ตอนที่ 160

มรดกของเซียนกระบี่

เมื่อได้ยินคำอธิบายมหาปุโรหิต

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็เริ่มคล้อยตามและพยักหน้ารับ

วิถีลับมารโลหิตที่นางบ่มเพาะนั้นต้องกลืนกินแก่นโลหิตของสิ่งมีชีวิตในแต่ละเผ่าพันธุ์

จากนั้นก็แยกแก่นแท้และความแข็งแกร่งออกมา

ผลที่ออกมาแม้จะทำให้พลังฝีมือของนางรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิตตั้งแต่อายุ

20 ต้นๆ ทว่า ความเจ็บปวดทรมานที่นางต้องแบกรับจากการบ่มเพาะในแต่ละครั้งนั้นหนักหนาเกินกว่าจะทานทนไหว

ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่นางไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว

!

กระดูกสันหลังของนางจะโผล่นูนออกมาเป็นหนามแหลม

ไหล่ของนางจะมีกระดูกสีดำที่งอกเงยออกมาเป็นปีก

แม้แต่ศีรษะของนางก็ใหญ่โตขึ้นอย่างผิดปกติหลายเท่าและใบหน้ากลายเป็นสีน้ำเงิน

!

ยามที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวันนั้นของเดือน

นางทนไม่ได้กับความเจ็บปวดแทบใจสลาย นางไม่กล้ามองตนเองที่ต้องกลายเป็นตัวประหลาดที่น่าเกลียดอัปลักษณ์

มีหลายครั้งครา

นางอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า

หากพลังยุทธ์ของนางแข็งแกร่งขึ้นจะเป็นอย่างไรหลังจากตัดผ่านไปถึงขอบเขตปราณฟ้า

?  นางจะมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับบิดาของนางหรือไม่

?  ราชาปีศาจผู้มีร่างกายดั่งภูผาสีดำ

ทุกครั้งที่นางคิดถึงรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของบิดาก็มักจะรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง

นางมักจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำและไม่ค่อยออกไปข้างนอก

ดังนั้นนางมักจะสวมเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่เพื่อปกปิดเรือนร่างตนเองโดยสมบูรณ์และเผยให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น

นางไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นด้านที่น่าเกลียดน่ากลัวของตนเอง

ในเวลานี้เอง

น้ำเสียงของมหาปุโรหิตก็เร่งสูงขึ้น มันดูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวัง “ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์ของเรากับเซียนกระบี่จะมีความแค้นล้ำลึกดั่งมหาสมุทร

แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่าเซียนกระบี่ผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งของโลกที่แท้จริง

!”

“ผลย้อนกลับและอันตรายในการบ่มเพาะของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้บั่นทอนพวกเรามาตั้งแต่สมัยบรรพกาล

ทว่า จากการศึกษาเมื่อหลายพันปีก่อน

วิถีบ่มเพาะที่ผิดแผกพิสดารที่เซียนกระบี่สร้างขึ้นมานี้สามารถแก้ปัญหาและข้อเสียใหญ่หลวงของพวกเราได้

!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็เต็มไปด้วยความสงสัยและอดไม่ได้ที่จะถาม

“มหาปุโรหิต, เซียนกระบี่มิใช่คนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

วิถีบ่มเพาะที่มันสร้างขึ้นจะแก้ปัญหาของเผ่าพันธุ์เราได้อย่างไรกัน ?”

มหาปุโรหิตกระพริบตาและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ในตำนานกล่าวไว้ว่า วิถีบ่มเพาะที่เซียนกระบี่บัญญัติขึ้นนั้นจะต้องทำลายตันเถียนตนเองเพื่อฝึกฝน

! กล่าวให้เจาะจงก็คือ

มีเพียงผู้ที่ไร้ตันเถียนเท่านั้นถึงจะสามารถบ่มเพาะวิถีแห่งเซียนกระบี่และก้าวไปถึงเขตแดนของมันได้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนดวงตาเบิกกว้างและเผยให้เห็นใบหน้าที่รู้สึกทึ่ง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ! เผ่าพันธุ์ของเราเกิดมาโดยไร้ซึ่งตันเถียน

ดังนั้นพวกเราจึงเหมาะสมที่สุดในการบ่มเพาะวิถีแห่งเซียนกระบี่”

“ยังมีเคล็ดวิชาที่พิสดารเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ

? พวกมนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อมตันเถียน ผู้ใดจะสมองกลับกล้าทำลายตันเถียนตัวเองเพื่อบ่มเพาะมรดกแห่งเซียนกระบี่

?”

มหาปุโรหิตพยักหน้าและกล่าวว่า

“ถูกต้อง วิถีแห่งเซียนกระบี่นั้นพิเศษอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนและไร้เทียมทานที่สุดในโลก”

“หากเผ่าพันธุ์ของเราได้รับมรดกนั้นมาเพื่อทำการศึกษาค้นคว้า

เป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะพบหนทางแก้ไขจุดด้อยและมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

นอกจากนี้หากมันสามารถช่วยให้พวกเราบ่มเพาะวิถีมารโลหิต, วิถีคุมศพและอาชูร่าสังหารได้โดยไม่เกิดผลประทบต่อร่างกาย

พวกเราก็จะไม่กลายร่างเป็นปีศาจอัปลักษณ์ที่ทำให้มนุษย์ต้องเพ่งเล็ง  พวกเราจะสามารถปรากฏตัวบนแผ่นดินใหญ่เหมือนมนุษย์ทั่วไป

จากนั้นขึ้นมาปกครองดินแดนใหญ่จนกลายเป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่ง  นับประสาอะไรกับการต้องคุดคู้ในถ้ำแคบๆอันมืดมิด

!”

“เมื่อถึงเวลานั้นทำไมเผ่าพันธุ์ของเราจะผงาดขึ้นมาใหม่ไม่ได้

? ด้วยคุณสมบัติทางกายภาพและความสามารถโดยกำเนิดของเผ่าพันธุ์เรา

หากได้บ่มเพาะวิถีแห่งเซียนกระบี่ พวกเขาจะบดขยี้เผ่าพันธุ์ทั้งหมดและครอบครองทั้งทวีป

!”

อารมณ์ของมหาปุโรหิตนั้นเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้นยินดีจนดวงตาเปล่งประกายเป็นสีแดงเข้ม

หัวใจขององค์หญิงเสวี่ยก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

นางเต็มไปด้วยความคาดหวังและโหยหาต่อวิถีแห่งเซียนกระบี่ในตำนาน

นางอดคิดไม่ได้ว่าหากได้บ่มเพาะในวิถีทางนี้

ไม่เพียงแค่ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่นางยังสามารถเดินไปตามท้องถนนได้ดั่งปุถุชนทั่วไปและไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว

อย่างไรก็ตาม

หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วนางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มหาปุโรหิต

แล้วลูกประคำดาราเกี่ยวข้องกับเซียนกระบี่หรือไม่ ?”

มหาปุโรหิตพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ลูกประคำแห่งดวงดาราเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เซียนกระบี่เหลือทิ้งไว้เมื่อพันปีก่อน”

“หลังจากเซียนกระบี่ร่วงหล่น

มรดกทั้งปวงของมันก็อยู่ในสุสานเซียนกระบี่

มีผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนบนโลกที่ตามหามันมาตลอดพันปี  แต่น่าเสียดาย

ไม่เคยมีใครพบเจอสุสานเซียนกระบี่เลยแม้แต่คนเดียว”

“อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พบประคำดารา เราจะสามารถสัมผัสได้ถึงที่อยู่ของสุสานเซียนกระบี่และได้วิถีบ่มเพาะแห่งเซียนกระบี่มาครอง“

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยพยักหน้า

นางตระหนักถึงเรื่องราวทั้งหมดได้ในท้ายที่สุด

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบิดาของนางถึงใช้เวลาหลายร้อยปีและมุ่งมั่นอย่างมากในการค้นหาลูกประคำดารา นางขมวดคิ้วและกล่าวว่า “มหาปุโรหิต หากเป็นเช่นนี้

ข้าไม่สนใจดวงวิญญาณของจี้หลิงอีกแล้ว ข้าจะไปสอบสวนเจ้าหนูมนุษย์ผู้นั้นทันที !”

“หวังว่ามันจะช่วยเราตามหาลูกประคำดาราจนพบ...”

มหาปุโรหิตยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวด้วยเสียงเย็น

“ท่านขังมันไว้ที่ไหน

พวกเราต้องไปทรมานให้มันคายข้อมูลออกมาให้มากที่สุด !”

“คุกที่ห้า ข้าสกัดจุดชีพจรมันไว้แล้ว  นอกจากนี้ในคุกแห่งนั้นยังได้วางข่ายอาคมไว้อีกด้วย”

หลังจากพูดจบ

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ติดตามมหาปุโรหิตออกห้องสระเลือดไปที่ประตู

..............

จี้เทียนซิงยังคงอยู่ในห้องลับอันมืดมิด

เขาโคจรพลังปราณเพื่อทำลายอาคมผนึกที่ประตูหิน

อาคมที่ร่ายไว้ในห้องลับแห่งนี้ทรงพลังมากและเป็นข่ายอาคมระดับล้ำลึกขั้นสูงสุด

มีเพียงยอดฝีมือในขอบเขตปราณฟ้าเท่านั้นถึงจะสามารถร่ายทับเพื่อลบล้างมันได้

ด้วยความแข็งแกร่งในขอบเขตปราณแท้ของจี้เทียนซิง

มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายมัน

ทว่า

พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งข่ายอาคมของชายหนุ่มนั้นสูงล้ำเกินคนธรรมดา  เขาไม่จำเป็นต้องทำลายอาคมทั้งชุด

เพียงแค่ทำลายอาคมที่ประตูหินก็พอให้เขาหลบหนีออกไปได้แล้ว

เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

เขารวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อหาทางทำลายมัน ตอนนี้เขารู้วิธีออกไปได้แล้ว

แต่การต้องโคจรพลังลมปราณอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็เริ่มทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาวและเหงื่อไหลจนชุ่มโชก

ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังและร้อนรนจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย

จากการคำนวณของเขา

เขาต้องใช้เวลามากกว่าสี่ชั่วโมงเพื่อทำลายอาคมที่ประตูหิน

ในขณะนั้นเอง

จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ว่าอาคมที่ร่ายไว้บนประตูหินนั้นผันผวนเป็นอย่างมาก ประตูหินที่เคยเป็นสีน้ำตาลเข้มเริ่มกลายเป็นสีแดงดุจโลหิตสดๆ

จี้เทียนซิงรับรู้ได้ในทันทีว่ากรณีนี้เกิดขึ้นจากการที่มีใครบางคนกำลังร่ายอาคม

หรือไม่ก็พยายามโจมตีมันอยู่

เขาหวังว่ามันจะเป็นอย่างหลัง

“บ้าชิบ ! หรือว่าจะเป็นฝีมือนังแม่มดนั่น

? นางร่ายอาคมอีกครั้งเพราะรู้ว่าข้ากำลังแอบทำลายมันอยู่เป็นแน่

!”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเป็นปมและเริ่มโคจรพลังปราณเตรียมจะสู้ตายหากนางกลับเข้ามา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

โลหิตสีแดงเข้มที่ประตูหินก็สลายไป จากนั้นประตูหินถูกผลักเข้ามาจากด้านนอกและมีเงาร่างสีขาวพร้อมกับลมหอมสายหนึ่งพัดผ่านเข้ามาในห้อง

เมื่อจี้เทียนซิงได้เห็นรูปลักษณ์ชัดๆ

ลมหายใจของเขาแทบจะขาดช่วงในทันที