ตอนที่ 151

ภูเขากระดูก

เมื่อตอนที่จี้เทียนซิงถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬ

เขาเคยประมือกับสตรีชุดดำของเผ่ามารมาก่อนและรู้ซึกถึงพลังอันแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์นี้เป็นอย่างดี

เพราะฉะนั้นเมื่อต้องค้นหาเบาะแสของพวกมันในป่าทึบเช่นนี้

เขาต้องระแวดระวังอยู่ทุกฝีก้าวและไม่กล้าประมาท

หลังจากนั้นไม่นานไป๋หวู่เชินก็พบร่องรอยใหม่

เขาลดเสียงลงและกล่าวกับหยุนเหยาว่า “ศิษย์พี่หญิง

จากปฏิกิริยาของเจดีย์ซวนจี๋ ร่างของจี้หลิงอยู่ใกล้พวกเรามาก มันอยู่ในยอดเขานี้ !”

หยุนเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย  นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกระซิบว่า “ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าเผ่ามารนั้นโหดเหี้ยมและชั่วช้า พวกมันซ่อนเร้นอยู่เงาหลืบของโลกกระทั่งสามารถดิ้นรนจากห้วงสุดท้ายและประตูมรณะได้  ดังนั้นเมื่อมองจากกลิ่นอายความตายที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ

พวกมันน่าจะอยู่ในยอดเขานี้จริง”

ไป๋หวู่เชินเห็นด้วย

เขาพยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ศิษย์พี่หญิงวิเคราะห์ได้สมเหตุสมผล

พวกเราต้องหาทางเข้าไปในภูเขา”

หยุนเหยากล่าวด้วยเสียงต่ำ

“ระมัดระวังให้มาก

ลองดูว่ามีช่องทางใดที่สามารถเข้าไปในถ้ำได้บ้าง”

จากนั้นทั้งสามจึงค้นหาอย่างต่อเนื่องในป่าทึบเพื่อหาช่องว่างหรือรูที่พอจะเข้าสู่ด้านในของภูเขาได้

หลังจากที่ทั้งสามสำรวจรอบๆบริเวณได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง

จี้เทียนซิงก็พบหลุมแห่งหนึ่งในป่าที่เชิงเขา

หลุมนี้มีความยาวสองเมตรและถูกปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้อันเขียวชอุ่ม หากไม่เข้ามากใล้พอและสังเกตอย่างรอบคอบจะไม่มีทางพบมันได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น

จี้เทียนซิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหลุมแห่งนี้มีร่องรอยของข่ายอาคมแฝงอยู่

เขาโบกมือเรียกหยุนเหยากับไป๋หวู่เชินที่อยู่ไม่ไกล

ทั้งสองรีบทะยานร่างมาหาทันที

ไป๋หวู่เชินมองอยู่พักหนึ่งและชักกระบี่ออกมาฟันกิ่งไม้ที่บดบังหลุมออก

หลุมถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนต่อคนทั้งสาม

แต่แสงในถ้ำนั้นน้อยมากจนมองไม่เห็นว่าหลุมนี้ลึกเพียงใด

หยุนเหยาจึงแผ่สัมผัสไปชั่วครู่และได้ข้อสรุปว่า “ถ้ำแห่งนี้ร่ายข่ายอาคมป้องกันเอาไว้  นอกจากนี้ภายในนั้นยังมีกลิ่นอายของเผ่ามารหนาแน่นมาก  มันสมควรเป็นทางเข้าฐานของเผ่ามารแน่แล้ว”

“เอาล่ะข้าจะพยายามทำลายอาคมป้องกันของพวกมันดู”

ไป๋หวู่เชินขยับไปใกล้ทางเข้าและโบกมือโคจรพลังปราณหมายทำลายข่ายอาคมป้องกัน

เขาใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงแต่ก็ล้มเหลวหลังจากพยายามถึงสองครั้งจนไป๋หวู่เชินหน้าเสีย

สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องนำเจดีย์ซวนจี๋ออกมาและใช้พลังของมันในการทำลายอาคมนี้

มันได้ผล

เจดีย์ซวนจี๋เป็นสมบัติล้ำล่าที่มีพลังน่าทึ่ง

มันสามารถทำลายข่ายอาคมที่หลุมได้อย่างรวดเร็ว

“ฟู่ว !”

เมื่ออาคมป้องกันถูกทำลายลง

หมอกสีดำก็พุ่งเข้าหาดวงตาของทั้งสามและภาพที่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ถ้ำที่มืดมืดกลับกลายเป็นประตูหินสีดำขาวที่แปลกตา

ประตูหินสูงถึงสามเมตรและกรอบประตูยังสลักไว้ด้วยตัวอักษรและสัญลักษณ์แปลกๆของเผ่ามาร

มันแผ่ซ่านกลิ่นคาวเลือดและไอมรณะออกมา

“หลังจากเข้าไปแล้วพยายามเก็บงำกลิ่นอายของพวกเจ้าให้มากที่สุด

พยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้  ให้จำไว้ว่าภารกิจของพวกเรามีเพียงการนำดวงวิญญาณของจี้หลิงกลับไปเท่านั้น

!”

หยุนเหยาพูดไม่กี่คำและเอื้อมมือออกไปผลักประตูหินเข้าไปข้างใน

โดยมีจี้เทียนซิงตามไปติดๆและไป๋หวู่เชินอยู่รั้งท้าย

ทั้งสามคนเดินอย่างเชื่องช้าและพยายามเก็บซ่อนลมหายใจเอาไว้โดยไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อยนิด

มันเป็นถ้ำที่มืดมิดและอับชื้นเต็มไปด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยว

พวกเขาทั้งสามเดินไปได้หลายร้อยก้าวแต่สภาพแวดล้อมก็ยังคงมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่าง

อย่างไรก็ตาม

ด้วยความแข็งแกร่งและระดับพลังยุทธ์ของหยุนเหยาที่ไม่ธรรมดา แม้จะเป็นสภาพแวดล้อมที่มืดมิดแต่นางก็ยังสามารถมองเห็นสถานการณ์เบื้องหน้าได้

ไม่นานหลังจากนั้นก็มีทางแยกอยู่ทั้งสองข้างของทางเดินที่ขยายออกไปเป็นเส้นทางแคบๆอีกทางหนึ่ง   หยุนเหยาไม่สนใจทางแยกพวกมันและยังคงเดินนำหน้าไปตามทางหลัก

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงคนทั้งสามก็เดินมาร่วมสิบไมล์จนเข้าสู่ส่วนลึกของใต้ดิน  ในเวลานี้เองเส้นทางที่พวกเขาเดินมาก็มาถึงสุดทาง

เมื่อทั้งสามเข้าไปในถ้ำที่เปิดกว้างขนาดใหญ่ก็หยุดเดินต่อและซ่อนตัวในมุมมืดเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายในถ้ำอย่างเงียบงัน

ถ้ำแห่งนี้มีพื้นกว้างใหญ่และสูงกว่า

100 เมตร

ต่อให้ต้องรองรับผู้คนหลายพันคนก็ยังไม่รู้สึกแออัด

ด้านบนของถ้ำนั้นฝังไว้ด้วยอัญมณีจำนวนมากที่เปล่งแสงออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าส่องจะอ่อน แต่มันก็ช่วยขจัดความมืดได้บางส่วนจนพอมองเห็น

มีหินแกะสลักขนาดใหญ่จำนวนมากตั้งอยู่ระหว่างถ้ำ ซึ่งเหล่านั้นมิได้มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่พวกมันมีสามเศียรหกกรพร้อมกับกรงเล็บอันน่าหวาดผวา

เมื่อมองแวบแรกของหินแกะสลักเหล่านี้ก็จะเห็นพวกมันเป็นดั่งเทพมารที่อยู่ภายใต้แสงสลัวที่ลำตัวเป็นสีเขียวและมีเขี้ยวอันน่าสะพรึงกลัวมาก

ผนังถ้ำรอบๆมีประตูหินหลายบานที่สูงกว่าสามเมตร

พวกมันสมควรเป็นทางเข้าไปยังห้องอื่นๆด้านหลัง

ประตูหินแต่ละบานมีสีน้ำตาลเข้มและกรอบประตูรวมไปถึงธรณีประตูก็ยังถูกจารึกไว้ด้วยตัวอักษรและสัญลักษณ์การเผ่ามาร  มันดูโบราณคร่ำครึอย่างลึกลับและชั่วร้ายมาก

บรรยากาศภายในถ้ำเงียบสงบโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเล็ดรอด ราวกับว่ามันถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายมรณะที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหดหู่

หยุนเหยามีสายเลือดกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และมีสัมผัสที่ไวต่อเผ่าพันธุ์ทุกประเภท

ซึ่งเผ่ามารนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความตายซึ่งทำให้นางรู้สึกขยะแขยงและต่อต้านโดยสัญชาตญาณ

พวกเขาทั้งสามก้มอยู่ในมุมมืดรอคอยให้หยุนเหยาใช้พลังสายเลือดกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจสอบประตูหินทั้งหกที่อยู่รอบๆ

จากนั้นไม่นานนางก็หันไปกล่าวกับจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินว่า “จากประตูหินทั้งหกบาน สองประตูทางซ้ายสุดและสองประตูที่อยู่ตรงกลางมีไอมารอันรุนแรงและหนาแน่นมาก

อาจจะมีคนของเผ่ามารอยู่หลังประตูเหล่านั้น”

“มีเพียงสองประตูขวาเท่านั้นที่ต่างออกไป

มันมีไอมารหลงเหลืออยู่ก็จริงแต่จางลงไปมากแล้ว

พวกเราสมควรเริ่มค้นหาจากสองประตูนั้นเสียก่อน”

ไป๋หวู่เชินก็ใช้เจดีย์ซวนจี๋สำรวจด้วยเช่นกันและได้ผลลัพธ์ที่ตรงกัน

เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงพูดถูก

พวกเราควรเริ่มค้นหาจากประตูขวาสุดก่อน”

ต่อมาทั้งสามคนก็กระซิบกระซาบกันเพื่อวางแผน

หยุนเหยากับจี้เทียนซิงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงรอบๆ

ส่วนไป๋หวู่เชินลอบเข้าไปในประตูหินด้านขวาสุดและทำลายอาคมป้องกันอย่างเงียบเชียบ

ด้วยการตัวเขานั้นมีความสามารถทางด้านข่ายอาคมประกอบกับพลังของเจดีย์ซวนจี๋

มันทำให้เขาสามารถทำลายอาคมป้องกันได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก

เขาผลักเปิดประตูหินหนักเข้าไปในช่องด้านหลังประตูและหายไปพักหนึ่งก่อนที่จะส่งสัญญาณให้หยุนเหยาและจี้เทียนซิงติดตามมา

จากนั้นทั้งสามก็เดินไปจนสุดทางเดินและมาถึงห้องโถงกว้างใหญ่ห้องหนึ่ง

ในห้องโถงอันมืดมิดนั้นเต็มไปด้วยกองกระดูก

!

โครงกระดูกสีขาวหลายพันซ้อนทับกันเป็นภูเขาขนานย่อมๆลูกหนึ่ง

โครงกระดูกส่วนใหญ่ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้นานเป็นเวลาหลายปีจนเริ่มกระบวนการย่อยสลายและบางส่วนก็กลายเป็นแท่งกระดูก

ที่ขอบเนินของภูเขากระดูกมีศพร่างหนึ่งที่ยังสมบูรณ์ไม่เน่าเปื่อย

แต่ก็เริ่มส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมาแล้ว

อย่างไรก็ตามทั้งสามคนจดจำร่างนี้ได้ในทันที

ร่างนั้นก็คือศพของจี้หลิง

!