ตอนที่ 157

ดวงวิญญาณผู้วายชนม์เมื่อ

100 ปีก่อน

ไม่ทราบว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด  จี้เทียนซิงฟื้นขึ้นในที่สุด

เขาค่อยๆลืมตาขึ้นและได้เห็นว่าตนเองนั้นกำลังนอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ

นี่คือห้องลับอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเน่าเหม็น จากแสงสลัวของโคมไฟหินที่มุมห้องทำให้เขาสามารถมองเห็นภาพรอบๆได้อย่างเลือนลาง

เขาอยู่เพียงลำพังในห้องลับแห่งนี้และถูกล้อมรอบไปด้วยอาคมอันทรงพลัง ความเจ็บปวดจากอวัยวะภายในที่บอบช้ำทำให้เขารู้สึกปวดแสบปวดร้อนและได้กลิ่นเลือดจากปากและจมูกที่ยังคงไหลซึมอยู่เป็นระยะ

เขาต้องการรักษาบาดแผลและตรวจดูชีพจรทั้งหลายที่ถูกสกัดเอาไว้

ทว่าเขาไม่อาจใช้พลังลมปราณได้แม้แต่น้อย

ถึงต่อให้เขาสามารถคลายจุดและโคจรพลังลมปราณได้อย่างอิสระก็ตาม

เขาไม่อาจทำลายอาคมหนีไปจากห้องลับแห่งนี้ได้อยู่ดี

เขาค่อยๆชันกายขึ้นและนั่งขัดสมาธิบนพื้นเย็นครุ่นคิดในใจว่า

“นังปีศาจนั่นไม่ได้ฆ่าข้าแต่กลับขังไว้ในห้องลับแห่งนี้  นางต้องการอะไรกันนะ... ?”

จี้เทียนซิงค่อยๆสงบใจลงและสังเกตไปทั่วห้องเพื่อฟังเสียงการเคลื่อนไหวโดยรอบ

อย่างไรก็ตาม

ในห้องลับแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดเลยและเงียบสงัดอย่างมาก

ความมืดมิดและความเงียบงันทำให้จี้เทียนซิงเริ่มสงบจิตใจได้ในที่สุด

เขานั่งทำสมาธิอย่างเงียบๆด้วยความคิดมากมายที่แล่นอยู่ในหัว

“ข้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามกันแล้ว  หยุนเหยากับไป๋หวู่เชินหนีรอดไปได้หรือเปล่า ? พวกเขาทั้งคู่เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่แข็งแกร่งของนิกาย

สมควรปลอดภัยไร้กังวลกระมัง ?”

“ไม่ได้การ ข้านั่งอยู่เฉยๆเช่นนี้ไม่ได้

ข้าต้องหาทางหนี !”

ในการหลบหนีจากห้องลับแห่งนี้

อันดับแรกเขาต้องหาทางคลายจุดชีพจรเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณให้กลับมาสมบูรณ์เสียก่อน  จากนั้นค่อยหาทางทำลายอาคมของห้องลับแห่งนี้

อย่างไรก็ตาม

หลังจากลองพยายามคลายจุดชีพจรครั้งแรก เขาพบว่ามันยากเย็นกว่าที่คิดมากนัก

นังปีศาจผู้นั้นปิดผนึกจุดชีพจรของเขาด้วยวิถีลับของเผ่าปีศาจเพื่อไม่ให้เขาโคจรพลังได้

ชายหนุ่มตรึงตรองอยู่นานและใช้สรรพวิชามากมายหลายแขนง

แต่ก็ไม่สามารถคลายจุดได้เลย

ผนึกที่นังปีศาจประทับบนร่างเขานั้นแข็งแกร่งมาก

ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตปราณจิตก็ไม่แน่ว่าจะคลายจุดได้ง่ายๆ

จี้เทียนซิงคิดถึงหนทางสุดท้ายที่ตนเองมีอยู่

นั่นก็คือตัวอ่อนกระบี่ทองคำ เขาอธิษฐานในใจว่ามันจะสามารถคลายจุดได้

จากนั้นเขาก็พยายามกระตุ้นปราณกระบี่ในร่างจนสามารถกระตุ้นปราณกระบี่ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันสองอันขึ้นมาได้

ถึงแม้ว่าจุดชีพจรของเขาจะถูกผนึกไว้จนพลังลมปราณไม่สามารถไหลผ่านตามเส้นชีพจรได้ก็ตาม

แต่ปราณกระบี่ทั้งสองที่เขากระตุ้นขึ้นมานั้นกลับสามารถแหวกว่ายไปตามเส้นชีพจรลมปราณได้อย่างช้าๆ

!

มันค่อยๆเคลื่อนไปตามจุดชีพจรที่ถูกผนึกไว้

ต่อมาจี้เทียนซิงก็เริ่มควบคุมพวกมันทั้งสองให้โจมตีปราณที่ผนึกจุดชีพจรเขาเอาไว้ในร่างอย่างระมัดระวัง

ถึงแม้ว่ากระบวนการนี้จะเจ็บปวดมากเหมือนมีมีดกรีดเนื้อเขาอยู่ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม เขาต้องอดทน เนื่องจากพลังยุทธ์ของเขายังต่ำกว่าผู้ที่สกัดจุดไว้มากจึงทำให้เขาไม่สามารถคลายจุดได้โดยตรง

นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงอย่างไม่รู้ตัว

จี้เทียนซิงขบกรามแน่นเพื่ออดทนต่อความเจ็บปวดมหาศาล

ในที่สุดก็สามารถคลายจุดแรกได้สำเร็จ

“วิเศษ ! ปราณกระบี่ของข้าสามารถคลายจุดชีพจรที่ถูกผนึกไว้ได้จริงๆ

!”

จากนั้นเขาก็ควบคุมปราณกระบี่อย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับจุดชีพจรที่ถูกสกัดเอาไว้จุดที่สอง

ครึ่งชั่วโมงต่อมาจุดที่สองก็ถูกคลายออก

ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะเจ็บปวดจนเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย

แต่เขาก็ไม่หยุดและลงมือคลายจุดที่ 3 และ

4 ต่อไปทันที

ในไม่ช้า

เวลาก็ผ่านไปอีกสองชั่วโมง จุดชีพจรที่ถูกผนึกไว้ทั้ง 4 จุดก็ถูกเขาคลายออกในที่สุด !

เมื่อจุดถูกคลายโดยสมบูรณ์

เส้นชีพจรลมปราณที่อุดอัดก็กลับมาไหลเวียนดังเดิม

เขายืนขึ้นและโคจรพลังปราณไปทั่วร่างเพื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของตนเอง

จากนั้นก็หยิบเม็ดยาจากถุงมิติเพื่อใช้ในการฟื้นฟูและรักษาอาการบาดเจ็บอย่างเงียบงัน

ต่อมาเขาก็จ้องมองข่ายอาคมภายในห้องลับอย่างละเอียดเพื่อหาร่องรอยทำลายมัน

แต่ในเวลานี้เอง

เขาเผอิญเดินไปชนเข้ากับม่านหมอกที่มุมห้องเนื่องจากในห้องลับแห่งนี้มืดมากจนมองอะไรไม่เห็น

แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจและก้มหน้าก้มตาหาร่องรอยของข่ายอาคมต่อไป

อย่างไรก็ตาม

น้ำเสียงอ่อนเปลี้ยของชายชราผู้หนึ่งก็ดังกระทบโสตเขาอย่างชัดเจน

“เจ้าหนู เจ้าคือทายาทตระกูลจี้ใช่หรือไม่ ?”

“…….!”

จี้เทียนซิงเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจและหันไปมองที่หมอกมุมห้องทันที

เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าหมอกนั้นมีดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ในลูกคริสตัล

“วูบ !”

หมอกนั้นสั่นไหวไปมาหลายครั้ง

จากนั้นก็กลายเป็นใบหน้าที่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือของชายชราสวมชุดสีฟ้าผู้หนึ่งลอยอยู่ตรงหน้าเขา

จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วพลางส่งเสียงพึมพำว่า

“ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ไป๋ปลดปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกผนึกไว้ทั้งหมดแล้วหรอกหรือ?  ทำไมถึงยังเหลืออยู่อีก

?”

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า

ในขณะที่ไป๋หวู่เชินกำลังช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณสุดท้าย ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจก็เข้ามาเห็นพอดี

จากนั้นพวกเขาก็เข้าปะทะกับพวกมันจนไป๋หวู่เชินลืมคลายอาคมให้เสร็จสิ้นกระบวนการ

ดังนั้นลูกคริสตัลวิญญาณลูกสุดท้ายจึงคลายได้เพียงครึ่งเดียว

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้จี้เทียนซิงจึงเข้าใจทุกอย่างในทันที

เขามองไปที่ชายชราเสื้อคลุมสีฟ้าเบื้องหน้าและกระซิบแผ่วเบาว่า

“ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านรอดพ้นจากอุปกรณ์ผนึกวิญญาณแล้ว

เหตุใดถึงไม่ไปเกิดใหม่เล่า ?"

ชายชราชุดสีฟ้าจ้องมองใบหน้าของจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ที่เราผู้เฒ่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่

บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องราวพิเศษบางประการที่ทำให้ได้พบเจ้าก็เป็นได้...”

“เจ้าหนู ตอบข้าหน่อย

เจ้าคือผู้สืบทอดตระกูลจี้แห่งรัฐนภากระจ่างใช่หรือไม่ ?”

จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าชายชราผู้นี้เป็นใครและคิดจะทำอะไร

แต่ความรู้สึกบางประการบอกต่อเขาว่าคนผู้นี้ไม่เป็นอันตรายและไม่มีเจตนาร้าย  เขาจึงตอบไปตามความจริงว่า “ถูกต้องแล้ว”

ชายชราชุดฟ้าแววตาทอประกายเต็มไปด้วยสีสัน

จากนั้นถามต่อไปว่า “ตระกูลของเจ้าใช่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลขุนนางชั้นสูงในเมืองจักรวรรดิที่เป็นตระกูลผู้หลอมสร้างอาวุธหรือเปล่า

?”

“ถูกต้อง” จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามกลับด้วยความสงสัยว่า

“ผู้อาวุโส ท่านรู้จักตระกูลข้างั้นหรือ ? ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลจี้ ?”

ชายชราชุดฟ้ายิ้มและพยักหน้า

“ข้าย่อมมีสัมพันธ์กับตระกูลจี้แน่นอน

หากจะกล่าวให้เจาะจง ข้าก็เป็นคนของตระกูลจี้เช่นกัน”

“คนของตระกูลจี้ !?”

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและเผยสีหน้าประหลาดใจ “ผู้อาวุโส ท่านพูดจริงหรือ ?”

ชายชราชุดฟ้ากล่าวว่า

“ข้าเป็นคนสนิทของท่านประมุขตระกูลจี้รุ่นแรกและยังเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลจี้ในยุคนั้นอีกด้วย”

“เดิมทีข้าเป็นคนนอกตระกูล แต่ข้าได้รับความกรุณาจากท่านประมุขรุ่นแรกให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในคนของตระกูล  ข้าจึงใช้แซ่จี้ นามว่าเหวินเซียง”

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เหวินเซียง

จี้เทียนซิงก็รู้สึกประหลาดใจมากขึ้น เขาเบิ่งตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ

“ประมุขรุ่นแรกของตระกูลจี้ ?  ท่านหมายถึง..บรรพบบุรุษตระกูลจี้ของข้างั้นหรือ

?”

“ผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้ใกล้ชิดบรรพบุรุษของข้า ?  แต่เท่าที่ข้าได้ยินมา

ท่านบรรพบุรุษเสียชีวิตไปกว่า 100 ปีแล้วมิใช่หรือ ?”

จี้เหวินเซียงเผยรอยยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัวพลางกล่าวว่า

“ผู้ที่ตายเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนคือข้าต่างหาก

จากนั้นดวงวิญญาณของข้าก็ถูกกักขังไว้ที่นี่นานกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบและยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้

!”

“เจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าท่านประมุขรุ่นแรกแข็งแกร่งและสูงส่งเพียงใด

ท่านจะตายง่ายๆเช่นนั้น เป็นไปได้หรือ?”

“รุ่นเยาว์ในยุคนั้นต่างคิดว่าท่านประมุขสิ้นแล้ว

แต่ที่จริงมิใช่แน่นอน ท่านเพียงแค่หายตัวไป ข้าไม่มีวันเชื่อว่าท่านตาย !”

จี้เทียนซิงไม่คุ้นเคยกับเรื่องราวเมื่อร้อยกว่าปีก่อน

เขารู้แค่เพียงว่าบรรพบุรุษตระกูลจี้มีนามว่าจี้หรูหลง

นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลย

ดังนั้นเมื่อตอนนี้ได้ยินคำบอกเล่าจากปากของข้ารับใช้คนสนิทท่านบรรพบุรุษ

ชายหนุ่มก็ยิ่งตกใจและสับสนมากขึ้น

“ผู้อาวุโส แล้วเหตุใดเผ่าปีศาจถึงได้โจมตีท่าน ? ทำไมพวกมันต้องกักขังดวงวิญญาณท่านไว้กว่าร้อยปี ?”