ตอนที่ 379 แผนการของมารโลหิต

หลังจากสิ้นสุดการประชุม

ประมุขของแต่ละนิกายก็พาอาวุโสและหัวหน้าศิษย์ของตนออกจากตำหนักฉิงเทียน

ฝูงชนทยอยเดินออกจากยอดเขาชื่อเซียว

แยกย้ายกันไปตามลานอื่นๆหลายแห่งบนยอดเขาฉิงเทียน ซึ่งเป็นสถานที่พักของแขกเหรื่อ

ภายในตำหนักฉิงเทียนตอนนี้จึงเหลือเพียงเทียนจือ

นายพลหยูหลิน แน่นอนย่อมมีฉู่เทียนเซิง จี้เทียนซิงและหยุนเหยารวมอยู่ด้วย

กรอบสายตาของเทียนจือตกไปที่ตัวหยุนเหยา

ความลุ่มหลงคลั่งไคล้อันล้ำลึกเผยออกมาจนสัมผัสได้ชัดเจน

มันอยากจะเอ่ยปากทักทายนางและพูดคุยกันหลายครั้งหลายครา

แต่ก็ติดอยู่ที่มีคนอื่นอยู่ในห้องโถงด้วย

ฉู่เทียนเซิงยอบกายคารวะพลางกล่าวว่า “ใต้เท้า

ท่านเดินทางจากจ้งโจวหลายพันไมล์ย่อมรู้สึกเหน็ดเหนื่อย สมควรพักผ่อนขอรับ”

“กระหม่อมได้จัดเตรียมสถานที่พักให้พระองค์แล้ว

โปรดตามกระหม่อมมา"

เทียนจือพยักหน้าและเดินตามหลังฉู่เทียนเซิง

มุ่งหน้าไปยังตำหนักเทียนเหอที่อยู่ด้านหลังตำหนักฉิงเทียน

หลังจากทั้งสองลับตาไป

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เดินเคียงคู่กันออกจากห้องโถง

ทั้งสองหยุดเดินที่ปากทางเข้าห้องโถงและหันมามองหน้ากันแต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมา

หลังจากร่ำลากันเรียบร้อย

พวกเขาก็แยกย้ายกลับที่พักของตัวเอง

...........

ตลอดทั้งวันหลังจากนั้น

ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์มีแต่ความตื่นเต้นวุ่นวาย

ศิษย์สาวกมากมายพูดคุยกันถึงโอรสสวรรค์และมังกรทองสองเศียร์อย่างไม่หยุดหย่อน

ฉากที่มังกรทองเหินลงมาจากฟ้าเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตายของพวกมันทุกคน

บางคนที่เห็นบุคลิกท่าทางของเทียนจือต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่างดงามดั่งวีรบุรุษที่ไม่เหมือนปุถุชนทั่วไป

พระองค์ราวกับเทพยดาบนสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนต้องเคารพบูชา

หลายคนกระซิบกระซาบกันจนรู้ว่าโอรสสวรรค์พักอยู่ในตำหนักเทียนเหอบนยอดเขาชื่อเซียว

หากพวกมันไม่กล้าหัวหลุดจากบ่า มิทราบว่าจะมีศิษย์สาวกกี่คนที่จะแวะไปยังตำหนักเทียนเหอเพื่อชื่นชมพระองค์

ตลอดทั้งวัน

เทียนจือและนายพลหยูหลินก็อยู่แต่ในตำหนักเทียนเหอและไม่ปรากฏตัวออกมาเลย

หลังจากได้พักผ่อนอยู่นาน เทียนจือก็เริ่มปรึกษาหาข้อมูลอย่างเงียบๆ

เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรเทียนเฉิน ตลอดจนรายละเอียดของนิกายใหญ่ทั้งแปด

เหล่าคนสำคัญของนิกายใหญ่

เช่นนิกายฤทัยจันทรา นิกายพันใบไม้ร่วง ฯลฯ ต่างก็พักอยู่ในลานของตนเองอย่างสงบ

พวกมันรอฟังการตัดสินข้อพิพาทจากเทียนจืออย่างใจจดใจจ่อ

หากไม่มีคำสั่งจากเทียนจือ

พวกมันก็ยังมิกล้าออกนอกบริเวณพื้นที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ตามอำเภอใจ

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตกกลางคืน

แสงจากดวงดาวบนท้องฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าน่าดูชม

เวลานี้ งานเลี้ยงรับรองอันยิ่งใหญ่ได้จัดขึ้นที่ตำหนักฉิงเทียนเพื่อตอนรับการมาเยือนของเทียนจือ

