งกว่านี้

เขาค้ำยันร่างกายที่บาดเจ็บและเหนื่อยล้า

ออกจากดินแดนแห่งความตายอย่างรวดเร็วและเดินลึกเข้าไปในป่า

..............

หนึ่งชั่วยามต่อมา

ทุกอย่างราบรื่นมาก

จี้เทียนซิงเดินผ่านป่าโปร่งแห้ง

เหยียบย่ำใบไม้เหลืองที่เหี่ยวเฉานับไม่ถ้วน ในที่สุดเขาก็พ้นเขตป่าแห่งความตาย

เมื่อเขาออกจากป่าแห่งความตายและเหยียบลงบนพื้นหญ้าสีเขียวจวี

เขาก็หยุดพัก

ในป่าแห่งความตาย

ทัศนวิสัยโดยรอบของเขามีแต่ต้นไม้เหี่ยวเฉาสีน้ำตาลเข้ม ใบไม้เหลืองแห้งกรังกองเต็มพื้นและมีหมอกสีเทากับทะเลกระดูกที่เดินได้

ในพื้นที่แห่งนั้นโลกทั้งบนราวกับสูญเสียสีสันของมันไป

เหลือเพียงบรรยากาศเทาๆซีดจางและหดหู่

ทำให้ผู้ที่ติดอยู่ในบริเวณนั้นเหมือนเป็นเนื้อหนังที่ตายลงอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็หนีออกจากพื้นที่แห่งความตายได้สำเร็จ

เมื่อเขาเห็นได้หญ้าและป่าข้างๆก็ทำให้รู้สึกว่าราวกับพ้นจากขุมนรก

เขาสูดอากาศที่มีกลิ่นหญ้าอย่างตะกละตะกลามราวกับขึ้นสวรรค์

จากนั้นก็นั่งลงเพื่อกลั่นฤทธิ์โอสถฟื้นฟูที่เพิ่งกินเข้าไป

หมายจะกู้คืนพลังปราณที่สูญเสียไปอย่างเงียบๆและเสริมความแข็งแรงทางร่างกาย

ความเงียบของบรรยากาศรอบข้างทำให้เขาสงบลงและเข้าสู่กระบวนการมุ่งเน้นไปที่การรักษาตัวเองเพียงอย่างเดียว

ผ่านไปสองชั่วยามโดยไม่รู้ตัว

อาการบาดเจ็บของเขาหายดีได้แปดเก้าส่วนแล้ว

อีกทั้งพลังปราณที่สูญเสียไปก็ถูกเติมเต็มเข้ามา

ผิวสีเทาขาวของเขาค่อยๆกลับมาเป็นปกติและสภาพจิตใจของเขาก็ฟื้นฟูดีขึ้น

เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพเขาก็ลุกขึ้นและเดินหน้าต่อไป เขาผ่านพงหญ้าที่สูงเท่าหัวเข่า มุ่งหน้าเข้าไปในป่ามืด

ในขณะที่เดินผ่านป่า

เขาก็ส่งเสียงกระซิบกับตนเองว่า “จากแผนที่ที่ได้มา

หลังจากผ่านป่าแห่งความตายก็จะพบกับทะเลเพลิง......”

“แผนที่ผิดหรือเปล่า ? เห็นชัดๆว่ารอบๆตัวข้าเป็นป่าทึบ แล้วจะมีทะเลเพลิงพระแสงอันใดเล่า ?”

ชายหนุ่มงุนงงและเต็มไปด้วยความสงสัย

สายตาของเขากวาดมองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เวลาผ่านไป

เขาก็ยังคงเดินเข้าไปในป่าจนสอดส่องพบเบาะแสอย่างรวดเร็ว

แต่เดิมทีป่าทึบบนพื้นดินปกคลุมไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ขนาดใหญ่

กิ่งก้านใบของมันล้วนหนาแน่นไปทั่วบริเวณ

ทว่าป่าที่ปรากฏเบื้องหน้านั้นเริ่มบางตามากขึ้นเรื่อยๆและพื้นดินก็เริ่มแห้ง

ต้นไม้และพุ่มไม้ขนาดใหญ่หลายแห่งในป่านั้นเปลือยเปล่า

ลำต้นก็กลายเป็นดำสนิท

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและมองไปข้างหน้า

ดวงตาของเขาลอดผ่านชั้นกิ่งไม้จนเห็นไฟสีแดงเข้มอย่างเลือนลาง

เขาตระหนักได้ในทันทีว่าทะเลเพลิงที่ว่านั้นมีแนวโน้มสูงที่จะอยู่ข้างหน้านี้แล้ว

หลังจากเดินต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม

ในที่สุดเขาก็พ้นจากป่าและไปหยุดที่เนินหินกองหนึ่ง

ในเวลานี้เขาค้นพบว่ากองหินที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาของยอดเขาสูง

อีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้าก็คือหน้าผา

มันเป็นหน้าผาตรงดิ่งจากพื้นดินและสูงชัน ใต้หน้าผาคือมหาสมุทรสีแดงเข้มไร้ที่สิ้นสุด

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วเขาได้ค้นพบว่ามหาสมุทรที่กว้างใหญ่นั้นประกอบขึ้นจากแมกมาสีแดง

นี่คือมหาสมุทรแมกมา

!

พื้นผิวทะเลแมกมาปะทุขึ้นด้วยเปลวเพลิงสีแดงก่ำ

มันพัดม้วนและเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องสูงนับสิบๆเมตร

ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่บนขอบหน้าผาที่อยู่ห่างจากแมกมาเป็นระยะทางกว่าหนึ่งพันฟุตก็ตามที

แต่เขายังคงรู้สึกได้ถึงคลื่นลมอันร้อนระอุที่พัดเข้ามากระทบผิวหน้า อีกทั้งยังมีเปลวไฟสีแดงเข้มที่ลุกโชนขึ้นจากใต้หน้าผาและลอยอยู่กลางอากาศตลอดเวลา

“ที่นี่นี่เอง...... ทะเลเพลิง !”

จี้เทียนซิงกระซิบแผ่วเบาด้วยสีหน้าซับซ้อน

ดวงตาของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง

เขาพยายามมองไปข้างหน้าและได้เห็นมหาสมุทรแมกมากระจัดกระจายไปด้วยยอดเขาหลายแห่ง

ยอดเขาแต่ละแห่งสูงถึงหนึ่งพันฟุตและพื้นผิวแทบจะไม่มีแม้แต่ใบหญ้างอกเงยขึ้นมา มันมีเพียงก้อนหินสีน้ำตาลเข้มและถูกปกคลุมไปด้วยเถ้าของภูเขาไฟหนา

ที่ด้านบนสุดของยอดเขานั้นมีควันไฟคงที่และบางครั้งก็มีเปลวไฟลุกโชนออกมาเล็กน้อย

จี้เทียนซิงสังเกตอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักได้ว่านั่นก็คือยอดเขาภูเขาไฟ

!

จากสิ่งบ่งชี้ทั้งหมด

ภูเขาไฟเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นภูเขาไฟที่ยังคงปะทุอยู่ซึ่งอาจปะทุได้ตลอดเวลา

เมื่อเห็นฉากนี้เขาอดไม่ได้ที่จะหนังศีรษะชาด้านจนต้องขมวดคิ้ว

มุมปากกระตุกด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ไม่คาดคิดเลยว่าสภาพแวดล้อมของเทือกเขาหมอกเร้นลับจะน่ากลัวและรุนแรงเหนือจินตนาการเช่นนี้......”

“เพิ่งจะหนีรอดจากป่ามรณะมาหมาดๆ ครั้งนี้ต้องข้ามมหาสมุทรแมกมา

...  เช่นนี้ข้าจะผ่านมหาสมุทรแมกมาที่กว้างใหญ่เยี่ยงนี้ได้อย่างไรเล่า

? บัดซบเอ้ย....”

ยอดเขาที่อยู่ใต้เท้าเขานั้นเป็นยอดเขาที่มีหน้าผาสูง

มันไม่มีทางไปต่อ

แต่เขาก็เพิ่งผ่านป่าแห่งความตายมาจนถึงที่นี่

เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ยอมแพ้กันดื้อๆและย้อนกลับไป

ในเมื่อไม่คิดย้อนกลับไป

เขาทำได้เพียงก้าวต่อไปข้างหน้าเท่านั้น !

รอบมหาสมุทรแมกมาไม่มีทางเดินไปต่อ

เขาทำได้เพียงบินข้ามท้องฟ้าเพื่อข้ามมันไป

ด้วยความคิดนี้

เขาส่งเสียงในใจเพื่อเรียกเฉียนเยวี่ยในถุงมิติ แต่น่าเสียดายที่แม้จะเรียกอยู่ครั้งติดต่อกัน

อีกฝ่ายก็ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ

ชายหนุ่มถอนหายใจและเข้าใจดีว่าก่อนหน้านี้เฉียนเยวี่ยโดนมาหนักเอาการ

มันได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจึงต้องนอนจำศีลเพื่อรักษาตัวจึงยังไม่ตื่นขึ้น

ในเมื่อเฉียนเยวี่ยไม่สามารถพาเขาข้ามไปได้

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงต้องฝากความหวังไว้ที่เสี่ยวเฮยหลงเท่านั้น

“เสี่ยวเฮยหลง อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง

เจ้าสามารถบินข้ามทะเลแมกมานี้ไปได้หรือไม่ ?”

เขาชูกระบี่มังกรดำขึ้นและถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

กระบี่มังกรดำสั่นสะเทือนสองครั้งและตามมาด้วยเสียง

“ฟุ่บ” บินขึ้นไปในอากาศพลันส่องแสงเป็นประกายสดใสออกมา

“วู้ม !”

ในพริบตาเดียว

กระบี่มังกรดำก็กลายเป็นเสี่ยวเฮยหลง จากนั้นมันก็ขยายร่างใหญ่ขึ้นอีก

มันบินวนเวียนไปรอบๆตัวจี้เทียนซิงจากนั้นก็เอนตัวมาช้าๆ

ชายหนุ่มเผยยิ้มบางและยกเท้าขึ้นข้ามหลังเสี่ยวเฮยหลงเพื่อนั่งที่กลางหลังของมันพลางกล่าวว่า

“มุ่งหน้าไปเลย บินไปข้างหน้าข้ามทะเลแมกมาเหล่านี้ไป”

เสี่ยวเฮยหลงพยักหน้า

พลันออกตัวบิน พุ่งไปตามขอบหน้าผาราวกับลำแสง

จี้เทียนซิงนั่งอยู่บนหลังของมัน

เขามองเห็นมหาสมุทรแมกมาที่อยู่ใต้เท้า ในใจลอบตื่นตัวอย่างลับๆ

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะบินอยู่เหนือมันกว่าพันฟุตจากมหาสมุทรแมกมาด้านล่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขากลับรู้สึกสังหรณ์ลางๆว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ราบรื่น.....