มรดกของเซียนกระบี่
เมื่อได้ยินคำอธิบายมหาปุโรหิต
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็เริ่มคล้อยตามและพยักหน้ารับ
วิถีลับมารโลหิตที่นางบ่มเพาะนั้นต้องกลืนกินแก่นโลหิตของสิ่งมีชีวิตในแต่ละเผ่าพันธุ์
จากนั้นก็แยกแก่นแท้และความแข็งแกร่งออกมา
ผลที่ออกมาแม้จะทำให้พลังฝีมือของนางรุดหน้าอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นยอดฝีมือในขอบเขตปราณจิตตั้งแต่อายุ
20 ต้นๆ ทว่า ความเจ็บปวดทรมานที่นางต้องแบกรับจากการบ่มเพาะในแต่ละครั้งนั้นหนักหนาเกินกว่าจะทานทนไหว
ในหนึ่งเดือนจะมีวันที่นางไม่อาจควบคุมร่างกายของตนเองได้และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว
!
กระดูกสันหลังของนางจะโผล่นูนออกมาเป็นหนามแหลม
ไหล่ของนางจะมีกระดูกสีดำที่งอกเงยออกมาเป็นปีก
แม้แต่ศีรษะของนางก็ใหญ่โตขึ้นอย่างผิดปกติหลายเท่าและใบหน้ากลายเป็นสีน้ำเงิน
!
ยามที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวันนั้นของเดือน
นางทนไม่ได้กับความเจ็บปวดแทบใจสลาย นางไม่กล้ามองตนเองที่ต้องกลายเป็นตัวประหลาดที่น่าเกลียดอัปลักษณ์
มีหลายครั้งครา
นางอดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า
หากพลังยุทธ์ของนางแข็งแกร่งขึ้นจะเป็นอย่างไรหลังจากตัดผ่านไปถึงขอบเขตปราณฟ้า
? นางจะมีสภาพเฉกเช่นเดียวกับบิดาของนางหรือไม่
? ราชาปีศาจผู้มีร่างกายดั่งภูผาสีดำ
ทุกครั้งที่นางคิดถึงรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของบิดาก็มักจะรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง
นางมักจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำและไม่ค่อยออกไปข้างนอก
ดังนั้นนางมักจะสวมเสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่เพื่อปกปิดเรือนร่างตนเองโดยสมบูรณ์และเผยให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น
นางไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็นด้านที่น่าเกลียดน่ากลัวของตนเอง
ในเวลานี้เอง
น้ำเสียงของมหาปุโรหิตก็เร่งสูงขึ้น มันดูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวัง “ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์ของเรากับเซียนกระบี่จะมีความแค้นล้ำลึกดั่งมหาสมุทร
แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่าเซียนกระบี่ผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่งของโลกที่แท้จริง
!”
“ผลย้อนกลับและอันตรายในการบ่มเพาะของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้บั่นทอนพวกเรามาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
ทว่า จากการศึกษาเมื่อหลายพันปีก่อน
วิถีบ่มเพาะที่ผิดแผกพิสดารที่เซียนกระบี่สร้างขึ้นมานี้สามารถแก้ปัญหาและข้อเสียใหญ่หลวงของพวกเราได้
!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็เต็มไปด้วยความสงสัยและอดไม่ได้ที่จะถาม
“มหาปุโรหิต, เซียนกระบี่มิใช่คนของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
วิถีบ่มเพาะที่มันสร้างขึ้นจะแก้ปัญหาของเผ่าพันธุ์เราได้อย่างไรกัน ?”
มหาปุโรหิตกระพริบตาและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ในตำนานกล่าวไว้ว่า วิถีบ่มเพาะที่เซียนกระบี่บัญญัติขึ้นนั้นจะต้องทำลายตันเถียนตนเองเพื่อฝึกฝน
! กล่าวให้เจาะจงก็คือ
มีเพียงผู้ที่ไร้ตันเถียนเท่านั้นถึงจะสามารถบ่มเพาะวิถีแห่งเซียนกระบี่และก้าวไปถึงเขตแดนของมันได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนดวงตาเบิกกว้างและเผยให้เห็นใบหน้าที่รู้สึกทึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ! เผ่าพันธุ์ของเราเกิดมาโดยไร้ซึ่งตันเถียน
ดังนั้นพวกเราจึงเหมาะสมที่สุดในการบ่มเพาะวิถีแห่งเซียนกระบี่”
“ยังมีเคล็ดวิชาที่พิสดารเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ
? พวกมนุษย์ล้วนเกิดมาพร้อมตันเถียน ผู้ใดจะสมองกลับกล้าทำลายตันเถียนตัวเองเพื่อบ่มเพาะมรดกแห่งเซียนกระบี่
?”
มหาปุโรหิตพยักหน้าและกล่าวว่า
“ถูกต้อง วิถีแห่งเซียนกระบี่นั้นพิเศษอย่างไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนและไร้เทียมทานที่สุดในโลก”
“หากเผ่าพันธุ์ของเราได้รับมรดกนั้นมาเพื่อทำการศึกษาค้นคว้า
เป็นไปได้สูงว่าพวกเราจะพบหนทางแก้ไขจุดด้อยและมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้หากมันสามารถช่วยให้พวกเราบ่มเพาะวิถีมารโลหิต, วิถีคุมศพและอาชูร่าสังหารได้โดยไม่เกิดผลประทบต่อร่างกาย
พวกเราก็จะไม่กลายร่างเป็นปีศาจอัปลักษณ์ที่ทำให้มนุษย์ต้องเพ่งเล็ง พวกเราจะสามารถปรากฏตัวบนแผ่นดินใหญ่เหมือนมนุษย์ทั่วไป
จากนั้นขึ้นมาปกครองดินแดนใหญ่จนกลายเป็นเผ่าพันธุ์อันดับหนึ่ง นับประสาอะไรกับการต้องคุดคู้ในถ้ำแคบๆอันมืดมิด
!”
“เมื่อถึงเวลานั้นทำไมเผ่าพันธุ์ของเราจะผงาดขึ้นมาใหม่ไม่ได้
? ด้วยคุณสมบัติทางกายภาพและความสามารถโดยกำเนิดของเผ่าพันธุ์เรา
หากได้บ่มเพาะวิถีแห่งเซียนกระบี่ พวกเขาจะบดขยี้เผ่าพันธุ์ทั้งหมดและครอบครองทั้งทวีป
!”
อารมณ์ของมหาปุโรหิตนั้นเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้นยินดีจนดวงตาเปล่งประกายเป็นสีแดงเข้ม
หัวใจขององค์หญิงเสวี่ยก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
นางเต็มไปด้วยความคาดหวังและโหยหาต่อวิถีแห่งเซียนกระบี่ในตำนาน
นางอดคิดไม่ได้ว่าหากได้บ่มเพาะในวิถีทางนี้
ไม่เพียงแค่ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่นางยังสามารถเดินไปตามท้องถนนได้ดั่งปุถุชนทั่วไปและไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว
อย่างไรก็ตาม
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วนางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มหาปุโรหิต
แล้วลูกประคำดาราเกี่ยวข้องกับเซียนกระบี่หรือไม่ ?”
มหาปุโรหิตพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ลูกประคำแห่งดวงดาราเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดที่เซียนกระบี่เหลือทิ้งไว้เมื่อพันปีก่อน”
“หลังจากเซียนกระบี่ร่วงหล่น
มรดกทั้งปวงของมันก็อยู่ในสุสานเซียนกระบี่
มีผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนบนโลกที่ตามหามันมาตลอดพันปี แต่น่าเสียดาย
ไม่เคยมีใครพบเจอสุสานเซียนกระบี่เลยแม้แต่คนเดียว”
“อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พบประคำดารา เราจะสามารถสัมผัสได้ถึงที่อยู่ของสุสานเซียนกระบี่และได้วิถีบ่มเพาะแห่งเซียนกระบี่มาครอง“
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยพยักหน้า
นางตระหนักถึงเรื่องราวทั้งหมดได้ในท้ายที่สุด
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบิดาของนางถึงใช้เวลาหลายร้อยปีและมุ่งมั่นอย่างมากในการค้นหาลูกประคำดารา นางขมวดคิ้วและกล่าวว่า “มหาปุโรหิต หากเป็นเช่นนี้
ข้าไม่สนใจดวงวิญญาณของจี้หลิงอีกแล้ว ข้าจะไปสอบสวนเจ้าหนูมนุษย์ผู้นั้นทันที !”
“หวังว่ามันจะช่วยเราตามหาลูกประคำดาราจนพบ...”
มหาปุโรหิตยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวด้วยเสียงเย็น
“ท่านขังมันไว้ที่ไหน
พวกเราต้องไปทรมานให้มันคายข้อมูลออกมาให้มากที่สุด !”
“คุกที่ห้า ข้าสกัดจุดชีพจรมันไว้แล้ว นอกจากนี้ในคุกแห่งนั้นยังได้วางข่ายอาคมไว้อีกด้วย”
หลังจากพูดจบ
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็ติดตามมหาปุโรหิตออกห้องสระเลือดไปที่ประตู
..............
จี้เทียนซิงยังคงอยู่ในห้องลับอันมืดมิด
เขาโคจรพลังปราณเพื่อทำลายอาคมผนึกที่ประตูหิน
อาคมที่ร่ายไว้ในห้องลับแห่งนี้ทรงพลังมากและเป็นข่ายอาคมระดับล้ำลึกขั้นสูงสุด
มีเพียงยอดฝีมือในขอบเขตปราณฟ้าเท่านั้นถึงจะสามารถร่ายทับเพื่อลบล้างมันได้
ด้วยความแข็งแกร่งในขอบเขตปราณแท้ของจี้เทียนซิง
มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำลายมัน
ทว่า
พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งข่ายอาคมของชายหนุ่มนั้นสูงล้ำเกินคนธรรมดา เขาไม่จำเป็นต้องทำลายอาคมทั้งชุด
เพียงแค่ทำลายอาคมที่ประตูหินก็พอให้เขาหลบหนีออกไปได้แล้ว
เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
เขารวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อหาทางทำลายมัน ตอนนี้เขารู้วิธีออกไปได้แล้ว
แต่การต้องโคจรพลังลมปราณอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานก็เริ่มทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาวและเหงื่อไหลจนชุ่มโชก
ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังและร้อนรนจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
จากการคำนวณของเขา
เขาต้องใช้เวลามากกว่าสี่ชั่วโมงเพื่อทำลายอาคมที่ประตูหิน
ในขณะนั้นเอง
จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ว่าอาคมที่ร่ายไว้บนประตูหินนั้นผันผวนเป็นอย่างมาก ประตูหินที่เคยเป็นสีน้ำตาลเข้มเริ่มกลายเป็นสีแดงดุจโลหิตสดๆ
จี้เทียนซิงรับรู้ได้ในทันทีว่ากรณีนี้เกิดขึ้นจากการที่มีใครบางคนกำลังร่ายอาคม
หรือไม่ก็พยายามโจมตีมันอยู่
เขาหวังว่ามันจะเป็นอย่างหลัง
“บ้าชิบ ! หรือว่าจะเป็นฝีมือนังแม่มดนั่น
? นางร่ายอาคมอีกครั้งเพราะรู้ว่าข้ากำลังแอบทำลายมันอยู่เป็นแน่
!”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วเป็นปมและเริ่มโคจรพลังปราณเตรียมจะสู้ตายหากนางกลับเข้ามา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
โลหิตสีแดงเข้มที่ประตูหินก็สลายไป จากนั้นประตูหินถูกผลักเข้ามาจากด้านนอกและมีเงาร่างสีขาวพร้อมกับลมหอมสายหนึ่งพัดผ่านเข้ามาในห้อง
เมื่อจี้เทียนซิงได้เห็นรูปลักษณ์ชัดๆ
ลมหายใจของเขาแทบจะขาดช่วงในทันที
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved