เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของดรุณีน้อย
จี้เทียนซิงก็ได้เห็นกระจกสัมฤทธิ์ในมือนาง
ก่อนหน้านี้นางขดตัวอยู่ที่มุมห้อง แม้ว่าจะตัวสั่นเทาด้วยความตกใจแต่นางก็กอดกระจกบานนี้ไว้แน่น
จี้เทียนซิงมองดูกระจกนั้นและพบว่ากระจกสัมฤทธิ์ดูแปลกประหลาด
มีลวดลายลึกลับที่ขอบกระจก
และยังมีลวดลายแมงมุมสีดำตัวใหญ่สลักอยู่ด้านหลัง
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อจี้เทียนซิงมองไปในกระจกก็พบว่ามันไม่สะท้อนภาพใดๆออกมาเลย
!
การค้นพบนี้ทำให้จี้เทียนซิงขมวดคิ้วในทันทีและมีข้อสงสัยอย่างลึกซึ้งปรากฏขึ้นในใจ
"นี่คือโลกแห่งภาพมายา พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก
อีกทั้งยังไม่มีภาพตัวเองสะท้อนในกระจก...."
เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแววตาก็เปล่งประกายแวววาว
และเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างได้อย่างคลุมเครือ
เขาเขวี้ยงกระจกสัมฤทธิ์ไปที่พื้นอย่างรุนแรงจนเกิ้ดเสียงดัง
เพล้ง !
ทันใดนั้นกระจกที่แตกสลายก็เกิดแสงสว่างสีขาวขึ้น
"วูบ !"
ลำแสงสีขาวอันพร่างพราวควบแน่นในทันที
พลันปรากฏประตูแสงรูปไข่ขึ้นเบื้องหน้า
ภายในนั้นเต็มไปด้วยความมืดมิดและความลึกลับ
ดูเหมือนว่าด้านหลังประตูนี้จะนำไปสู่อีกโลกหนึ่ง
จี้เทียนซิงผุดยิ้มบางพลางกระซิบแผ่วเบาว่า “ข้าเดาไม่ผิดจริงๆ
ที่แท้นี่เป็นโลกแห่งกระจก......"
กล่าวจบชายหนุ่มก็หันไปจ้องมองดรุณีน้อยในชุดกระโปรงฟ้าด้วยรอยยิ้ม
พลางพยักหน้าขอบคุณ
ดรุณีน้อยชุดฟ้าจ้องมองกลับ
เผยรอยยิ้มไร้เดียงสาขึ้นบนดวงหน้าสีชมพูอันน่ารักสดใสของนาง
จี้เทียนซิงยกเท้าขึ้นแล้วก้าวเท้าข้ามผ่านประตูแสงและหายวับไป
พริบตาต่อมา
ประกายแสงสีขาวปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เขาได้มาถึงอีกโลกที่แปลกประหลาดแล้ว
..............
ใต้หอคอยเจ็ดดาว
เฉียวซวนและศิษย์สาวกอีกหลายคนยังยืนอยู่กลางที่เปิดโล่ง
ทั้งหมดยืนเคียงข้างกันพลางกระซิบและหัวเราะ
ในขณะที่มองไปยังชั้นที่สี่ของหอคอยเจ็ดดาว
“โอ้ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว
ดวงไฟบนชั้นสี่ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
“ศิษย์พี่เฉียว
ขืนรอนานกว่านี้จะเสียเวลาซะเปล่าๆนะขอรับ”
“ถูกต้อง
เจ้าเด็กจี้เทียนซิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก แม้แต่ทิศเหนือใต้ภายในนั้นมันอาจจะแยกไม่ออกด้วยซ้ำ
แล้วจะผ่านไปได้อย่างไร"
เฉียวซวนหัวเราะเย้ยหยันด้วยสีหน้าหยอกเย้า
พลางกล่าวอย่างดุร้ายว่า “แน่นอนว่าข้ารู้ดีว่าเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นไม่มีทางผ่านไปได้ เฮอะ หากน้ำหน้าอย่างมันผ่านชั้นสี่ไปได้
ข้าคงไปนอนเล่นอยู่ชั้นเจ็ดแล้ว !”
"ที่ยังรออยู่ตรงนี้ก็เพราะข้าอยากเห็นมันถูกหอคอยตะเพิดออกมาเป็นหมานอนกลิ้งบนพื้น”
"ถึงเวลานั้นข้าจะหัวเราะเยาะมันให้ฟันร่วงหมดปากเลย
ข้าจะก้นด่าสาบแช่งจนมันไม่กล้าสู้หน้าผู้คน
ทำให้มันเป็นตัวตลกในบรรดาศิษย์ยุคนี้ทั้งหมด !”
ศิษย์อีกสองคนที่อยู่ข้างๆก็เผยรอยยิ้มสนุกสนานพลางกล่าวด้วยอารมณ์ขันว่า
“ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เฉียวจะไม่พอใจไอ้หนูนั่นมากทีเดียว
ฮ่าๆ"
"เฮ่ย เจ้าไม่รู้อะไร
ศิษย์พี่เฉียวหลงใหลแม่นางหยุนเหยามาก แต่ปีนี้นางไม่มาเข้าร่วม ในเมื่อเขาไม่ได้เห็นหน้านางในฝัน
ก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะอารมณ์บ่จอย"
ในขณะที่คนทั้งสามกระซิบกระซาบและหัวเราะต่อกระซิกกัน
ตะเกียงไฟทั้งแปดดวงบนหอคอยชั้นที่สี่ มีหนึ่งดวงที่สว่างขึ้น
โคมไฟทองแดงขนาดใหญ่ส่องสว่างเป็นสีเหลืองสดใสและเปล่งประกายในยามค่ำคืน
คนทั้งสามตะลึงงันไปวูบหนึ่ง พวกมันทุกคนจ้องมองไปที่ตะเกียงทองแดงด้วยสีหน้ามืดมน
"เป็น...ไปได้อย่างไร ?" เฉียวซวนแสดงอาการตกตะลึงดูเหมือนจะไม่เชื่อผลที่ออกมา
ศิษย์ทั้งสองที่อยู่ข้างๆรีบกล่าวอย่างรวดเร็วว่า
“ศิษย์พี่เฉียวใจเย็นก่อน
อย่าได้กังวลไปนัก แค่แสงไฟตะเกียงสว่างขึ้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะศิษย์พี่เหวินหยูผ่านด่านไปแล้วก็เป็นได้”
“ใช่ๆ ! ศิษย์พี่เหวินหยูก็เริ่มปีนจากชั้นที่สี่โดยตรงเช่นกัน
ต้องเป็นเขาแน่ !”
เฉียวซวนเงียบไปและรอคอยต่อไปด้วยสีหน้ามืดมน
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันและในไม่กี่อึดใจต่อมา
แสงจากตะเกียงทองแดงดวงที่สองของชั้นสี่ก็สว่างขึ้น !
“ไฟดวงที่สองส่องสว่างแล้ว ?"
"เจ้าเด็กนั่นกับพี่เหวินหยูผ่านไปได้ทั้งคู่
?"
ศิษย์ทั้งสองหันไปมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
พลางตะโกนเสียงต่ำอย่างไม่อยากเชื่อ
ใบหน้าของเฉียวซวนกลายเป็นน่าเกลียดอย่างมาก
ดวงตาเบิกกว้างอย่างเย็นชาพลางคำรามว่า "เป็นไปได้ยังไงกันวะเนี่ย !"
"ไอ้เจ้าเด็กนั่นเข้าหอคอยนี้เป็นครั้งแรก
มันจะผ่านชั้นสี่ไปได้เร็วขนาดนี้เชียว ?!"
ก่อนหน้านี้เฉียวซวนเพิ่งจะพูดมาหมาดๆว่า
หากจี้เทียนซิงผ่านชั้นสี่ไปได้มันคงผ่านไปถึงชั้นเจ็ด
ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนว่าจี้เทียนซิงผ่านชั้นสี่ไปได้สำเร็จ
เฉียวซวนถูกจี้ใจดำจากคำพูดของตัวเอง
ทันใดนั้นใบหน้าของมันก็ยิ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจ มันโกรธจนตัวสั่น
ศิษย์ทั้งสองที่อยู่ข้างๆกันหันไปมองหน้ากันพลางยิ้มอย่างขมขื่นและไม่พูดอะไรอีก
"ช่างหัวมัน ข้าไม่เสียเวลาแล้ว ข้าจะเข้าไปล่ะ
!”