เหล่าประมุขแต่ละนิกาย ผู้อาวุโส

หัวหน้าศิษย์ต่างได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ

ภายในงานเลี้ยง

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเกาอวี่สลัดคราบน่าสงสารเวทนาระหว่างวันทิ้งไปและชูจอกสุราให้เทียนจืออย่างไม่หยุดหย่อน

มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ปากเอาพูดเอ่ยชมวนเวียนแต่เรื่องของเทียนจือ, บุรุษผู้หาได้ยากยิ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์, วีรบุรุษในวีรบุรุษที่ถูกส่งมาจากสวรรค์  ฯลฯ

แน่นอนว่าด้วยอัตลักษณ์และระดับพลังฝีมือของเทียนจือนั้น

ไม่แปลกหากจะพูดว่าเป็นอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์

ต่อให้มองหาทั่วทั้งทวีปลมปราณฟ้า

เทียนจือก็นับเป็นหนึ่งในอัจฉริยะไร้เทียมทาน เป็นมนุษย์ผู้ภาคภูมิใจของสวรรค์

กิริยาท่าทางของมันทำให้ฉู่เทียนเซิงและประมุขอีกหลายคนอดไม่ได้ที่จะต้องเหล่ตามองอย่างดูหมิ่นดูแคลน

.................

ในเวลาเดียวกัน บนภูเขาลูกหนึ่งห่างไป 50

ไมล์ทางตะวันออกของนิกายพันธมิตรสวรรค์

แสงจันทราที่สว่างสดใสโรยลงมาบนยอดเขา

ทำให้มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแสงจันทร์อันพร่าเลือน

บุรุษและสตรีคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่เหนือภูเขา

จ้องมองไปที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ด้วยสายตาเย็นชา

สตรีสูงประมาณสองเมตร สวมเสื้อคลุมสีดำ

ผ้าคลุมหน้าและมีดวงตาสีแดงเข้มคู่หนึ่ง

นางก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

ข้างๆนางคือบุรุษวัยกลางคนที่มีลักษณะราวกับปีศาจอสูรกาย

ร่างสูงใหญ่น่าหวาดกลัว

มันสูงกว่าสามเมตรและมีผิวสีม่วงคล้ำ

มันมีผมยาวสีแดงและถูกปกคลุมไปด้วยขนสีม่วงหน้าเตอะ  มันมิได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เหมือนคนทั่วไป มีเพียงเสื้อที่ทำจากหนังงูเหลือมสีดำพันรอบเอวไว้เท่านั้น

มันคือบิดาของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

ผู้นำแห่งเหล่าปีศาจโลหิตคลั่งผู้ถูกขนานนามว่าราชามารโลหิต !

บิดาและบุตรสาวยืนอยู่เคียงข้างกัน

มองดูแสงจากโคมไฟที่สว่างเจิดจ้าไปทั่วนิกายพันธมิตรสวรรค์  ในแววตาของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันและจิตสังหาร

"เจ้าพวกหนอนแมลงนิกายพันธมิตรสวรรค์

อีกไม่นานเราราชันจะสังหารพวกเจ้าให้มอดม้อย !”

ราชามารโลหิตแสยะยิ้มพลางสบถเสียงเย็น

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าและกล่าวว่า “เสด็จพ่อ

เมื่อวานท่านได้ศึกษาเส้นชีพจรวิญญาณมังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์

มิทราบว่าท่านคิดแผนการอันใดได้หรือ ?”

มารโลหิตกล่าวตอบเสียงเย็นว่า “ถึงแม้ข้าจะทราบถึงจิตวิญญาณของเส้นชีพจร

แต่พวกมันก็จับกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นภายในนิกาย พวกเราทำได้เพียงอดใจรออย่างอดทน

ไม่ผลีผลามลงมือ"

"เราราชันได้นำผลึกวิญญาณมาจากวังด้วย

ผลึกวิญญาณนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติเมืองของนิกายใหญ่ในอาณาจักรหยงอัน”

“หลังจากที่ได้ทำลายนิกายนั้น

เราราชันได้เก็บผลึกวิญญาณไว้เพื่อการนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาใช้ประโยชน์มันเสียที"

วูบ

!

กล่าวจบมารโลหิตพลันโบกฝ่ามือซ้ายที่ใหญ่และหนาพอๆกับพัดด้ามหนึ่ง

ทันใดนั้นหินสีเงินขนาดเท่าไข่ลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของมัน, เปล่งแสงสีเงินวาววับจับตา

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้จ้องไปที่หินผลึกวิญญาณและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า

“เสด็จพ่อ

มหาปุโรหิตเคยกล่าวถึงผลึกวิญญาณชนิดนี้มาก่อน

ก่อนหน้านี้มันเคยวางแผนให้เทียนเจี้ยนจงหาทางครอบครองให้ได้สักเม็ดหนึ่งด้วยซ้ำ”

"มันวางแผนให้ซื่อเหวินหยูศิษย์เอกลอบนำออกมาจากหอคอยเจ็ดดาว  แต่น่าเสียดายซื่อเหวินหยูไร้ความสามารถ  มันไม่เพียงแค่ไม่สามารถนำผลึกวิญญาณออกมา

แต่ยังถูกเจ้าเด็กจี้เทียนซิงทำร้ายสาหัสปางตาย”

หยุดไปครู่หนึ่งนางก็ถามต่อไปว่า

“เสด็จพ่อ

ท่านคิดจะใช้ผลึกวิญญาณนี้ทำสิ่งใดกัน ?”

มารโลหิตแสยะยิ้ม

เผยรอยยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวอันน่าหวาดกลัวพลางกล่าวว่า

“แน่นอนว่าเอาไว้ทำลายชีพจรวิญญาณมังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจุติขององค์จักรพรรดิ !”

"ผลึกวิญญาณนี้ไม่เพียงแค่เป็นต้นกำเนิดพลังของข่ายอาคมระดับปราณฟ้า

แต่มันยังแฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่มหาข่ายปราณได้อีกด้วย

!"

"เสวี่ยเยวี่ย

อีกไม่นานเราราชันจะลอบเข้าไปในเส้นชีพจรวิญญาณมังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์และลอบกลบฝังผลึกวิญญาณนี้เอาไว้"

"ผลึกวิญญาณจะกลืนกินพลังในการก่อตัวของเส้นชีพจรวิญญาณอย่างเงียบๆและค่อยๆทำลายโครงสร้างของเส้นเลือดวิญญาณทั้งหมด  จนกระมั่งในที่สุด ไม่เกินหนึ่งเดือน ความแข็งแกร่งของเส้นชีพจรวิญญาณมังกรที่ปกปักษ์รักษานิกายพันธมิตรสวรรค์ก็จะอ่อนแอและมิอาจทานรับไหว"

มารโลหิตแสยะยิ้มและบอกเล่าแผนการของมันออกมา

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าและกล่าวยกย่องชมเชยอีกฝ่าย

"แผนการนี้นับว่ายอดเยี่ยม

แต่ว่าเสด็จพ่อ ท่านลอบเข้าไปในนิกายพันธมิตรสวรรค์โดยลำพัง

ที่นั่นเต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับปราณฟ้ามากมาย โปรดระวังตัวให้มาก”

มารโลหิตแสยะยิ้มอย่างหยิ่งผยองและกล่าวว่า “ในดินแดนแห่งนี้มียอดยุทธ์ระดับปราณฟ้าไม่กี่คนที่พอจะสูสีกับเราราชัน

อีกทั้งเรายังมีร่มหมอกปีศาจในมือ ผู้ใดจะพบตัวหรือทำอันตรายเราใดๆต่อเราได้เล่า ?"

"เสวี่ยเยวี่ย เจ้าอยู่ที่นี่และรอคอย

อีกไม่นานเราราชันจะกลับมา”

วูบ........

!

สิ้นคำ

ร่างของมารโลหิตก็กลายเป็นหมอกสีดำและทะยานออกจากภูเขา ดิ่งไปยังทิศทางของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ยืนอยู่บนยอดเขา

จ้องมองหมอกทมิฬที่หายลับตาไปในความมืด

นั่งสมาธิรอคอยอย่างเงียบงัน

.........

ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม มารโลหิตก็ได้มาถึงด้านหลังนิกายพันธมิตรสวรรค์และไปที่ตีนเขาหยูเจี้ยน

มหาข่ายปราณเก้ามังกรผนึกมารได้ปกป้องทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์และแน่นอนว่าต้องครอบคลุมยอดเขาหยูเจี้ยนด้วยเช่นกัน

มารโลหิตสะบัดร่มหมอกทมิฬ ใช้พลังอำนาจอันลี้ลับของอุปกรณ์วิเศษชิ้นนี้

ผ่านทะลวงข่ายปราณพิทักษ์นิกายอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ขุดดินลงไปอย่างเงียบๆ

มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของนิกายซึ่งเป็นที่ตั้งของเส้นชีพจรวิญญาณมังกร