ดวงวิญญาณผู้วายชนม์เมื่อ
100 ปีก่อน
ไม่ทราบว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด จี้เทียนซิงฟื้นขึ้นในที่สุด
เขาค่อยๆลืมตาขึ้นและได้เห็นว่าตนเองนั้นกำลังนอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ
นี่คือห้องลับอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเน่าเหม็น จากแสงสลัวของโคมไฟหินที่มุมห้องทำให้เขาสามารถมองเห็นภาพรอบๆได้อย่างเลือนลาง
เขาอยู่เพียงลำพังในห้องลับแห่งนี้และถูกล้อมรอบไปด้วยอาคมอันทรงพลัง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายในที่บอบช้ำทำให้เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนและได้กลิ่นเลือดจากปากและจมูกที่ยังคงไหลซึมอยู่เป็นระยะ
เขาต้องการรักษาบาดแผลและตรวจดูชีพจรทั้งหลายที่ถูกสกัดเอาไว้
ทว่าเขาไม่อาจใช้พลังลมปราณได้แม้แต่น้อย
ถึงต่อให้เขาสามารถคลายจุดและโคจรพลังลมปราณได้อย่างอิสระก็ตาม
เขาไม่อาจทำลายอาคมหนีไปจากห้องลับแห่งนี้ได้อยู่ดี
เขาค่อยๆชันกายขึ้นและนั่งขัดสมาธิบนพื้นเย็นครุ่นคิดในใจว่า
“นังปีศาจนั่นไม่ได้ฆ่าข้าแต่กลับขังไว้ในห้องลับแห่งนี้ นางต้องการอะไรกันนะ... ?”
จี้เทียนซิงค่อยๆสงบใจลงและสังเกตไปทั่วห้องเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวโดยรอบ
อย่างไรก็ตาม
ในห้องลับแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเลยและเงียบสงัดอย่างมาก
ความมืดมิดและความเงียบงันทำให้จี้เทียนซิงเริ่มสงบจิตใจได้ในที่สุด
เขานั่งทำสมาธิอย่างเงียบๆด้วยความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัว
“ข้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามกันแล้ว หยุนเหยากับไป๋หวู่เชินหนีรอดไปได้หรือเปล่า ? พวกเขาทั้งคู่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่แข็งแกร่งของนิกาย
สมควรปลอดภัยไร้กังวลกระมัง ?”
“ไม่ได้การ ข้านั่งอยู่เฉยๆเช่นนี้ไม่ได้
ข้าต้องหาทางหนี !”
ในการหลบหนีจากห้องลับแห่งนี้
อันดับแรกเขาต้องหาทางคลายจุดชีพจรเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณให้กลับมาสมบูรณ์เสียก่อน จากนั้นค่อยหาทางทำลายอาคมของห้องลับแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม
หลังจากลองพยายามคลายจุดชีพจรครั้งแรก เขาพบว่ามันยากเย็นกว่าที่คิดมากนัก
นังปีศาจผู้นั้นปิดผนึกจุดชีพจรของเขาด้วยวิถีลับของเผ่าปีศาจเพื่อไม่ให้เขาโคจรพลังได้
ชายหนุ่มตรึงตรองอยู่นานและใช้สรรพวิชามากมายหลายแขนง
แต่ก็ไม่สามารถคลายจุดได้เลย
ผนึกที่นังปีศาจประทับบนร่างเขานั้นแข็งแกร่งมาก
ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตปราณจิตก็ไม่แน่ว่าจะคลายจุดได้ง่ายๆ
จี้เทียนซิงคิดถึงหนทางสุดท้ายที่ตนเองมีอยู่
นั่นก็คือตัวอ่อนกระบี่ทองคำ เขาอธิษฐานในใจว่ามันจะสามารถคลายจุดได้
จากนั้นเขาก็พยายามกระตุ้นปราณกระบี่ในร่างจนสามารถกระตุ้นปราณกระบี่ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันสองอันขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าจุดชีพจรของเขาจะถูกผนึกไว้จนพลังลมปราณไม่สามารถไหลผ่านตามเส้นชีพจรได้ก็ตาม
แต่ปราณกระบี่ทั้งสองที่เขากระตุ้นขึ้นมานั้นกลับสามารถแหวกว่ายไปตามเส้นชีพจรลมปราณได้อย่างช้าๆ
!
มันค่อยๆเคลื่อนไปตามจุดชีพจรที่ถูกผนึกไว้
ต่อมาจี้เทียนซิงก็เริ่มควบคุมพวกมันทั้งสองให้โจมตีปราณที่ผนึกจุดชีพจรเขาเอาไว้ในร่างอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้ว่ากระบวนการนี้จะเจ็บปวดมากเหมือนมีมีดกรีดเนื้อเขาอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม เขาต้องอดทน เนื่องจากพลังยุทธ์ของเขายังต่ำกว่าผู้ที่สกัดจุดไว้มากจึงทำให้เขาไม่สามารถคลายจุดได้โดยตรง
นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว
จี้เทียนซิงขบกรามแน่นเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาล
ในที่สุดก็สามารถคลายจุดแรกได้สำเร็จ
“วิเศษ ! ปราณกระบี่ของข้าสามารถคลายจุดชีพจรที่ถูกผนึกไว้ได้จริงๆ
!”
จากนั้นเขาก็ควบคุมปราณกระบี่อย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับจุดชีพจรที่ถูกสกัดเอาไว้จุดที่สอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมาจุดที่สองก็ถูกคลายออก
ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะเจ็บปวดจนเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย
แต่เขาก็ไม่หยุดและลงมือคลายจุดที่ 3 และ
4 ต่อไปทันที
ในไม่ช้า
เวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง จุดชีพจรที่ถูกผนึกไว้ทั้ง 4 จุดก็ถูกเขาคลายออกในที่สุด !
เมื่อจุดถูกคลายโดยสมบูรณ์
เส้นชีพจรลมปราณที่อุดอัดก็กลับมาไหลเวียนดังเดิม
เขายืนขึ้นและโคจรพลังปราณไปทั่วร่างเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของตนเอง
จากนั้นก็หยิบเม็ดยาจากถุงมิติเพื่อใช้ในการฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บอย่างเงียบงัน
ต่อมาเขาก็จ้องมองข่ายอาคมภายในห้องลับอย่างละเอียดเพื่อหาร่องรอยทำลายมัน
แต่ในเวลานี้เอง
เขาเผอิญเดินไปชนเข้ากับม่านหมอกที่มุมห้องเนื่องจากในห้องลับแห่งนี้มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจและก้มหน้าก้มตาหาร่องรอยของข่ายอาคมต่อไป
อย่างไรก็ตาม
น้ำเสียงอ่อนเปลี้ยของชายชราผู้หนึ่งก็ดังกระทบโสตเขาอย่างชัดเจน
“เจ้าหนู เจ้าคือทายาทตระกูลจี้ใช่หรือไม่ ?”
“…….!”
จี้เทียนซิงเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจและหันไปมองที่หมอกมุมห้องทันที
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าหมอกนั้นมีดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ในลูกคริสตัล
“วูบ !”
หมอกนั้นสั่นไหวไปมาหลายครั้ง
จากนั้นก็กลายเป็นใบหน้าที่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือของชายชราสวมชุดสีฟ้าผู้หนึ่งลอยอยู่ตรงหน้าเขา
จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วพลางส่งเสียงพึมพำว่า
“ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ไป๋ปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ทั้งหมดแล้วหรอกหรือ? ทำไมถึงยังเหลืออยู่อีก
?”
ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า
ในขณะที่ไป๋หวู่เชินกำลังช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณสุดท้าย ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจก็เข้ามาเห็นพอดี
จากนั้นพวกเขาก็เข้าปะทะกับพวกมันจนไป๋หวู่เชินลืมคลายอาคมให้เสร็จสิ้นกระบวนการ
ดังนั้นลูกคริสตัลวิญญาณลูกสุดท้ายจึงคลายได้เพียงครึ่งเดียว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้จี้เทียนซิงจึงเข้าใจทุกอย่างในทันที
เขามองไปที่ชายชราเสื้อคลุมสีฟ้าเบื้องหน้าและกระซิบแผ่วเบาว่า
“ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านรอดพ้นจากอุปกรณ์ผนึกวิญญาณแล้ว
เหตุใดถึงไม่ไปเกิดใหม่เล่า ?"
ชายชราชุดสีฟ้าจ้องมองใบหน้าของจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ที่เราผู้เฒ่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่
บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องราวพิเศษบางประการที่ทำให้ได้พบเจ้าก็เป็นได้...”
“เจ้าหนู ตอบข้าหน่อย
เจ้าคือผู้สืบทอดตระกูลจี้แห่งรัฐนภากระจ่างใช่หรือไม่ ?”
จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้เป็นใครและคิดจะทำอะไร
แต่ความรู้สึกบางประการบอกต่อเขาว่าคนผู้นี้ไม่เป็นอันตรายและไม่มีเจตนาร้าย เขาจึงตอบไปตามความจริงว่า “ถูกต้องแล้ว”
ชายชราชุดฟ้าแววตาทอประกายเต็มไปด้วยสีสัน
จากนั้นถามต่อไปว่า “ตระกูลของเจ้าใช่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางชั้นสูงในเมืองจักรวรรดิที่เป็นตระกูลผู้หลอมสร้างอาวุธหรือเปล่า
?”
“ถูกต้อง” จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามกลับด้วยความสงสัยว่า
“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักตระกูลข้างั้นหรือ ? ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลจี้ ?”
ชายชราชุดฟ้ายิ้มและพยักหน้า
“ข้าย่อมมีสัมพันธ์กับตระกูลจี้แน่นอน
หากจะกล่าวให้เจาะจง ข้าก็เป็นคนของตระกูลจี้เช่นกัน”
“คนของตระกูลจี้ !?”
จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและเผยสีหน้าประหลาดใจ “ผู้อาวุโส ท่านพูดจริงหรือ ?”
ชายชราชุดฟ้ากล่าวว่า
“ข้าเป็นคนสนิทของท่านประมุขตระกูลจี้รุ่นแรกและยังเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลจี้ในยุคนั้นอีกด้วย”
“เดิมทีข้าเป็นคนนอกตระกูล แต่ข้าได้รับความกรุณาจากท่านประมุขรุ่นแรกให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคนของตระกูล ข้าจึงใช้แซ่จี้ นามว่าเหวินเซียง”
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เหวินเซียง
จี้เทียนซิงก็รู้สึกประหลาดใจมากขึ้น เขาเบิ่งตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“ประมุขรุ่นแรกของตระกูลจี้ ? ท่านหมายถึง..บรรพบบุรุษตระกูลจี้ของข้างั้นหรือ
?”
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้ใกล้ชิดบรรพบุรุษของข้า ? แต่เท่าที่ข้าได้ยินมา
ท่านบรรพบุรุษเสียชีวิตไปกว่า 100 ปีแล้วมิใช่หรือ ?”
จี้เหวินเซียงเผยรอยยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวพลางกล่าวว่า
“ผู้ที่ตายเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนคือข้าต่างหาก
จากนั้นดวงวิญญาณของข้าก็ถูกกักขังไว้ที่นี่นานกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบและยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้
!”
“เจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าท่านประมุขรุ่นแรกแข็งแกร่งและสูงส่งเพียงใด
ท่านจะตายง่ายๆเช่นนั้น เป็นไปได้หรือ?”
“รุ่นเยาว์ในยุคนั้นต่างคิดว่าท่านประมุขสิ้นแล้ว
แต่ที่จริงมิใช่แน่นอน ท่านเพียงแค่หายตัวไป ข้าไม่มีวันเชื่อว่าท่านตาย !”
จี้เทียนซิงไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
เขารู้แค่เพียงว่าบรรพบุรุษตระกูลจี้มีนามว่าจี้หรูหลง
นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลย
ดังนั้นเมื่อตอนนี้ได้ยินคำบอกเล่าจากปากของข้ารับใช้คนสนิทท่านบรรพบุรุษ
ชายหนุ่มก็ยิ่งตกใจและสับสนมากขึ้น
“ผู้อาวุโส แล้วเหตุใดเผ่าปีศาจถึงได้โจมตีท่าน ? ทำไมพวกมันต้องกักขังดวงวิญญาณท่านไว้กว่าร้อยปี ?”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved