ตอนที่ 323 โลกชั้นที่ห้า

เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของดรุณีน้อย

จี้เทียนซิงก็ได้เห็นกระจกสัมฤทธิ์ในมือนาง

ก่อนหน้านี้นางขดตัวอยู่ที่มุมห้อง แม้ว่าจะตัวสั่นเทาด้วยความตกใจแต่นางก็กอดกระจกบานนี้ไว้แน่น

จี้เทียนซิงมองดูกระจกนั้นและพบว่ากระจกสัมฤทธิ์ดูแปลกประหลาด

มีลวดลายลึกลับที่ขอบกระจก

และยังมีลวดลายแมงมุมสีดำตัวใหญ่สลักอยู่ด้านหลัง

สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อจี้เทียนซิงมองไปในกระจกก็พบว่ามันไม่สะท้อนภาพใดๆออกมาเลย

!

การค้นพบนี้ทำให้จี้เทียนซิงขมวดคิ้วในทันทีและมีข้อสงสัยอย่างลึกซึ้งปรากฏขึ้นในใจ

"นี่คือโลกแห่งภาพมายา พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก

อีกทั้งยังไม่มีภาพตัวเองสะท้อนในกระจก...."

เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกายแวววาว

และเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ

เขาเขวี้ยงกระจกสัมฤทธิ์ไปที่พื้นอย่างรุนแรงจนเกิ้ดเสียงดัง

เพล้ง !

ทันใดนั้นกระจกที่แตกสลายก็เกิดแสงสว่างสีขาวขึ้น

"วูบ !"

ลำแสงสีขาวอันพร่างพราวควบแน่นในทันที

พลันปรากฏประตูแสงรูปไข่ขึ้นเบื้องหน้า

ภายในนั้นเต็มไปด้วยความมืดมิดและความลึกลับ

ดูเหมือนว่าด้านหลังประตูนี้จะนำไปสู่อีกโลกหนึ่ง

จี้เทียนซิงผุดยิ้มบางพลางกระซิบแผ่วเบาว่า “ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ

ที่แท้นี่เป็นโลกแห่งกระจก......"

กล่าวจบชายหนุ่มก็หันไปจ้องมองดรุณีน้อยในชุดกระโปรงฟ้าด้วยรอยยิ้ม

พลางพยักหน้าขอบคุณ

ดรุณีน้อยชุดฟ้าจ้องมองกลับ

เผยรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้นบนดวงหน้าสีชมพูอันน่ารักสดใสของนาง

จี้เทียนซิงยกเท้าขึ้นแล้วก้าวเท้าข้ามผ่านประตูแสงและหายวับไป

พริบตาต่อมา

ประกายแสงสีขาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขาได้มาถึงอีกโลกที่แปลกประหลาดแล้ว

..............

ใต้หอคอยเจ็ดดาว

เฉียวซวนและศิษย์สาวกอีกหลายคนยังยืนอยู่กลางที่เปิดโล่ง

ทั้งหมดยืนเคียงข้างกันพลางกระซิบและหัวเราะ

ในขณะที่มองไปยังชั้นที่สี่ของหอคอยเจ็ดดาว

“โอ้ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว

ดวงไฟบนชั้นสี่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

“ศิษย์พี่เฉียว

ขืนรอนานกว่านี้จะเสียเวลาซะเปล่าๆนะขอรับ”

“ถูกต้อง

เจ้าเด็กจี้เทียนซิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก แม้แต่ทิศเหนือใต้ภายในนั้นมันอาจจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำ

แล้วจะผ่านไปได้อย่างไร"

เฉียวซวนหัวเราะเย้ยหยันด้วยสีหน้าหยอกเย้า

พลางกล่าวอย่างดุร้ายว่า “แน่นอนว่าข้ารู้ดีว่าเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นไม่มีทางผ่านไปได้  เฮอะ หากน้ำหน้าอย่างมันผ่านชั้นสี่ไปได้

ข้าคงไปนอนเล่นอยู่ชั้นเจ็ดแล้ว !”

"ที่ยังรออยู่ตรงนี้ก็เพราะข้าอยากเห็นมันถูกหอคอยตะเพิดออกมาเป็นหมานอนกลิ้งบนพื้น”

"ถึงเวลานั้นข้าจะหัวเราะเยาะมันให้ฟันร่วงหมดปากเลย

ข้าจะก้นด่าสาบแช่งจนมันไม่กล้าสู้หน้าผู้คน

ทำให้มันเป็นตัวตลกในบรรดาศิษย์ยุคนี้ทั้งหมด !”

ศิษย์อีกสองคนที่อยู่ข้างๆก็เผยรอยยิ้มสนุกสนานพลางกล่าวด้วยอารมณ์ขันว่า

“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เฉียวจะไม่พอใจไอ้หนูนั่นมากทีเดียว

ฮ่าๆ"

"เฮ่ย เจ้าไม่รู้อะไร

ศิษย์พี่เฉียวหลงใหลแม่นางหยุนเหยามาก แต่ปีนี้นางไม่มาเข้าร่วม ในเมื่อเขาไม่ได้เห็นหน้านางในฝัน

ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะอารมณ์บ่จอย"

ในขณะที่คนทั้งสามกระซิบกระซาบและหัวเราะต่อกระซิกกัน

ตะเกียงไฟทั้งแปดดวงบนหอคอยชั้นที่สี่ มีหนึ่งดวงที่สว่างขึ้น

โคมไฟทองแดงขนาดใหญ่ส่องสว่างเป็นสีเหลืองสดใสและเปล่งประกายในยามค่ำคืน

คนทั้งสามตะลึงงันไปวูบหนึ่ง พวกมันทุกคนจ้องมองไปที่ตะเกียงทองแดงด้วยสีหน้ามืดมน

"เป็น...ไปได้อย่างไร ?" เฉียวซวนแสดงอาการตกตะลึงดูเหมือนจะไม่เชื่อผลที่ออกมา

ศิษย์ทั้งสองที่อยู่ข้างๆรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่เฉียวใจเย็นก่อน

อย่าได้กังวลไปนัก แค่แสงไฟตะเกียงสว่างขึ้น

บางทีอาจจะเป็นเพราะศิษย์พี่เหวินหยูผ่านด่านไปแล้วก็เป็นได้”

“ใช่ๆ ! ศิษย์พี่เหวินหยูก็เริ่มปีนจากชั้นที่สี่โดยตรงเช่นกัน

ต้องเป็นเขาแน่ !”

เฉียวซวนเงียบไปและรอคอยต่อไปด้วยสีหน้ามืดมน

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันและในไม่กี่อึดใจต่อมา

แสงจากตะเกียงทองแดงดวงที่สองของชั้นสี่ก็สว่างขึ้น !

“ไฟดวงที่สองส่องสว่างแล้ว ?"

"เจ้าเด็กนั่นกับพี่เหวินหยูผ่านไปได้ทั้งคู่

?"

ศิษย์ทั้งสองหันไปมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ

พลางตะโกนเสียงต่ำอย่างไม่อยากเชื่อ

ใบหน้าของเฉียวซวนกลายเป็นน่าเกลียดอย่างมาก

ดวงตาเบิกกว้างอย่างเย็นชาพลางคำรามว่า "เป็นไปได้ยังไงกันวะเนี่ย !"

"ไอ้เจ้าเด็กนั่นเข้าหอคอยนี้เป็นครั้งแรก

มันจะผ่านชั้นสี่ไปได้เร็วขนาดนี้เชียว ?!"

ก่อนหน้านี้เฉียวซวนเพิ่งจะพูดมาหมาดๆว่า

หากจี้เทียนซิงผ่านชั้นสี่ไปได้มันคงผ่านไปถึงชั้นเจ็ด

ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนว่าจี้เทียนซิงผ่านชั้นสี่ไปได้สำเร็จ

เฉียวซวนถูกจี้ใจดำจากคำพูดของตัวเอง

ทันใดนั้นใบหน้าของมันก็ยิ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจ มันโกรธจนตัวสั่น

ศิษย์ทั้งสองที่อยู่ข้างๆกันหันไปมองหน้ากันพลางยิ้มอย่างขมขื่นและไม่พูดอะไรอีก

"ช่างหัวมัน ข้าไม่เสียเวลาแล้ว ข้าจะเข้าไปล่ะ

!”

"ศิษย์พี่เฉียว เชิญ"

ศิษย์ทั้งสองกล่าวลา

จากนั้นเฉียวซวนก็ก้าวเท้าเข้าไปในประตูของชั้นแรกอย่างรวดเร็วเพื่อเริ่มปีนหอคอย

...........

จี้เทียนซิงกำลังเดินอยู่ในภูเขาอันกว้างใหญ่และรกร้าง

ในมือกุมกระบี่มังกรดำเอาไว้แน่น สายตากวาดมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง

เขาถูกล้อมรอบไปด้วยขุนเขาสีน้ำตาลเข้มไร้สิ้นสุด

มีทั้งสูงและต่ำ ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า

ภูเขาเหล่านั้นเปลือยเปล่า มีโขดหินสีน้ำตาลเข้มและดินแข็งอยู่ทั่วไป

กวาดตามองออกไปหลายร้อยไมล์ของภูเขา มันเป็นสีดำและสีเทาไร้ซึ่งสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้าแม้แต่นิดเดียว

จี้เทียนซิงทะยานไปตามยอดเขาสูงกว่าพันฟุต

เงาร่างของเขาวาดผ่านภูเขาสูงชันลูกแล้วลูกเล่า

ทันใดนั้นเขาก็หยุดลงหลังจากกระโดดไปอยู่เหนือหินก้อนใหญ่ที่ราวกับวิหารหลังหนึ่ง

มีรอยเท้าขนาดใหญ่ที่น่ากลัวบนพื้น มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม

เขาก้มลงข้างๆรอยเท้าและมองอย่างใกล้ชิดพบว่ารอยเท้าขนาดใหญ่นี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรและจมลึกลงไปกว่าครึ่งเมตร

!

รอยเท้าเป็นรูปพัดลม มีนิ้วหนาสี่นิ้ว เมื่อมองผ่านๆอาจคิดว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์ยักษ์บางชนิดที่เหลือทิ้งไว้

เขายังคงเดินหน้าต่อไปและได้พบรอยเท้าเดียวกันในอีกยี่สิบเมตรข้างหน้า

เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่งและคาดเดาผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์บางอย่างขึ้นได้ทันที

"สัตว์ร้ายตัวนี้ต้องมีขนาดใหญ่มาก ระยะห่างระหว่างการก้าวเท้าของมันก็ร่วมยี่สิบเมตร

อีกทั้งยังสามารถทิ้งรอยเท้าลึกครึ่งเมตรได้

น้ำหนักของมันต้องมหาศาลอย่างน่าทึ่งเป็นแน่ !”

"นอกจากนี้..... รอยเท้าของมันก็ยังสด

ดูเหมือนจะเพิ่งผ่านเส้นทางนี้ไปไม่นาน”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้

สีหน้าของจี้เทียนซิงก็ดูเคร่งขรึม ดวงตากวาดมองรอบๆอย่างกระตือรือร้น

แม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามาในโลกที่ห้าและยังไม่ชัดเจนว่าโลกใบนี้เป็นอย่างไร

แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า โลกที่ว่างเปล่าและโดดเดี่ยวแห่งนี้ย่อมเต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่ง

ในขณะนี้เอง ศีรษะใหญ่สองหัวก็โผล่ออกมาจากกองหินที่อยู่ด้านหลัง

ห่างไปหลายร้อยเมตร

หัวของมันเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีขนาดใหญ่เท่ากับถังเก็บน้ำคล้ายหัวของจระเข้

พวกมันเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆ ดวงตาสีเขียวเข้มขนาดใหญ่พลันจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม

เผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นและความกระหายเลือด