"ศิษย์พี่เฉียว เชิญ"
ศิษย์ทั้งสองกล่าวลา
จากนั้นเฉียวซวนก็ก้าวเท้าเข้าไปในประตูของชั้นแรกอย่างรวดเร็วเพื่อเริ่มปีนหอคอย
...........
จี้เทียนซิงกำลังเดินอยู่ในภูเขาอันกว้างใหญ่และรกร้าง
ในมือกุมกระบี่มังกรดำเอาไว้แน่น สายตากวาดมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง
เขาถูกล้อมรอบไปด้วยขุนเขาสีน้ำตาลเข้มไร้สิ้นสุด
มีทั้งสูงและต่ำ ทอดยาวไปจนสุดขอบฟ้า
ภูเขาเหล่านั้นเปลือยเปล่า มีโขดหินสีน้ำตาลเข้มและดินแข็งอยู่ทั่วไป
กวาดตามองออกไปหลายร้อยไมล์ของภูเขา มันเป็นสีดำและสีเทาไร้ซึ่งสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้าแม้แต่นิดเดียว
จี้เทียนซิงทะยานไปตามยอดเขาสูงกว่าพันฟุต
เงาร่างของเขาวาดผ่านภูเขาสูงชันลูกแล้วลูกเล่า
ทันใดนั้นเขาก็หยุดลงหลังจากกระโดดไปอยู่เหนือหินก้อนใหญ่ที่ราวกับวิหารหลังหนึ่ง
มีรอยเท้าขนาดใหญ่ที่น่ากลัวบนพื้น มันเป็นสีน้ำตาลเข้ม
เขาก้มลงข้างๆรอยเท้าและมองอย่างใกล้ชิดพบว่ารอยเท้าขนาดใหญ่นี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองเมตรและจมลึกลงไปกว่าครึ่งเมตร
!
รอยเท้าเป็นรูปพัดลม มีนิ้วหนาสี่นิ้ว เมื่อมองผ่านๆอาจคิดว่าเป็นรอยเท้าของสัตว์ยักษ์บางชนิดที่เหลือทิ้งไว้
เขายังคงเดินหน้าต่อไปและได้พบรอยเท้าเดียวกันในอีกยี่สิบเมตรข้างหน้า
เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่งและคาดเดาผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์บางอย่างขึ้นได้ทันที
"สัตว์ร้ายตัวนี้ต้องมีขนาดใหญ่มาก ระยะห่างระหว่างการก้าวเท้าของมันก็ร่วมยี่สิบเมตร
อีกทั้งยังสามารถทิ้งรอยเท้าลึกครึ่งเมตรได้
น้ำหนักของมันต้องมหาศาลอย่างน่าทึ่งเป็นแน่ !”
"นอกจากนี้..... รอยเท้าของมันก็ยังสด
ดูเหมือนจะเพิ่งผ่านเส้นทางนี้ไปไม่นาน”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
สีหน้าของจี้เทียนซิงก็ดูเคร่งขรึม ดวงตากวาดมองรอบๆอย่างกระตือรือร้น
แม้ว่าเขาจะเพิ่งเข้ามาในโลกที่ห้าและยังไม่ชัดเจนว่าโลกใบนี้เป็นอย่างไร
แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า โลกที่ว่างเปล่าและโดดเดี่ยวแห่งนี้ย่อมเต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่ง
ในขณะนี้เอง ศีรษะใหญ่สองหัวก็โผล่ออกมาจากกองหินที่อยู่ด้านหลัง
ห่างไปหลายร้อยเมตร
หัวของมันเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีขนาดใหญ่เท่ากับถังเก็บน้ำคล้ายหัวของจระเข้
พวกมันเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆ ดวงตาสีเขียวเข้มขนาดใหญ่พลันจ้องมองไปที่ชายหนุ่ม
เผยให้เห็นร่องรอยของความตื่นเต้นและความกระหายเลือด
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved