ค้นหาดวงวิญญาณให้พบ
!
จี้เทียนซิงติดตามเซี่ยงหวู่จี้เข้าไปในห้องคัมภีร์เพื่อฟังอีกฝ่ายสอนเกี่ยวข่ายอาคม
ตั้งแต่บ่ายจนถึงช่วงค่ำ เขาฟังการสอนของเซี่ยงหวู่จี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหกชั่วโมงติดต่อกัน
ข่ายอาคมนั้นไม่เหมือนกับการบ่มเพาะพลังยุทธ์
มันสามารถถ่ายทอดทักษะและเคล็ดลับให้อีกฝ่ายได้โดยตรง
ทำให้ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดนั้นกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางทฤษฎีได้ในชั่วข้ามคืนหากคนผู้นั้นมีปฏิภาณไหวพริบสูงพอ
ทว่าข่ายอาคมระดับสูงขึ้นไปนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างความรู้แห่งศาสตร์อาคมและประสบการณ์
ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจบรรลุได้ในคืนเดียว มันต้องอาศัยการปฏิบัติจริงและประสบการณ์ฝึกฝนเท่านั้น
จากการคลุกคลีกับเซี่ยงหวู่จี้ทำให้จี้เทียนซิงรู้ว่า
ตาเฒ่าผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สุดยอดฝีมือในเชิงยุทธ์เท่านั้น แต่เขายังเป็นยอดปรมาจารย์ในศาสตร์แห่งโอสถและข่ายอาคมอีกด้วย
จากคำพูดของเขาที่กล่าวว่าตนเองเป็นปรมาจารย์ในทุกแขนงจนเรียกได้ว่าติดสามอันดับแรกของทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน
เรื่องนี้มิได้ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย !
ศาสตร์แห่งข่ายอาคมที่เซี่ยงหวู่จี้สั่งสมมาตลอดชีวิต
แม้จะเป็นจี้เทียนซิงที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์โดยกำเนิดก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยร่วมสิบปีกว่าจะบรรลุ
ดังนั้นเขาจึงเริ่มสอนความรู้พื้นฐานและทฤษฎีให้อีกฝ่ายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
สืบเนื่องจากจี้เทียนซิงมีพื้นฐานแห่งอาคมอยู่แล้ว
ดังนั้นเซี่ยงหวู่จี้จึงข้ามในส่วนของอาคมระดับยอดเยี่ยมและเริ่มสอนจากอาคมระดับล้ำลึกขึ้นไป
ชายหนุ่มไม่เพียงแค่มีพื้นฐานแห่งอาคมเท่านั้น
แต่พรสวรรค์ติดตัวก็ถือว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
เขาฟังคำสอนของเซี่ยงหวู่อย่างตั้งอกตั้งใจจนสามารถทำความเข้าใจและปฏิบัติตามไปด้วยได้พร้อมๆกัน
ด้วยการสอนสั่งจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเช่นนี้ทำให้หกชั่วโมงของเขาเท่ากับศิษย์ทั่วไปที่เรียนรู้
3-5 วันเลยทีเดียว !
เรื่องนี้ทำให้เซี่ยงหวู่จี้พอใจเป็นอย่างมาก
ดวงตาของเขาทอประกายชื่นชมยินดีและถูกใจจี้เทียนซิงมากขึ้นเรื่อยๆ
พอตกดึก
เซี่ยงหวู่จี้คิดจะกลับห้องเพื่อพักผ่อนและหยุดการสอนเอาไว้เท่านี้
“ไอ้หนู ดึกแล้วไม่ต้องกลับไปหอยุทธ์ฟงอวิ๋นแล้ว
คืนนี้ก็พักที่นี่ซะ”
จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลังจากคิดครู่หนึ่งก็ถามว่า “ผู้อาวุโส
แล้วท่านจะให้ข้านอนห้องไหน ?”
“นอน ?”
เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วและตะโกนว่า
“เจ้ายังหนุ่มยังแน่นต้องฝึกฝนให้หนักสิ นอนทำเพื่อ ?”
“หากเจ้าขี้เกียจสันหลังยาวคิดแต่จะนอนแล้วจะกลายเป็นสุดยอดฝีมือได้อย่างไร
?
มีผู้มีพรสวรรค์คนไหนบ้างที่ไม่บ่มเพาะไม่ฝึกฝนไม่พยายามอย่างหนักแล้วประสบความสำเร็จ
?”
จี้เทียนซิงถูกอบรมจนต้องก้มศีรษะลงและกระซิบแผ่วเบาว่า
“ทีคนแก่อย่างพวกท่านยังนอนกันได้ทั้งวี่ทั้งวันเลย....
”
เซี่ยงหวู่จี้หันขวับไปมองแล้วตะโกนว่า
“หนอย ไอ้เด็กผี ! ทำมาเป็นต่อปากต่อคำ
เดิมทีข้าคิดจะให้เจ้าไปนอนที่ห้องโอสถแต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจล่ะ !
เจ้าไปนอนในบ้านไม้ของข้า นั่งทำสมาธิและฝึกฝนจิตใจซะ!”
หลังจากกล่าวจบเซี่ยงหวู่จี้ก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องคัมภีร์ทันที
จี้เทียนซิงหน้าเหวอด้วยความอึ้ง
เขาลูบจมูกและยิ้มพลางกล่าวว่า “ตาเฒ่านี่อารมณ์ร้อนยังกับวัยรุ่น
ไม่ถงไม่ถามสักคำก็สั่งเอาสั่งเอา”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
เขาเดินไปยังบ้านไม้หลังเล็กและนั่งที่มุมห้องเพื่อทำบ่มเพาะทำสมาธิ
......
เช้าวันรุ่งขึ้น
จี้เทียนซิงเสร็จสิ้นจากการเข้าฌานก็เดินไปที่บ่อน้ำเพื่อชะล้างทำความสะอาด
หลังจากเช็ดหน้าเช็ดตา
ทาสกระบี่ใบ้ก็เดินเข้ามาหา ถึงแม้ว่าคนผู้นี้จะพูดไม่ได้
แต่ก็ยังอุตส่าห์ทำไม้ทำมือเพื่อสื่อสาร
หลังจากคลุกคลีกันมาเกือบเดือน
จี้เทียนซิงเริ่มจดจำภาษาใบ้ของเขาได้บ้างแล้ว ที่แท้ปรากฏว่ามีสตรีนางหนึ่งมาที่ตำหนักไท่อันและกำลังรอพบเขาอยู่นอกประตู
จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะขอบคุณทาสกระบี่ใบ้และเดินไปที่ประตูตำหนักไท่อันทันที
ในขณะที่เดินก็ขบคิดในใจด้วยความฉงนว่าศิษย์สตรีคนไหนกันที่มาหาเขาถึงตำหนักไท่อันแต่เช้าตรู่ขนาดนี้
“ศิษย์สตรีในนิกายข้าก็รู้จักอยู่เพียงสองสามคน
ใครมาหาข้ากันแน่นะ...”
“เค่อเค่ออาการบาดเจ็บยังไม่หายดี
ไม่น่าจะเป็นนาง
แต่ถ้าเป็นซวนซวนก็คงเดินเข้ามาโดยตรง
ฐานะของนางไม่จำเป็นต้องรอข้าที่หน้าประตู....”
ระหว่างครุ่นคิดในช่วงเวลาสั้นๆ
จี้เทียนซิงก็มาถึงประตูตำหนักในที่สุด
มองไกลออกไปหนึ่งร้อยก้าว
ชายหนุ่มก็เห็นสตรีงดงามนางหนึ่งในชุดสีขาว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาวงามผู้นี้ก็คือหยุนเหยานั่นเอง
ห่างไปไม่ไกลมีกระเรียนวิญญาณสีขาวยืนอยู่ข้างหลังนางอีกที จี้เทียนซิงเดินไปหานางอย่างรวดเร็วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ศิษย์พี่ เหตุใดถึงมาหาข้าแต่เช้า ? ท่านมีธุระด่วนอะไรหรือ ?”
การแสดงออกของหยุนเหยาดูจริงจังเล็กน้อย
นางพยักหน้าให้อีกฝ่ายและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง
วันนี้ท่านอาจารย์มอบหมายเรื่องสำคัญแก่ข้า
ข้าต้องการให้เจ้าช่วยอีกแรง”
“ต้องการให้ข้าช่วย ?” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและถามด้วยความสับสนว่า “ศิษย์พี่หญิง มิใช่ว่าข้าโอหัง
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ข้าเกรงว่าจะช่วยอะไรท่านไม่ได้”
หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพลังยุทธ์แค่เล็กน้อยเท่านั้น
เจ้าอย่าได้ใส่ใจ ข้าจะบอกต่อเจ้าโดยละเอียดภายหลัง ตอนนี้เจ้ากลับเข้าไปในตำหนักและขออนุญาตกับผู้อาวุโสให้เรียบร้อยก่อนเถิด
ข้าจะรอเจ้าที่นี่
เนื่องจากภารกิจนี้สมควรใช้เวลาหลายวัน”
จี้เทียนซิงเห็นว่าสีหน้าของนางดูจริงจังก็คาดเดาได้ทันทีว่าภารกิจนี้คงลำบากไม่น้อย เขาจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลง งั้นท่านรอข้าประเดี๋ยว
ข้าจะไปบอกกล่าวต่อผู้อาวุโสจี้เสียก่อน”
สิ่งของทั้งหมดของจี้เทียนซิงอยู่ในถุงสมบัติหมดแล้ว
ดังนั้นเขาไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากนัก เพียงคิดจะเข้าไปลาเซี่ยงหวู่จี้เท่านั้น
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปตำหนักในและบอกกล่าวกับเซี่ยงหวู่จี้ว่าจำเป็นต้องออกไปข้างนอกกับหยุนเหยาสักหลายวัน
ซึ่งเซี่ยงหวู่จี้ก็เพียงแค่พยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร
จากนั้นเขาก็เดินกลับไปที่ประตูและติดตามหยุนเหยาขึ้นขี่หลังกระเรียนวิญญาณของนาง
แกว๊ก !
กระเรียนวิญญาณส่งเสียงแหลมและกระพือปีกบินออกจากนิกายทันที
หลังจากออกจากพื้นที่นิกายแล้ว
กระเรียนวิญญาณก็บินข้ามภูเขาและลงจอดบนทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งห่างจากนิกายไปสิบห้าไมล์โดยประมาณ
เมื่อได้เห็นทุ่งหญ้าและสภาพแวดล้อมที่คุ้นตา
จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วทันทีและขบคิดในใจว่า “เมื่อหลายวันก่อนข้ามาดักรอจี้หลิงที่นี่ ศิษย์พี่หญิงพาข้ามาที่นี่ทำไมกันนะ ?”
เมื่อเห็นหยุนเหยากระโดดจากหลังกระเรียนลงไปบนพื้นหญ้า
จี้เทียนซิงก็กระโดดตามไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ชายหนุ่มหันไปมองรอบๆและพบว่าในป่าที่ห่างไปไม่ไกลมีศิษย์หนุ่มในชุดขาวยืนอยู่เคียงคู่กับหมาป่ายักษ์สีเงิน
จี้เทียนซิงเดินตามหลังหยุนเหยาเข้าไปในป่าและได้เห็นว่าศิษย์ผู้นั้นก็คือไป๋หวู่เชินนั่นเอง
เมื่อไป๋หวู่เชินเห็นพวกเขามาถึงก็ทักทายหยุนเหยาอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่หญิง
ข้ายืมเจดีย์ซวนจี๋มาจากผู้อาวุโสสองตามที่ท่านสั่งแล้ว”
หลังพูดจบเขาก็กางฝ่ามือขวาออกและมีเจดีย์ทองคำขนาดเล็กสูงสามนิ้วปรากฏขึ้น
หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“หากไม่อยากให้ล่าช้า เจ้าก็เริ่มลงมือค้นหาเดี๋ยวนี้”
จี้เทียนซิงเหม่อมองหยุนเหยาและไป๋หวู่เชินอย่างงุนงงและถามอย่างรวดเร็วว่า
“ศิษย์พี่หญิง พวกท่านคิดจะหาอะไร ?”
ดวงหน้างดงามของหยุนเหยาแสดงออกถึงความซับซ้อน
นางอธิบายว่า “เมื่อสี่วันก่อน ศพของจี้หลิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ท่านอาจารย์ของข้าได้ใช้แผนที่ดวงดาวทำนายและพบว่าเผ่ามารได้ขโมยศพของเขาไป”
จี้เทียนซิงตกตะลึงจนอ้าปากค้างและได้รับรู้ข้อมูลจำนวนมากจากคำบอกเล่าของนาง
ในขณะนี้เขารู้แล้วว่า
ประมุขนิกายทราบแต่แรกว่าเขาคือผู้สังหารจี้หลิง แต่ก็มิได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
นอกจากนี้วันที่เขาฆ่าจี้หลิงไป
ศพของอีกฝ่ายถูกเผ่ามารขโมยไปอย่างน่าสงสัย
จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะถามต่อไปว่า
“ในเมื่อจี้หลิงก็ตายไปแล้ว เผ่ามารคิดจะทำอะไรกับศพของเขา
?"
หยุนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ยอดฝีมือเผ่ามารจะมีเคล็ดวิชาลับที่เรียกว่าวิถีมารโลหิต
ถึงแม้ว่าจี้หลิงจะตายไปแล้วแต่พวกมันก็ยังสามารถแยกจิตวิญญาณของเขาออกมาได้”
“ที่สำคัญกว่านั้น จี้หลิงเคยเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามสูงสุดและรู้ความลับอันใหญ่หลวงของนิกายเรา หากยอดฝีมือเผ่ามารเคี่ยวกรำดวงวิญญาณของเขาจนทราบความลับของนิกายจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาก”
“ดังนั้นภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบให้ก็คือ
ให้พวกเราค้นหาดวงวิญญาณของจี้หลิงให้พบ !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved