หลังจากสิ้นสุดการประชุม
ประมุขของแต่ละนิกายก็พาอาวุโสและหัวหน้าศิษย์ของตนออกจากตำหนักฉิงเทียน
ฝูงชนทยอยเดินออกจากยอดเขาชื่อเซียว
แยกย้ายกันไปตามลานอื่นๆหลายแห่งบนยอดเขาฉิงเทียน ซึ่งเป็นสถานที่พักของแขกเหรื่อ
ภายในตำหนักฉิงเทียนตอนนี้จึงเหลือเพียงเทียนจือ
นายพลหยูหลิน แน่นอนย่อมมีฉู่เทียนเซิง จี้เทียนซิงและหยุนเหยารวมอยู่ด้วย
กรอบสายตาของเทียนจือตกไปที่ตัวหยุนเหยา
ความลุ่มหลงคลั่งไคล้อันล้ำลึกเผยออกมาจนสัมผัสได้ชัดเจน
มันอยากจะเอ่ยปากทักทายนางและพูดคุยกันหลายครั้งหลายครา
แต่ก็ติดอยู่ที่มีคนอื่นอยู่ในห้องโถงด้วย
ฉู่เทียนเซิงยอบกายคารวะพลางกล่าวว่า “ใต้เท้า
ท่านเดินทางจากจ้งโจวหลายพันไมล์ย่อมรู้สึกเหน็ดเหนื่อย สมควรพักผ่อนขอรับ”
“กระหม่อมได้จัดเตรียมสถานที่พักให้พระองค์แล้ว
โปรดตามกระหม่อมมา"
เทียนจือพยักหน้าและเดินตามหลังฉู่เทียนเซิง
มุ่งหน้าไปยังตำหนักเทียนเหอที่อยู่ด้านหลังตำหนักฉิงเทียน
หลังจากทั้งสองลับตาไป
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็เดินเคียงคู่กันออกจากห้องโถง
ทั้งสองหยุดเดินที่ปากทางเข้าห้องโถงและหันมามองหน้ากันแต่ก็ไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมา
หลังจากร่ำลากันเรียบร้อย
พวกเขาก็แยกย้ายกลับที่พักของตัวเอง
...........
ตลอดทั้งวันหลังจากนั้น
ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์มีแต่ความตื่นเต้นวุ่นวาย
ศิษย์สาวกมากมายพูดคุยกันถึงโอรสสวรรค์และมังกรทองสองเศียร์อย่างไม่หยุดหย่อน
ฉากที่มังกรทองเหินลงมาจากฟ้าเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตายของพวกมันทุกคน
บางคนที่เห็นบุคลิกท่าทางของเทียนจือต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่างดงามดั่งวีรบุรุษที่ไม่เหมือนปุถุชนทั่วไป
พระองค์ราวกับเทพยดาบนสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนต้องเคารพบูชา
หลายคนกระซิบกระซาบกันจนรู้ว่าโอรสสวรรค์พักอยู่ในตำหนักเทียนเหอบนยอดเขาชื่อเซียว
หากพวกมันไม่กล้าหัวหลุดจากบ่า มิทราบว่าจะมีศิษย์สาวกกี่คนที่จะแวะไปยังตำหนักเทียนเหอเพื่อชื่นชมพระองค์
ตลอดทั้งวัน
เทียนจือและนายพลหยูหลินก็อยู่แต่ในตำหนักเทียนเหอและไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
หลังจากได้พักผ่อนอยู่นาน เทียนจือก็เริ่มปรึกษาหาข้อมูลอย่างเงียบๆ
เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรเทียนเฉิน ตลอดจนรายละเอียดของนิกายใหญ่ทั้งแปด
เหล่าคนสำคัญของนิกายใหญ่
เช่นนิกายฤทัยจันทรา นิกายพันใบไม้ร่วง ฯลฯ ต่างก็พักอยู่ในลานของตนเองอย่างสงบ
พวกมันรอฟังการตัดสินข้อพิพาทจากเทียนจืออย่างใจจดใจจ่อ
หากไม่มีคำสั่งจากเทียนจือ
พวกมันก็ยังมิกล้าออกนอกบริเวณพื้นที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ตามอำเภอใจ
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตกกลางคืน
แสงจากดวงดาวบนท้องฟ้าเปล่งประกายเจิดจ้าน่าดูชม
เวลานี้ งานเลี้ยงรับรองอันยิ่งใหญ่ได้จัดขึ้นที่ตำหนักฉิงเทียนเพื่อตอนรับการมาเยือนของเทียนจือ
เหล่าประมุขแต่ละนิกาย ผู้อาวุโส
หัวหน้าศิษย์ต่างได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ
ภายในงานเลี้ยง
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าเกาอวี่สลัดคราบน่าสงสารเวทนาระหว่างวันทิ้งไปและชูจอกสุราให้เทียนจืออย่างไม่หยุดหย่อน
มันทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปากเอาพูดเอ่ยชมวนเวียนแต่เรื่องของเทียนจือ, บุรุษผู้หาได้ยากยิ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์, วีรบุรุษในวีรบุรุษที่ถูกส่งมาจากสวรรค์ ฯลฯ
แน่นอนว่าด้วยอัตลักษณ์และระดับพลังฝีมือของเทียนจือนั้น
ไม่แปลกหากจะพูดว่าเป็นอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ต่อให้มองหาทั่วทั้งทวีปลมปราณฟ้า
เทียนจือก็นับเป็นหนึ่งในอัจฉริยะไร้เทียมทาน เป็นมนุษย์ผู้ภาคภูมิใจของสวรรค์
กิริยาท่าทางของมันทำให้ฉู่เทียนเซิงและประมุขอีกหลายคนอดไม่ได้ที่จะต้องเหล่ตามองอย่างดูหมิ่นดูแคลน
.................
ในเวลาเดียวกัน บนภูเขาลูกหนึ่งห่างไป 50
ไมล์ทางตะวันออกของนิกายพันธมิตรสวรรค์
แสงจันทราที่สว่างสดใสโรยลงมาบนยอดเขา
ทำให้มันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแสงจันทร์อันพร่าเลือน
บุรุษและสตรีคู่หนึ่งกำลังยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่เหนือภูเขา
จ้องมองไปที่นิกายพันธมิตรสวรรค์ด้วยสายตาเย็นชา
สตรีสูงประมาณสองเมตร สวมเสื้อคลุมสีดำ
ผ้าคลุมหน้าและมีดวงตาสีแดงเข้มคู่หนึ่ง
นางก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้
ข้างๆนางคือบุรุษวัยกลางคนที่มีลักษณะราวกับปีศาจอสูรกาย
ร่างสูงใหญ่น่าหวาดกลัว
มันสูงกว่าสามเมตรและมีผิวสีม่วงคล้ำ
มันมีผมยาวสีแดงและถูกปกคลุมไปด้วยขนสีม่วงหน้าเตอะ มันมิได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เหมือนคนทั่วไป มีเพียงเสื้อที่ทำจากหนังงูเหลือมสีดำพันรอบเอวไว้เท่านั้น
มันคือบิดาของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้
ผู้นำแห่งเหล่าปีศาจโลหิตคลั่งผู้ถูกขนานนามว่าราชามารโลหิต !
บิดาและบุตรสาวยืนอยู่เคียงข้างกัน
มองดูแสงจากโคมไฟที่สว่างเจิดจ้าไปทั่วนิกายพันธมิตรสวรรค์ ในแววตาของพวกมันเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันและจิตสังหาร
"เจ้าพวกหนอนแมลงนิกายพันธมิตรสวรรค์
อีกไม่นานเราราชันจะสังหารพวกเจ้าให้มอดม้อย !”
ราชามารโลหิตแสยะยิ้มพลางสบถเสียงเย็น
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าและกล่าวว่า “เสด็จพ่อ
เมื่อวานท่านได้ศึกษาเส้นชีพจรวิญญาณมังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์
มิทราบว่าท่านคิดแผนการอันใดได้หรือ ?”
มารโลหิตกล่าวตอบเสียงเย็นว่า “ถึงแม้ข้าจะทราบถึงจิตวิญญาณของเส้นชีพจร
แต่พวกมันก็จับกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นภายในนิกาย พวกเราทำได้เพียงอดใจรออย่างอดทน
ไม่ผลีผลามลงมือ"
"เราราชันได้นำผลึกวิญญาณมาจากวังด้วย
ผลึกวิญญาณนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติเมืองของนิกายใหญ่ในอาณาจักรหยงอัน”
“หลังจากที่ได้ทำลายนิกายนั้น
เราราชันได้เก็บผลึกวิญญาณไว้เพื่อการนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาใช้ประโยชน์มันเสียที"
วูบ
!
กล่าวจบมารโลหิตพลันโบกฝ่ามือซ้ายที่ใหญ่และหนาพอๆกับพัดด้ามหนึ่ง
ทันใดนั้นหินสีเงินขนาดเท่าไข่ลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของมัน, เปล่งแสงสีเงินวาววับจับตา
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้จ้องไปที่หินผลึกวิญญาณและถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“เสด็จพ่อ
มหาปุโรหิตเคยกล่าวถึงผลึกวิญญาณชนิดนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้มันเคยวางแผนให้เทียนเจี้ยนจงหาทางครอบครองให้ได้สักเม็ดหนึ่งด้วยซ้ำ”
"มันวางแผนให้ซื่อเหวินหยูศิษย์เอกลอบนำออกมาจากหอคอยเจ็ดดาว แต่น่าเสียดายซื่อเหวินหยูไร้ความสามารถ มันไม่เพียงแค่ไม่สามารถนำผลึกวิญญาณออกมา
แต่ยังถูกเจ้าเด็กจี้เทียนซิงทำร้ายสาหัสปางตาย”
หยุดไปครู่หนึ่งนางก็ถามต่อไปว่า
“เสด็จพ่อ
ท่านคิดจะใช้ผลึกวิญญาณนี้ทำสิ่งใดกัน ?”
มารโลหิตแสยะยิ้ม
เผยรอยยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวอันน่าหวาดกลัวพลางกล่าวว่า
“แน่นอนว่าเอาไว้ทำลายชีพจรวิญญาณมังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการจุติขององค์จักรพรรดิ !”
"ผลึกวิญญาณนี้ไม่เพียงแค่เป็นต้นกำเนิดพลังของข่ายอาคมระดับปราณฟ้า
แต่มันยังแฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่มหาข่ายปราณได้อีกด้วย
!"
"เสวี่ยเยวี่ย
อีกไม่นานเราราชันจะลอบเข้าไปในเส้นชีพจรวิญญาณมังกรของนิกายพันธมิตรสวรรค์และลอบกลบฝังผลึกวิญญาณนี้เอาไว้"
"ผลึกวิญญาณจะกลืนกินพลังในการก่อตัวของเส้นชีพจรวิญญาณอย่างเงียบๆและค่อยๆทำลายโครงสร้างของเส้นเลือดวิญญาณทั้งหมด จนกระมั่งในที่สุด ไม่เกินหนึ่งเดือน ความแข็งแกร่งของเส้นชีพจรวิญญาณมังกรที่ปกปักษ์รักษานิกายพันธมิตรสวรรค์ก็จะอ่อนแอและมิอาจทานรับไหว"
มารโลหิตแสยะยิ้มและบอกเล่าแผนการของมันออกมา
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าและกล่าวยกย่องชมเชยอีกฝ่าย
"แผนการนี้นับว่ายอดเยี่ยม
แต่ว่าเสด็จพ่อ ท่านลอบเข้าไปในนิกายพันธมิตรสวรรค์โดยลำพัง
ที่นั่นเต็มไปด้วยยอดฝีมือระดับปราณฟ้ามากมาย โปรดระวังตัวให้มาก”
มารโลหิตแสยะยิ้มอย่างหยิ่งผยองและกล่าวว่า “ในดินแดนแห่งนี้มียอดยุทธ์ระดับปราณฟ้าไม่กี่คนที่พอจะสูสีกับเราราชัน
อีกทั้งเรายังมีร่มหมอกปีศาจในมือ ผู้ใดจะพบตัวหรือทำอันตรายเราใดๆต่อเราได้เล่า ?"
"เสวี่ยเยวี่ย เจ้าอยู่ที่นี่และรอคอย
อีกไม่นานเราราชันจะกลับมา”
วูบ........
!
สิ้นคำ
ร่างของมารโลหิตก็กลายเป็นหมอกสีดำและทะยานออกจากภูเขา ดิ่งไปยังทิศทางของนิกายพันธมิตรสวรรค์
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ยืนอยู่บนยอดเขา
จ้องมองหมอกทมิฬที่หายลับตาไปในความมืด
นั่งสมาธิรอคอยอย่างเงียบงัน
.........
ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยาม มารโลหิตก็ได้มาถึงด้านหลังนิกายพันธมิตรสวรรค์และไปที่ตีนเขาหยูเจี้ยน
มหาข่ายปราณเก้ามังกรผนึกมารได้ปกป้องทั่วทั้งนิกายพันธมิตรสวรรค์และแน่นอนว่าต้องครอบคลุมยอดเขาหยูเจี้ยนด้วยเช่นกัน
มารโลหิตสะบัดร่มหมอกทมิฬ ใช้พลังอำนาจอันลี้ลับของอุปกรณ์วิเศษชิ้นนี้
ผ่านทะลวงข่ายปราณพิทักษ์นิกายอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ขุดดินลงไปอย่างเงียบๆ
มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของนิกายซึ่งเป็นที่ตั้งของเส้นชีพจรวิญญาณมังกร
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved