ตอนที่ 148

ค้นหาดวงวิญญาณให้พบ

!

จี้เทียนซิงติดตามเซี่ยงหวู่จี้เข้าไปในห้องคัมภีร์เพื่อฟังอีกฝ่ายสอนเกี่ยวข่ายอาคม

ตั้งแต่บ่ายจนถึงช่วงค่ำ  เขาฟังการสอนของเซี่ยงหวู่จี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหกชั่วโมงติดต่อกัน

ข่ายอาคมนั้นไม่เหมือนกับการบ่มเพาะพลังยุทธ์

มันสามารถถ่ายทอดทักษะและเคล็ดลับให้อีกฝ่ายได้โดยตรง

ทำให้ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดนั้นกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางทฤษฎีได้ในชั่วข้ามคืนหากคนผู้นั้นมีปฏิภาณไหวพริบสูงพอ

ทว่าข่ายอาคมระดับสูงขึ้นไปนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างความรู้แห่งศาสตร์อาคมและประสบการณ์

ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจบรรลุได้ในคืนเดียว มันต้องอาศัยการปฏิบัติจริงและประสบการณ์ฝึกฝนเท่านั้น

จากการคลุกคลีกับเซี่ยงหวู่จี้ทำให้จี้เทียนซิงรู้ว่า

ตาเฒ่าผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สุดยอดฝีมือในเชิงยุทธ์เท่านั้น แต่เขายังเป็นยอดปรมาจารย์ในศาสตร์แห่งโอสถและข่ายอาคมอีกด้วย

จากคำพูดของเขาที่กล่าวว่าตนเองเป็นปรมาจารย์ในทุกแขนงจนเรียกได้ว่าติดสามอันดับแรกของทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

เรื่องนี้มิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย !

ศาสตร์แห่งข่ายอาคมที่เซี่ยงหวู่จี้สั่งสมมาตลอดชีวิต

แม้จะเป็นจี้เทียนซิงที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์โดยกำเนิดก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยร่วมสิบปีกว่าจะบรรลุ

ดังนั้นเขาจึงเริ่มสอนความรู้พื้นฐานและทฤษฎีให้อีกฝ่ายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

สืบเนื่องจากจี้เทียนซิงมีพื้นฐานแห่งอาคมอยู่แล้ว

ดังนั้นเซี่ยงหวู่จี้จึงข้ามในส่วนของอาคมระดับยอดเยี่ยมและเริ่มสอนจากอาคมระดับล้ำลึกขึ้นไป

ชายหนุ่มไม่เพียงแค่มีพื้นฐานแห่งอาคมเท่านั้น

แต่พรสวรรค์ติดตัวก็ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

เขาฟังคำสอนของเซี่ยงหวู่อย่างตั้งอกตั้งใจจนสามารถทำความเข้าใจและปฏิบัติตามไปด้วยได้พร้อมๆกัน

ด้วยการสอนสั่งจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเช่นนี้ทำให้หกชั่วโมงของเขาเท่ากับศิษย์ทั่วไปที่เรียนรู้

3-5 วันเลยทีเดียว !

เรื่องนี้ทำให้เซี่ยงหวู่จี้พอใจเป็นอย่างมาก

ดวงตาของเขาทอประกายชื่นชมยินดีและถูกใจจี้เทียนซิงมากขึ้นเรื่อยๆ

พอตกดึก

เซี่ยงหวู่จี้คิดจะกลับห้องเพื่อพักผ่อนและหยุดการสอนเอาไว้เท่านี้

“ไอ้หนู ดึกแล้วไม่ต้องกลับไปหอยุทธ์ฟงอวิ๋นแล้ว

คืนนี้ก็พักที่นี่ซะ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หลังจากคิดครู่หนึ่งก็ถามว่า “ผู้อาวุโส

แล้วท่านจะให้ข้านอนห้องไหน ?”

“นอน ?”

เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วและตะโกนว่า

“เจ้ายังหนุ่มยังแน่นต้องฝึกฝนให้หนักสิ  นอนทำเพื่อ ?”

“หากเจ้าขี้เกียจสันหลังยาวคิดแต่จะนอนแล้วจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือได้อย่างไร

?

มีผู้มีพรสวรรค์คนไหนบ้างที่ไม่บ่มเพาะไม่ฝึกฝนไม่พยายามอย่างหนักแล้วประสบความสำเร็จ

?”

จี้เทียนซิงถูกอบรมจนต้องก้มศีรษะลงและกระซิบแผ่วเบาว่า

“ทีคนแก่อย่างพวกท่านยังนอนกันได้ทั้งวี่ทั้งวันเลย....

เซี่ยงหวู่จี้หันขวับไปมองแล้วตะโกนว่า

“หนอย ไอ้เด็กผี ! ทำมาเป็นต่อปากต่อคำ

เดิมทีข้าคิดจะให้เจ้าไปนอนที่ห้องโอสถแต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจล่ะ !

เจ้าไปนอนในบ้านไม้ของข้า นั่งทำสมาธิและฝึกฝนจิตใจซะ!”

หลังจากกล่าวจบเซี่ยงหวู่จี้ก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องคัมภีร์ทันที

จี้เทียนซิงหน้าเหวอด้วยความอึ้ง

เขาลูบจมูกและยิ้มพลางกล่าวว่า “ตาเฒ่านี่อารมณ์ร้อนยังกับวัยรุ่น

ไม่ถงไม่ถามสักคำก็สั่งเอาสั่งเอา”

ชายหนุ่มถอนหายใจ

เขาเดินไปยังบ้านไม้หลังเล็กและนั่งที่มุมห้องเพื่อทำบ่มเพาะทำสมาธิ

......

เช้าวันรุ่งขึ้น

จี้เทียนซิงเสร็จสิ้นจากการเข้าฌานก็เดินไปที่บ่อน้ำเพื่อชะล้างทำความสะอาด

หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตา

ทาสกระบี่ใบ้ก็เดินเข้ามาหา ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะพูดไม่ได้

แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำไม้ทำมือเพื่อสื่อสาร

หลังจากคลุกคลีกันมาเกือบเดือน

จี้เทียนซิงเริ่มจดจำภาษาใบ้ของเขาได้บ้างแล้ว ที่แท้ปรากฏว่ามีสตรีนางหนึ่งมาที่ตำหนักไท่อันและกำลังรอพบเขาอยู่นอกประตู

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะขอบคุณทาสกระบี่ใบ้และเดินไปที่ประตูตำหนักไท่อันทันที

ในขณะที่เดินก็ขบคิดในใจด้วยความฉงนว่าศิษย์สตรีคนไหนกันที่มาหาเขาถึงตำหนักไท่อันแต่เช้าตรู่ขนาดนี้

“ศิษย์สตรีในนิกายข้าก็รู้จักอยู่เพียงสองสามคน

ใครมาหาข้ากันแน่นะ...”

“เค่อเค่ออาการบาดเจ็บยังไม่หายดี

ไม่น่าจะเป็นนาง

แต่ถ้าเป็นซวนซวนก็คงเดินเข้ามาโดยตรง

ฐานะของนางไม่จำเป็นต้องรอข้าที่หน้าประตู....”

ระหว่างครุ่นคิดในช่วงเวลาสั้นๆ

จี้เทียนซิงก็มาถึงประตูตำหนักในที่สุด

มองไกลออกไปหนึ่งร้อยก้าว

ชายหนุ่มก็เห็นสตรีงดงามนางหนึ่งในชุดสีขาว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาวงามผู้นี้ก็คือหยุนเหยานั่นเอง

ห่างไปไม่ไกลมีกระเรียนวิญญาณสีขาวยืนอยู่ข้างหลังนางอีกที  จี้เทียนซิงเดินไปหานางอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ศิษย์พี่ เหตุใดถึงมาหาข้าแต่เช้า ? ท่านมีธุระด่วนอะไรหรือ ?”

การแสดงออกของหยุนเหยาดูจริงจังเล็กน้อย

นางพยักหน้าให้อีกฝ่ายและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง

วันนี้ท่านอาจารย์มอบหมายเรื่องสำคัญแก่ข้า

ข้าต้องการให้เจ้าช่วยอีกแรง”

“ต้องการให้ข้าช่วย ?” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและถามด้วยความสับสนว่า “ศิษย์พี่หญิง มิใช่ว่าข้าโอหัง

แต่ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ข้าเกรงว่าจะช่วยอะไรท่านไม่ได้”

หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพลังยุทธ์แค่เล็กน้อยเท่านั้น

เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ข้าจะบอกต่อเจ้าโดยละเอียดภายหลัง  ตอนนี้เจ้ากลับเข้าไปในตำหนักและขออนุญาตกับผู้อาวุโสให้เรียบร้อยก่อนเถิด

ข้าจะรอเจ้าที่นี่

เนื่องจากภารกิจนี้สมควรใช้เวลาหลายวัน”

จี้เทียนซิงเห็นว่าสีหน้าของนางดูจริงจังก็คาดเดาได้ทันทีว่าภารกิจนี้คงลำบากไม่น้อย  เขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลง  งั้นท่านรอข้าประเดี๋ยว

ข้าจะไปบอกกล่าวต่อผู้อาวุโสจี้เสียก่อน”

สิ่งของทั้งหมดของจี้เทียนซิงอยู่ในถุงสมบัติหมดแล้ว

ดังนั้นเขาไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก เพียงคิดจะเข้าไปลาเซี่ยงหวู่จี้เท่านั้น

ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปตำหนักในและบอกกล่าวกับเซี่ยงหวู่จี้ว่าจำเป็นต้องออกไปข้างนอกกับหยุนเหยาสักหลายวัน

ซึ่งเซี่ยงหวู่จี้ก็เพียงแค่พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร

จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ประตูและติดตามหยุนเหยาขึ้นขี่หลังกระเรียนวิญญาณของนาง

แกว๊ก  !

กระเรียนวิญญาณส่งเสียงแหลมและกระพือปีกบินออกจากนิกายทันที

หลังจากออกจากพื้นที่นิกายแล้ว

กระเรียนวิญญาณก็บินข้ามภูเขาและลงจอดบนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งห่างจากนิกายไปสิบห้าไมล์โดยประมาณ

เมื่อได้เห็นทุ่งหญ้าและสภาพแวดล้อมที่คุ้นตา

จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วทันทีและขบคิดในใจว่า “เมื่อหลายวันก่อนข้ามาดักรอจี้หลิงที่นี่  ศิษย์พี่หญิงพาข้ามาที่นี่ทำไมกันนะ ?”

เมื่อเห็นหยุนเหยากระโดดจากหลังกระเรียนลงไปบนพื้นหญ้า

จี้เทียนซิงก็กระโดดตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

ชายหนุ่มหันไปมองรอบๆและพบว่าในป่าที่ห่างไปไม่ไกลมีศิษย์หนุ่มในชุดขาวยืนอยู่เคียงคู่กับหมาป่ายักษ์สีเงิน

จี้เทียนซิงเดินตามหลังหยุนเหยาเข้าไปในป่าและได้เห็นว่าศิษย์ผู้นั้นก็คือไป๋หวู่เชินนั่นเอง

เมื่อไป๋หวู่เชินเห็นพวกเขามาถึงก็ทักทายหยุนเหยาอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่หญิง

ข้ายืมเจดีย์ซวนจี๋มาจากผู้อาวุโสสองตามที่ท่านสั่งแล้ว”

หลังพูดจบเขาก็กางฝ่ามือขวาออกและมีเจดีย์ทองคำขนาดเล็กสูงสามนิ้วปรากฏขึ้น

หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“หากไม่อยากให้ล่าช้า เจ้าก็เริ่มลงมือค้นหาเดี๋ยวนี้”

จี้เทียนซิงเหม่อมองหยุนเหยาและไป๋หวู่เชินอย่างงุนงงและถามอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่หญิง พวกท่านคิดจะหาอะไร ?”

ดวงหน้างดงามของหยุนเหยาแสดงออกถึงความซับซ้อน

นางอธิบายว่า “เมื่อสี่วันก่อน ศพของจี้หลิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ท่านอาจารย์ของข้าได้ใช้แผนที่ดวงดาวทำนายและพบว่าเผ่ามารได้ขโมยศพของเขาไป”

จี้เทียนซิงตกตะลึงจนอ้าปากค้างและได้รับรู้ข้อมูลจำนวนมากจากคำบอกเล่าของนาง

ในขณะนี้เขารู้แล้วว่า

ประมุขนิกายทราบแต่แรกว่าเขาคือผู้สังหารจี้หลิง แต่ก็มิได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

นอกจากนี้วันที่เขาฆ่าจี้หลิงไป

ศพของอีกฝ่ายถูกเผ่ามารขโมยไปอย่างน่าสงสัย

จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะถามต่อไปว่า

“ในเมื่อจี้หลิงก็ตายไปแล้ว เผ่ามารคิดจะทำอะไรกับศพของเขา

?"

หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“ยอดฝีมือเผ่ามารจะมีเคล็ดวิชาลับที่เรียกว่าวิถีมารโลหิต

ถึงแม้ว่าจี้หลิงจะตายไปแล้วแต่พวกมันก็ยังสามารถแยกจิตวิญญาณของเขาออกมาได้”

“ที่สำคัญกว่านั้น จี้หลิงเคยเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามสูงสุดและรู้ความลับอันใหญ่หลวงของนิกายเรา  หากยอดฝีมือเผ่ามารเคี่ยวกรำดวงวิญญาณของเขาจนทราบความลับของนิกายจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาก”

“ดังนั้นภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบให้ก็คือ

ให้พวกเราค้นหาดวงวิญญาณของจี้หลิงให้พบ !”