ตอนที่ 119

เผ่นกันเถอะสหายจี้ !

คืนนี้นับเป็นคืนอันมืดมิด

ท้องนภาไร้ซึ่งแสงจันทรา เวหามีเพียงสำเนียงเสียงสายลม

จี้เทียนซิงยุ่งอยู่ในตำหนักไท่อันมาตลอดทั้งวันและรู้สึกหิวโหยมาก

ดังนั้นเขาจึงรีบกลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

หลังจากกินอาหารเย็น(ค่ำ)เสร็จ

เขานั่งที่โต๊ะเพื่อพักดื่มชาถอนหายใจ ในหัวคิดไตร่ตรองถึงงานต่อไปอย่างลับๆ

“ครูฝึกฮั่นลงโทษให้ข้าไปดูแลตำหนักไท่อันหนึ่งเดือน

แต่ตอนนี้ข้าก็ทำหน้าที่มาเกินสองอาทิตย์แล้ว”

“ไม่รู้ว่าตาแก่เหม็นหายตัวไปไหน  หลายวันมานี่เขาไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเลย

เช่นนี้..... พรุ่งนี้ข้าจะไม่ไปตำหนักไท่อันก็แล้วกัน  ไปฝึกปรุงยาในห้องปรุงยาดีกว่า”

“การประเมินสิ้นเดือนนี้มีความสำคัญยิ่ง

หากข้าได้อันดับหนึ่งย่อมได้รับผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม .....

ข้าต้องพยายามให้มากขึ้น !”

หลังจากตัดสินใจแล้วจี้เทียนซิงก็เก็บถ้วยชาและลุกขึ้นเตรียมพร้อมเข้าห้องลับเพื่อฝึกฝน

ในขณะนี้เอง

เงาร่างที่มีขนปรากฏขึ้นใต้หน้าต่างและมีศีรษะเล็กๆสีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย

ศีรษะเล็กๆนั้นเหยียดอุ้งเท้าคู่หนึ่งและค่อยๆใช้กรงเล็บแง้มหน้าต่าง

มองเข้าไปด้านในของห้อง

เมื่อมันได้เห็นว่าจี้เทียนซิงอยู่ในห้องเพียงลำพัง

มันก็กางอุ้งเท้าออกไปผลักเปิดหน้าต่างเข้าไปในห้อง

จี้เทียนซิงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันหลังไปมองและได้เห็นสัตว์อสูรสีฟ้าตัวหนึ่งกำลังตีปีกพั่บๆบินมาหา  มันคือเฉียนเยวี่ยนั่นเอง

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและลดเสียงลงถามว่า

“เฉียนเยวี่ย เจ้าหนีออกมาทำไมนี่ ?!”

เฉียนเยวี่ยรีบบินไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและกระซิบด้วยความร้อนอกร้อนใจ

“สหายจี้  เรื่องที่ไม่น่าจะดีกำลังจะอุบัติขึ้น  เรื่องใหญ่เลยล่ะ !

พวกเราเก็บข้าวของเผ่นกันเถอะพวก !”

“เหรอ ?

”  จี้เทียนซิงจ้องมองเฉียนเยวี่ยด้วยความงุนงง เขาถามโดยไม่ลังเล “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ? ทำไมต้องหนี ?”

เฉียนเยวี่ยกล่าวอย่างกังวลว่า

“สหายจี้ ข้าอุตส่าห์เสี่ยงต่อการถูกจับตัวไปย่างกิน หนีออกจากตำหนักไท่อันก็เพื่อมาเตือนเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ

!

เจ้าต้องเชื่อข้า นิกายห่าเหวนี่กำลังจะเกิดหายนะครั้งใหญ่  รีบเผ่นกันก่อนเถอะ !”

จี้เทียนซิงรู้ถึงนิสัยของเฉียนเยวี่ยเป็นอย่างดีว่ามันเป็นคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกมาโดยตลอด

เขาจึงไม่อาจปักใจเชื่อมันง่ายๆ

เขาคว้าตัวเฉียนเยวี่ยและพามันเข้าไปในห้องลับ

จากนั้นก็ถามขึ้น “เอาล่ะ ที่นี่ปลอดภัย พูดมาช้าๆ

เกิดเรื่องอะไรขึ้น"

เฉียนเยวี่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว

“ ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในตำหนักไท่อัน

บังเอิญเดินเล่นไปได้ยินตาแก่เหม็นกับผู้อาวุโสอีกหลายคนกำลังคุยกันเรื่องสำคัญบางอย่าง”

“ข้าได้ยินพวกมันพูดว่านิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่และในไม่ช้าก็จะเกิดภัยพิบัติจนกระทั่งนิกายอาจจะถูกล้างด้วยเลือดและล่มสลาย…”

“ห้ะ ?  นิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังจะเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ในไม่ช้า

จะเกิดภัยพิบัติงั้นหรือ??” คิ้วของจี้เทียนซิงบิดเบี้ยวเป็นปม ใบหน้าแข็งค้างด้วยความงุนงง

“เฉียนเยวี่ย

นี่คือสิ่งที่เจ้าได้ยินจากการสนทนาของพวกเขา ?”

“เยส !”  เฉียนเยวี่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่และถามว่า

“เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าวิกฤตและภัยพิบัติที่พวกเขาพูดกันมันคืออะไร

?

ทำไมแม้กระทั่งนิกายก็ยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้ ?  ที่นี่คือนิกายยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉินเชียวนะ

!”

เฉียนเยวี่ยส่ายหัวและกล่าวอย่างเสียใจ

“ข้าได้ยินไม่กี่คำและรีบเผ่นออกมาก่อนเลยไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่”

หลังจากกล่าวจบเฉียนเยวี่ยก็กระตุ้นเตือนอย่างกระวนกระวายใจ

"สหายจี้ ไม่ต้องถามให้มากความแล้วว่าวิกฤตกับหายนะที่ว่าคืออะไร

พวกเราหนีออกจากนิกายชั่วร้ายนี่กันเถอะ เอาชีวิตรอดไว้ก่อนเป็นดีที่สุด !"

จี้เทียนซิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง

แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ล่ะ

ข้ายังไปไม่ได้ ข้าต้องหาประคำดวงดาวให้พบก่อน”

“สหายจี้ !”

เฉียนเยวี่ยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“นี่มันช่วงคับขันเป็นตายแล้วนะ ทำไมเจ้ายังต้องคิดถึงประคำบ้าบอคอแตกอีก ?”

จี้เทียนซิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“เฉียนเยวี่ย สิ่งนั้นสำคัญสำหรับอนาคตของข้ามาก

ข้าต้องหามันให้พบ !”

“อีกอย่าง หากมีอันตรายเกิดขึ้นอย่างที่เจ้าได้ยินมาจริง

นิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือนับไม่ถ้วน

ข้าว่าพวกเขาจะต้องแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน”

“นอกจากนี้ เจ้าได้ยินแค่ไม่กี่คำ

ยังไม่รู้เลยว่าหายนะที่ว่าคืออะไร จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 10 ปี ? 100 ปี ? หรือ 1000 ปีข้างหน้า  ถูกไหมเล่า ?  ดังนั้นเจ้าอย่าเพิ่งทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลย”

เฉียนเยวี่ยเห็นทัศนคติที่มั่นคงและเป้าหมายอันชัดเจนของเขา  เขาปฏิเสธที่จะหนีจากนิกาย  มันจึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างไร้หนทาง

“เฮ้อ ...สหายจี้   เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่ไปงั้นข้ากับเสี่ยวเฮยหลงก็จะอยู่ด้วย

พวกเรามันผูกชะตาไว้ด้วยกันแล้วนี่นา

หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าจะรีบมาเตือนเจ้าล่วงหน้าก็แล้วกัน”

“ต่อให้นิกายพันธมิตรสวรรค์ต้องล่มสลายลงจริงๆ

อย่างน้อยข้าก็มั่นใจว่าพวกเราจะหนีรอด”

จี้เทียนซิงเขกหัวน้อยๆของมันด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า

“นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า

เจ้าจะมัวกังวลให้กลัดกลุ้มไปทำไม ?”

“อ้อ จริงสิ

ช่วงที่อยู่ในตำหนักไท่อันกับเสี่ยวเฮยหลง

ตาแก่เหม็นนั่นไม่ได้ทำร้ายพวกเจ้าใช่ไหม ?”

ริมฝีปากของเฉียนเยวี่ยโค้งขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าคิดว่าพวกเราเหมือนเจ้า? ที่ต้องถูกตาแก่เหม็นทารุณกรรมเยี่ยงทาส

?  เหอๆ

ข้าเป็นจิ้งจอกน้อยที่ฉลาดและน่ารัก

ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องมีคนรักถนอม ไม่มีใครกล้าทำร้ายข้าได้ลงคอหรอก”

จี้เทียนซิงไม่โกรธต่อคำพูดยอกย้อนของมันและกล่าวว่า

“หากมโนธรรมของเจ้าจริงอย่างปากว่า

ข้าคงไม่ต้องมารับกรรมแทนใช่หรือไม่ ?”

“เอ่อ....”

เฉียนเยวี่ยพูดไม่ออกและเถียงไม่ขึ้น

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งมันก็พูดต่อไปว่า

“ถ้าให้พูดจากใจจริง  ตาแก่นั่นเพียงน่ากลัวแต่ฉากหน้า

แข็งนอกอ่อนใน เขาดีต่อข้ากับเสี่ยวเฮยหลงอย่างมากเลยทีเดียว”

“ตอนที่พวกเราอาศัยอยู่ในตำหนักไท่อัน

ตาแก่เหม็นมักจะนำผลไม้วิญญาณล้ำค่ามาให้พวกเรากินฟื้นฟูพละกำลังอยู่บ่อยๆ”

“หากไม่ใช่เพราะผลไม้วิญญาณของเขาที่ทำให้พลังข้าฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย

ข้าคงไม่ได้ยินเสียงที่พวกเขาคุยกันหรอก.... ”

จี้เทียนซิงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่นทันทีและกล่าวว่า

“เดี๋ยวนะเฉียนเยวี่ย เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ตาแก่เหม็นนั่นเอาผลไม้วิญญาณให้เจ้ากิน ?!”

“ถูก !”  เฉียนเยวี่ยพยักหน้าตอบอย่างไม่รู้ตัว

จี้เทียนซิงหน้าเหยเก

ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ “แม่งเอ้ย ! ตาแก่เหม็นเน่าที่ช้าชั่ว

!”

“เช่นนี้ก็แสดงว่าเขาเป็นฝ่ายเอาผลไม้วิญญาณให้เจ้ากินเอง

แต่กลับบอกว่าเจ้าขโมยกินจนทำให้ข้าเถียงไม่ขึ้นและต้องยอมรับการลงโทษ บัดซบที่สุด !”

เฉียนเยวี่ยเม้มปากด้วยกรงเล็บแล้วหัวเราะคิกคัก

ดวงตาของมันแสดงออกถึงความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่น

จากนั้นจี้เทียนซิงก็พูดคุยกับมันเล็กน้อยและกระตุ้นเตือนให้มันรีบกลับไป

“เอาเถอะ เจ้ารีบกลับตำหนักไท่อันได้แล้ว

ที่นี่มีหูตามากมาย อย่าทำให้ตาแก่เหม็นต้องโมโห”

เฉียนเยวี่ยโบกอุ้งเท้าน้อยๆของมันและบินออกไปจากห้องลับ

จากนั้นก็ออกจากอาณาเขตหอยุทธ์ฟงอวิ๋นอย่างเงียบๆ

หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป(ประมาณครึ่งชั่วโมง)

จี้เทียนซิงก็สงบสติลงและบ่มเพาะภายในห้องลับต่อไป

เม็ดยาต้นกำเนิดหยวนตันที่เขาใช้ไปก่อนหน้านี้ยังมีผลตกค้างอยู่

ซึ่งทำให้การบ่มเพาะของเขาเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าปกติอย่างมาก

หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน

จี้เทียนซิงรู้สึกว่าตนเองอยู่ไม่ไกลจากเขตแดนปราณแท้ขั้นที่ 7 แล้ว บางทีเขาอาจจะเข้าสู่ขั้นปราณจิตภายในเดือนหน้าได้ !

เช้าวันรุ่งขึ้นเขาสิ้นสุดการฝึกฝนและเดินออกมาจากห้องลับ

หลังจากล้างหน้าทำความสะอาดแล้วเขาก็หยิบวัตถุดิบการปรุงยาและเตรียมตัวเดินทางไปยังห้องปรุงยา

อย่างไรก็ตาม

ในขณะที่เขาเดินไปถึงลานกว้างของหอยุทธ์ เขาก็เห็นจี้เค่อยืนรออยู่หน้าประตู

จี้เค่อมารอเขาโดยเฉพาะและยืนรออยู่นอกหอยุทธ์เป็นเวลานานแล้ว

นับตั้งแต่เข้านิกายมาจี้เทียนซิงก็มิได้พบหน้านางร่วมครึ่งเดือน

ดังนั้นเมื่อเห็นนางอุตส่าห์มาเยี่ยมถึงที่

ชายหนุ่มจึงพานางเข้ามาในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและพากลับไปที่ห้องของเขา