เผ่นกันเถอะสหายจี้ !
คืนนี้นับเป็นคืนอันมืดมิด
ท้องนภาไร้ซึ่งแสงจันทรา เวหามีเพียงสำเนียงเสียงสายลม
จี้เทียนซิงยุ่งอยู่ในตำหนักไท่อันมาตลอดทั้งวันและรู้สึกหิวโหยมาก
ดังนั้นเขาจึงรีบกลับหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
หลังจากกินอาหารเย็น(ค่ำ)เสร็จ
เขานั่งที่โต๊ะเพื่อพักดื่มชาถอนหายใจ ในหัวคิดไตร่ตรองถึงงานต่อไปอย่างลับๆ
“ครูฝึกฮั่นลงโทษให้ข้าไปดูแลตำหนักไท่อันหนึ่งเดือน
แต่ตอนนี้ข้าก็ทำหน้าที่มาเกินสองอาทิตย์แล้ว”
“ไม่รู้ว่าตาแก่เหม็นหายตัวไปไหน หลายวันมานี่เขาไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเลย
เช่นนี้..... พรุ่งนี้ข้าจะไม่ไปตำหนักไท่อันก็แล้วกัน ไปฝึกปรุงยาในห้องปรุงยาดีกว่า”
“การประเมินสิ้นเดือนนี้มีความสำคัญยิ่ง
หากข้าได้อันดับหนึ่งย่อมได้รับผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม .....
ข้าต้องพยายามให้มากขึ้น !”
หลังจากตัดสินใจแล้วจี้เทียนซิงก็เก็บถ้วยชาและลุกขึ้นเตรียมพร้อมเข้าห้องลับเพื่อฝึกฝน
ในขณะนี้เอง
เงาร่างที่มีขนปรากฏขึ้นใต้หน้าต่างและมีศีรษะเล็กๆสีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาเล็กน้อย
ศีรษะเล็กๆนั้นเหยียดอุ้งเท้าคู่หนึ่งและค่อยๆใช้กรงเล็บแง้มหน้าต่าง
มองเข้าไปด้านในของห้อง
เมื่อมันได้เห็นว่าจี้เทียนซิงอยู่ในห้องเพียงลำพัง
มันก็กางอุ้งเท้าออกไปผลักเปิดหน้าต่างเข้าไปในห้อง
จี้เทียนซิงได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันหลังไปมองและได้เห็นสัตว์อสูรสีฟ้าตัวหนึ่งกำลังตีปีกพั่บๆบินมาหา มันคือเฉียนเยวี่ยนั่นเอง
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ขมวดคิ้วและลดเสียงลงถามว่า
“เฉียนเยวี่ย เจ้าหนีออกมาทำไมนี่ ?!”
เฉียนเยวี่ยรีบบินไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วและกระซิบด้วยความร้อนอกร้อนใจ
“สหายจี้ เรื่องที่ไม่น่าจะดีกำลังจะอุบัติขึ้น เรื่องใหญ่เลยล่ะ !
พวกเราเก็บข้าวของเผ่นกันเถอะพวก !”
“เหรอ ?
” จี้เทียนซิงจ้องมองเฉียนเยวี่ยด้วยความงุนงง เขาถามโดยไม่ลังเล “เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ? ทำไมต้องหนี ?”
เฉียนเยวี่ยกล่าวอย่างกังวลว่า
“สหายจี้ ข้าอุตส่าห์เสี่ยงต่อการถูกจับตัวไปย่างกิน หนีออกจากตำหนักไท่อันก็เพื่อมาเตือนเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ
!
เจ้าต้องเชื่อข้า นิกายห่าเหวนี่กำลังจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ รีบเผ่นกันก่อนเถอะ !”
จี้เทียนซิงรู้ถึงนิสัยของเฉียนเยวี่ยเป็นอย่างดีว่ามันเป็นคนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกมาโดยตลอด
เขาจึงไม่อาจปักใจเชื่อมันง่ายๆ
เขาคว้าตัวเฉียนเยวี่ยและพามันเข้าไปในห้องลับ
จากนั้นก็ถามขึ้น “เอาล่ะ ที่นี่ปลอดภัย พูดมาช้าๆ
เกิดเรื่องอะไรขึ้น"
เฉียนเยวี่ยอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในตำหนักไท่อัน
บังเอิญเดินเล่นไปได้ยินตาแก่เหม็นกับผู้อาวุโสอีกหลายคนกำลังคุยกันเรื่องสำคัญบางอย่าง”
“ข้าได้ยินพวกมันพูดว่านิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่และในไม่ช้าก็จะเกิดภัยพิบัติจนกระทั่งนิกายอาจจะถูกล้างด้วยเลือดและล่มสลาย…”
“ห้ะ ? นิกายพันธมิตรสวรรค์กำลังจะเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ในไม่ช้า
จะเกิดภัยพิบัติงั้นหรือ??” คิ้วของจี้เทียนซิงบิดเบี้ยวเป็นปม ใบหน้าแข็งค้างด้วยความงุนงง
“เฉียนเยวี่ย
นี่คือสิ่งที่เจ้าได้ยินจากการสนทนาของพวกเขา ?”
“เยส !” เฉียนเยวี่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่และถามว่า
“เจ้าได้ยินหรือไม่ว่าวิกฤตและภัยพิบัติที่พวกเขาพูดกันมันคืออะไร
?
ทำไมแม้กระทั่งนิกายก็ยังไม่อาจรับประกันความปลอดภัยได้ ? ที่นี่คือนิกายยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉินเชียวนะ
!”
เฉียนเยวี่ยส่ายหัวและกล่าวอย่างเสียใจ
“ข้าได้ยินไม่กี่คำและรีบเผ่นออกมาก่อนเลยไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่”
หลังจากกล่าวจบเฉียนเยวี่ยก็กระตุ้นเตือนอย่างกระวนกระวายใจ
"สหายจี้ ไม่ต้องถามให้มากความแล้วว่าวิกฤตกับหายนะที่ว่าคืออะไร
พวกเราหนีออกจากนิกายชั่วร้ายนี่กันเถอะ เอาชีวิตรอดไว้ก่อนเป็นดีที่สุด !"
จี้เทียนซิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แต่สุดท้ายก็ส่ายหัวแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ล่ะ
ข้ายังไปไม่ได้ ข้าต้องหาประคำดวงดาวให้พบก่อน”
“สหายจี้ !”
เฉียนเยวี่ยมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“นี่มันช่วงคับขันเป็นตายแล้วนะ ทำไมเจ้ายังต้องคิดถึงประคำบ้าบอคอแตกอีก ?”
จี้เทียนซิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“เฉียนเยวี่ย สิ่งนั้นสำคัญสำหรับอนาคตของข้ามาก
ข้าต้องหามันให้พบ !”
“อีกอย่าง หากมีอันตรายเกิดขึ้นอย่างที่เจ้าได้ยินมาจริง
นิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เต็มไปด้วยยอดฝีมือนับไม่ถ้วน
ข้าว่าพวกเขาจะต้องแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน”
“นอกจากนี้ เจ้าได้ยินแค่ไม่กี่คำ
ยังไม่รู้เลยว่าหายนะที่ว่าคืออะไร จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 10 ปี ? 100 ปี ? หรือ 1000 ปีข้างหน้า ถูกไหมเล่า ? ดังนั้นเจ้าอย่าเพิ่งทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยเลย”
เฉียนเยวี่ยเห็นทัศนคติที่มั่นคงและเป้าหมายอันชัดเจนของเขา เขาปฏิเสธที่จะหนีจากนิกาย มันจึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างไร้หนทาง
“เฮ้อ ...สหายจี้ เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจว่าจะไม่ไปงั้นข้ากับเสี่ยวเฮยหลงก็จะอยู่ด้วย
พวกเรามันผูกชะตาไว้ด้วยกันแล้วนี่นา
หากมีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าจะรีบมาเตือนเจ้าล่วงหน้าก็แล้วกัน”
“ต่อให้นิกายพันธมิตรสวรรค์ต้องล่มสลายลงจริงๆ
อย่างน้อยข้าก็มั่นใจว่าพวกเราจะหนีรอด”
จี้เทียนซิงเขกหัวน้อยๆของมันด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“นั่นเป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
เจ้าจะมัวกังวลให้กลัดกลุ้มไปทำไม ?”
“อ้อ จริงสิ
ช่วงที่อยู่ในตำหนักไท่อันกับเสี่ยวเฮยหลง
ตาแก่เหม็นนั่นไม่ได้ทำร้ายพวกเจ้าใช่ไหม ?”
ริมฝีปากของเฉียนเยวี่ยโค้งขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคิดว่าพวกเราเหมือนเจ้า? ที่ต้องถูกตาแก่เหม็นทารุณกรรมเยี่ยงทาส
? เหอๆ
ข้าเป็นจิ้งจอกน้อยที่ฉลาดและน่ารัก
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องมีคนรักถนอม ไม่มีใครกล้าทำร้ายข้าได้ลงคอหรอก”
จี้เทียนซิงไม่โกรธต่อคำพูดยอกย้อนของมันและกล่าวว่า
“หากมโนธรรมของเจ้าจริงอย่างปากว่า
ข้าคงไม่ต้องมารับกรรมแทนใช่หรือไม่ ?”
“เอ่อ....”
เฉียนเยวี่ยพูดไม่ออกและเถียงไม่ขึ้น
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งมันก็พูดต่อไปว่า
“ถ้าให้พูดจากใจจริง ตาแก่นั่นเพียงน่ากลัวแต่ฉากหน้า
แข็งนอกอ่อนใน เขาดีต่อข้ากับเสี่ยวเฮยหลงอย่างมากเลยทีเดียว”
“ตอนที่พวกเราอาศัยอยู่ในตำหนักไท่อัน
ตาแก่เหม็นมักจะนำผลไม้วิญญาณล้ำค่ามาให้พวกเรากินฟื้นฟูพละกำลังอยู่บ่อยๆ”
“หากไม่ใช่เพราะผลไม้วิญญาณของเขาที่ทำให้พลังข้าฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย
ข้าคงไม่ได้ยินเสียงที่พวกเขาคุยกันหรอก.... ”
จี้เทียนซิงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแน่นทันทีและกล่าวว่า
“เดี๋ยวนะเฉียนเยวี่ย เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ? ตาแก่เหม็นนั่นเอาผลไม้วิญญาณให้เจ้ากิน ?!”
“ถูก !” เฉียนเยวี่ยพยักหน้าตอบอย่างไม่รู้ตัว
จี้เทียนซิงหน้าเหยเก
ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ “แม่งเอ้ย ! ตาแก่เหม็นเน่าที่ช้าชั่ว
!”
“เช่นนี้ก็แสดงว่าเขาเป็นฝ่ายเอาผลไม้วิญญาณให้เจ้ากินเอง
แต่กลับบอกว่าเจ้าขโมยกินจนทำให้ข้าเถียงไม่ขึ้นและต้องยอมรับการลงโทษ บัดซบที่สุด !”
เฉียนเยวี่ยเม้มปากด้วยกรงเล็บแล้วหัวเราะคิกคัก
ดวงตาของมันแสดงออกถึงความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่น
จากนั้นจี้เทียนซิงก็พูดคุยกับมันเล็กน้อยและกระตุ้นเตือนให้มันรีบกลับไป
“เอาเถอะ เจ้ารีบกลับตำหนักไท่อันได้แล้ว
ที่นี่มีหูตามากมาย อย่าทำให้ตาแก่เหม็นต้องโมโห”
เฉียนเยวี่ยโบกอุ้งเท้าน้อยๆของมันและบินออกไปจากห้องลับ
จากนั้นก็ออกจากอาณาเขตหอยุทธ์ฟงอวิ๋นอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป(ประมาณครึ่งชั่วโมง)
จี้เทียนซิงก็สงบสติลงและบ่มเพาะภายในห้องลับต่อไป
เม็ดยาต้นกำเนิดหยวนตันที่เขาใช้ไปก่อนหน้านี้ยังมีผลตกค้างอยู่
ซึ่งทำให้การบ่มเพาะของเขาเติบโตในอัตราที่เร็วกว่าปกติอย่างมาก
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืน
จี้เทียนซิงรู้สึกว่าตนเองอยู่ไม่ไกลจากเขตแดนปราณแท้ขั้นที่ 7 แล้ว บางทีเขาอาจจะเข้าสู่ขั้นปราณจิตภายในเดือนหน้าได้ !
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาสิ้นสุดการฝึกฝนและเดินออกมาจากห้องลับ
หลังจากล้างหน้าทำความสะอาดแล้วเขาก็หยิบวัตถุดิบการปรุงยาและเตรียมตัวเดินทางไปยังห้องปรุงยา
อย่างไรก็ตาม
ในขณะที่เขาเดินไปถึงลานกว้างของหอยุทธ์ เขาก็เห็นจี้เค่อยืนรออยู่หน้าประตู
จี้เค่อมารอเขาโดยเฉพาะและยืนรออยู่นอกหอยุทธ์เป็นเวลานานแล้ว
นับตั้งแต่เข้านิกายมาจี้เทียนซิงก็มิได้พบหน้านางร่วมครึ่งเดือน
ดังนั้นเมื่อเห็นนางอุตส่าห์มาเยี่ยมถึงที่
ชายหนุ่มจึงพานางเข้ามาในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและพากลับไปที่ห้องของเขา
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved