ตอนที่ 4

ตอนที่

4 สุสานเทพกระบี่และศิลาจารึกทั้ง 18

อนุสรณ์กระบี่สีดำตั้งตะหง่านอยู่ระหว่างชั้นฟ้าและผืนดิน

แผ่ขยายอย่างโอฬารน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยกลิ่นอายสะกดข่มของสวรรค์และปฐพี

จี้เทียนซิงได้เห็นอนุสรณ์กระบี่สีดำซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสายลมและน้ำแข็งค้างที่กัดกร่อนมาเป็นเวลาหลายปี มันดูเก่ามาก

อนุสรณ์กระบี่แห่งนี้มิอาจทราบได้ว่าดำรงอยู่มาเนิ่นนานเพียงใด

มันดูราวกับว่าอยู่คู่สวรรค์และปฐพีมาเนิ่นนานยิ่ง

เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดกระบี่ที่สูงขึ้นไปและได้เห็นว่ากระบี่ถูกจารึกไว้ด้วยอักษรที่เป็นรอยด่าง

4 คำ

แต่ละคำลากเส้นสายไว้อย่างซับซ้อนซึ่งดูแข็งแรงและทรงพลัง มันดูเหมือนว่ามีเจตน์กระบี่อันคมกล้าไร้ที่เปรียบที่ฉีกกระชากทั่วชั้นฟ้า

จี้เทียนซิงมองดูมันมากขึ้นและมากขึ้นอย่างตั้งใจราวกับว่าถูกสะกดไว้ด้วยเจตน์กระบี่ของอักษรสี่ตัวนี้

คำทั้งสี่นี้ลึกลับและโบราณมาก พวกมันมิใช่คำหรือภาษาของยุคนี้ เขาไม่เคยเห็นอักษรเหล่านี้มาก่อน

แต่สิ่งที่ผิดแผกก็คือ

จี้เทียนซิงกลับหยั่งสัมผัสและจดจำอักษรเหล่านี้ได้ในใจ

สุสานเทพกระบี่ !

“สุสานเทพกระบี่

? นี่เป็นสุสานงั้นหรือ ?”

จี้เทียนซิงรู้สึกงงงวยและขบคิดในใจว่า “มิน่าแปลกใจที่มันดูคร่ำครึและหม่นหมองเช่นนี้

แถมยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย”

“จะอย่างไรข้าก็เพียงเคยได้ยินแค่ผู้เชี่ยวชาญเต๋ากระบี่, มือกระบี่อันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง

คนผู้นั้นเพียงแค่กล้าเรียกตนเองว่าบรรพบุรุษกระบี่เท่านั้นเอง

แล้วเจ้าของสุสานผู้นี้เป็นยอดฝีมือท่านใดกันถึงกล้าเรียกตนเองว่าเทพกระบี่ ? ระดับพลังของเขาถึงขั้นใดกันแน่ ?”

จี้เทียนซิงไม่อาจเข้าใจได้, เทพกระบี่คือชื่อเขตแดน

แต่มันสามารถคาดเดาได้ว่าสุสานของเทพกระบี่นั้นย่อมเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ

และเจ้าของสุสานย่อมเป็นสุดยอดฝีมือชั้นสูงที่เหนือจินตนาการของมัน !

มันรั้งสายตากลับจากอนุสรณ์กระบี่และเคลื่อนกายไป

อีกครู่หนึ่ง มันมาถึงใต้ฐานกระบี่และมองไปที่รกร้างรอบด้าน

มันเห็นว่าที่รกร้างทางสองฟากข้างของอนุสรณ์กระบี่นั้นตั้งไว้ด้วยศิลาจารึกที่มืดมิดหลายสิบแห่ง (Tombstone ศิลาจารึกหน้าหลุมศพหรือป้ายหลุมฝังศพ)

จี้เทียนซิงนับอยู่หลายครั้งและพบว่าศิลาจารึกมีทั้งหมดสิบแปดจุด

มันอยู่ทั้งสองด้านของอนุสรณ์กระบี่ฝั่งละเก้าจุด

มันเดินไปที่แถวซ้ายของศิลาจารึกและพบว่าศิลาแต่ละอันถูกจารึกไว้ด้วยอักษรโบราณ

ศิลาจารึกมีจำนวนอักษรไม่เท่ากัน บางอันก็มีมากกว่าร้อยคำ

บางอันก็มีเพียงหนึ่งหรือสองประโยค  แต่สำหรับจี้เทียนซิงนั้น

อักษรลึกลับโบราณเหล่านี้ไม่คุ้นตาเลย

แต่ยามที่มันจ้องไปที่ศิลาจารึกอันแรกอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง

จิตใจของมันกลับกำเนิดความคิดอันคมกล้าขึ้นและทำให้มันจดจำภาษาที่ซับซ้อนพวกนี้ได้

“เขตแดนเต๋ากระบี่แรกเริ่ม, ดวงใจกระบี่...”

“ดวงใจกระบี่มีไว้เพื่อบรรเทากายกระบี่

ควบแน่นดวงใจกระบี่ จุดสำคัญคือไร้ซึ่งกระบี่, กระบี่ดำรงอยู่ในใจ ... ”

เมื่อได้เห็น จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง หัวใจของมันเต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ

ประโยคทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

และพวกมันก็มิได้สอดคล้องกับประสบการณ์การฝึกปรือและความรู้ความเข้าใจของเขา

มันหักล้างความเข้าใจชั่วชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง !

เขาได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาสิบปราณกระบี่ตั้งแต่วัยเยาว์

และนับตั้งแต่วันแรกเขาก็ฝึกฝนการถือจับกระบี่แล้ว

ไม่เพียงแค่ตนเองเท่านั้น

แม้แต่สุดยอดฝีมือแห่งศาสตร์กระบี่ในรัฐนภากระจ่างก็ยังต้องใช้กระบี่ในการร่ายวิชากระบี่

แม้แต่สุดยอดมือกระบี่อันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง, อาวุโสบรรพบุรุษกระบี่ก็ยังมิเคยทิ้งกระบี่และพกติดตัวไว้ทั้งกลางวันและกลางคืน

แต่คำจารึกของศิลาจารึกอันนี้กล่าวว่า

การฝึกปรือศาสตร์กระบี่ของเขตแดนดวงใจกระบี่นี้กลับต่างออกไป  หลังจากฝึกฝนจนบรรลุแล้ว ไร้ซึ่งกระบี่และกระบี่อยู่ในใจ

สิ่งนี้มันมิผิดแผกเกินไปหรอกหรือ ?

หากไร้กระบี่ในมือแล้วจะฝึกฝนกระบี่ผีสางอันใดได้

?

จะร่ายรำเพลงกระบี่ได้อย่างไร ?

จี้เทียนซิงขบคิด “หากศิลาจารึกพวกนี้เอ่ยเรื่องไร้สาระที่ผิดแผกจากสามัญสำนึกในเชิงยุทธ์ทั่วไป

มันย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกปรือ !”

แต่เมื่อเขาได้คิดกลับในอีกมุมมองหนึ่งว่านี่คือสุสานเทพกระบี่

คำที่ถูกจารึกไว้เหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่หลงเหลือไว้ของเทพกระบี่เป็นแน่

หรือต้องเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่...

ดังนั้นด้วยทัศนคติที่เอ่อล้นไปด้วยความสงสัยและยังมองในแง่ดี

จี้เทียนซิงก็ยังคงมองมันต่อไป

“ดวงใจกระบี่ขั้นแรก

ทำลายตันเถียนตนเองโดยมีลมปราณตนเองเป็นฐาน, เกื้อหนุนด้วยพลังงานจากสวรรค์, ควบแน่นปราณกระบี่, ตั้งครรภ์ตัวอ่อนกระบี่...”

จี้เทียนซิงออกอาการโง่งมเล็กน้อย

เขาคิดว่าคำเหล่านี้ได้เปิดหูเปิดตาให้เขาแล้ว ความรู้ความเข้าใจและมุมมองทั้งสามทศวรรษที่ผ่านมาถูกล้มล้างโดยสิ้นเชิง

"มารดามันเถอะ

! เคล็ดวิชาผีสางดวงใจกระบี่อันใดนี่ ? หากจะฝึกปรือดวงใจกระบี่ต้องทำลายตันเถียนก่อน ?”

“ตันเถียนเป็นรากฐานของการฝึกฝนวิทยายุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์

คนเรามีชีวิตเดียวใครจะบ้าทำลายตันเถียนเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาผีสางนี่

นอกเสียจากมันจะเป็นคนบ้า !”

แต่เมื่อได้คิดถึงเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง

จี้เทียนซิงก็ตกตะลึงและเริ่มมีความคิดแปลกๆในใจของเขา

“เดี๋ยวนะ

! ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปไม่อาจทำลายตันเถียนตนเองเพื่อฝึกฝนดวงใจกระบี่

แต่ข้านั้นต่างออกไปนี่นา !”

“ตันเถียนของข้าไม่มีอีกแล้ว

เป็นไปไม่ได้ที่ชั่วชีวิตนี้จะไปถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

เพียงหยุดอยู่แค่ขั้นปรับแต่งกายาไปจนตาย

.....บางที ข้าลองดูคงไม่เสียหายอันใด”

จี้เทียนซิงรู้สึกว่าเคล็ดดวงใจกระบี่มิใช่เรื่องหลอกลวงเพียงแต่มันมิได้สอดคล้องกับสามัญสำนึกของวิชายุทธ์ทั่วไป

มันแทบจะราวกับเป็นวิชาปีศาจด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามเขาถูกบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวังไปแล้ว หากเขาต้องการที่จะฟื้นฟูพลังและแก้แค้นหลิงหยุนเฟย เขาจะไม่ปล่อยโอกาสใดๆที่จะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นแน่นอน

ต่อไปเขาก็อ่านคำแรกของศิลาจารึกอย่างรอบคอบ และหลังจากนั้นไม่นาน

เขาก็เข้าใจบางส่วน

“ถ้าข้าต้องการฝึกฝนดวงใจกระบี่

ข้าต้องใช้การปรับเปลี่ยนลมปราณปรับแต่งกายา, ใช้เพียงแก่นแท้ลมปราณของข้าในผสานกับพลังงานสวรรค์, ควบแน่นเป็นปราณกระบี่ จากนั้นก็ใช้ปราณกระบี่เพาะพันธุ์ตัวอ่อนกระบี่ในร่างกาย...”

จี้เทียนซิงใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในการขบคิดว่าวิธีการบ่มเพาะนี้ใหม่มากและอาจเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ

เขาจำประโยคแรกของศิลาจารึกอันแรกและมองไปยังศิลาจารึกอันที่สอง

ศิลาจารึกอันที่สองมีคำน้อยกว่า มันมีเพียงยี่สิบคำและบันทึกเกี่ยวกับการทำสมาธิ

จี้เทียนซิงจดคำเหล่านั้นทั้งหมดและมองไปที่ศิลาจารึกอันที่สามสี่และห้า..

ผลออกมาให้เขาพบว่าทุกคำของศิลาจารึกต่อๆไปยิ่งกลายเป็นลี้ลับมากขึ้นเรื่อยๆ

นับได้ว่าเขาสามารถจดจำทั้งหมดในศิลาจารึก

แต่ไม่อาจทำความเข้าใจพวกมันได้เลย เขาไม่เข้าใจความหมายของคำเหล่านั้น

เขามองแล้วมองอีกจนรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อยและความคิดเริ่มสับสน

จี้เทียนซิงรู้ว่าเขตแดนพลังของเขานั้นต่ำเกินกว่าที่จะฝึกฝนตามเคล็ดความส่วนหลัง

หากบังคับตนเองให้บ่มเพาะอย่างลึกซึ้งมากเกินไปเขาอาจจะสูญเสียประสาทสัมผัสและกลายเป็นบ้าไปได้

ดังนั้นเขาจึงถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็วและเลิกเพ่งศิลาจารึกพวกนั้น

“กัดคำเดียวดีกว่าชิมไม่เลือก...

เคล็ดดวงใจกระบี่เป็นดั่งวิชาปีศาจ มันต้องฝึกอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปและทำความเข้าใจ”

“ข้าออกจากที่นี่ไปก่อนแล้วลองฝึกฝนดวงใจกระบี่ขั้นแรกดู”

เพียงแค่จี้เทียนซิงตั้งสติและคิดที่จะออกไป พื้นที่ลึกลับและศิลาจารึกโบราณทั้ง

18 แห่งก็กลายเป็นภาพลวงตาและเบลอไปทันที

ในเวลาต่อมาดวงจิตของจี้เทียนซิงก็กลับไปที่จุดเดิมและเขาก็ตื่นขึ้น  เขาลุกขึ้นจากเตียง เปิดตาแล้วมองไปรอบๆพบว่าตนเองยังอยู่ในห้องเดิม

เมื่อมองไปนอกหน้าต่างก็พบว่าล่วงเลยเข้าสู่ยามราตรีแล้ว

และแสงไฟภายในสกุลจี้ก็สว่างขึ้น

เขาหยิบชาขึ้นมาและจิบชาเล็กน้อย

เขารู้สึกอ่อนล้าและขมวดคิ้วพร้อมกับกระซิบกับตนเองว่า “เหตุใดข้าถึงหลับราวกับฝันไป ?”

“ไม่รู้ว่าสุสานเทพกระบี่และศิลาจารึกทั้ง

18 นั่นเป็นเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่...” จี้เทียนซิงขมวดคิ้วมุ่นและจำได้ว่าประโยคทั้งหมดบนศิลาจารึกอันที่หนึ่งและสองยังคงปรากฏในใจของเขาอย่างชัดเจน

เขาลังเลที่จะคิดถึงมันอยู่ครู่หนึ่งและสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะผุดลุกขึ้นลองฝึกฝนวิถีใจกระบี่ดู